I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

True Martial World ตอนที่ ตอนที่ 4 : ใครว่าบ้านข้าไม่มีผู้ชาย

| True Martial World | 3562 | 2339 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

เจียงเซียวโยรว ไม่ได้สงสัยอะไร และได้อธิบายเรื่องต่างๆใน ทุกแง่มุมของโลกใบนี้ให้เขาฟัง

 

เดิมทีอี้หวินคิดว่า นี่เป็นโลกที่นับถือ วิชายุทธ แต่หลังจากได้ฟัง  เจียงเซียวโยรว อธิบายแล้ว   เขาตระหนักได้ทันทีว่า   หากจะประเมินความสำคัญของวิชายุทธบนโลกใบนี้ คงสรุปได้เพียงว่า วิชายุทธคือชีวิต

 

ที่นี่มีเมืองของกลุ่มชนและค่ายสำนัก ส่วนรอบนอกนั้นเป็นของ สัตว์อสูรและสัตว์อสูร การออกไปทำไร่ไถนาหรือทำปศุสัตว์ หรือแม้แต่การล่าสัตว์ เป็นการเสี่ยงภัยอย่างยิ่งจากการถูกจู่โจมจาก สัตว์อสูรและสัตว์อสูร

 

เพราะสัตว์เหล่านั้นมีขนาดใหญ่โตดั่งอสูรกาย ดังนั้นกิจกรรมทั้งหลายของผู้คนจึงถูกจำกัด  ด้วยเหตุนี้เหล่าสามัญชนคนธรรมดา จึงประสบกับความขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิตอย่างยิ่ง ทำให้เหล่าค่ายสำนักและยอดยุทธชั้นสูง เป็นดั่งเส้นชีวิต

 

หากไร้ซึ่งการปกป้องของเหล่ายอดยุทธชั้นสูง สัตว์อสูรสามารถทำลายล้างเมืองหรือค่ายสำนักต่างๆได้ในคืนเดียว

 

น่าเสียดายที่ชนเผ่าของทั้งอี้หวินและเจียงเซียวโยรว เป็นชนเผ่าเล็กๆ ที่ไม่มี ยอดยุทธชั้นสูงเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งชนเผ่าจึงตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมเสี่ยงต่อการถูกทำลายล้างตลอดเวลา เพราะ ขาดผู้แข็งแกร่งคอยปกป้อง

 

ชนเผ่าเล็กๆนี้จึงมีปัญหาในการเพาะปลูกและการผลิตอาหาร พวกเขาไม่สามารถอยู่รอดด้วยตัวเอง ได้แต่อาศัยการผลิตอาวุธเช่น ลูกศรและชุดเกราะให้กับเผ่าชนที่ใหญ่กว่า แลกเปลี่ยนกับการปันส่วนปัจจัยในการดำรงชีวิตและเนื้อสัตว์เพื่อความอยู่รอด วัตถุดิบในการทำลูกศรของเจียงเซียวโยรว ก็ได้มาจากชนเผ่าที่ใหญ่กว่า  นางเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ทำการผลิตให้พวกเขา

 

“หวินเอ๋อร์ กลับไปนอนเถอะ ด้วยลูกศรเหล่านี้ พรุ่งนี้ข้าคงได้รับการปันส่วนได้ไม่น้อย หรืออาจแลกเป็นเนื้อสัตว์อสูรได้ เจ้ายังจำสัตว์อสูรได้ใช่ไหม?”

 

มันเป็นสัตว์ที่แข็งแรงมาก มีเพียงชนเผ่าขนาดใหญ่ที่สามารถ ล่าพวกมันได้ การกินเนื้อของมันจะเพิ่มพลังยุทธ

 

“หากใครได้กินชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็จะกลายเป็นยอดยุทธอย่าง รวดเร็ว”

 

เจียงเซียวโยรวกล่าว พร้อมกับฝันหวาน หากน้องชายของนาง กลายเป็นยอดยุทธ จะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

 

น่าเสียดายที่พวกเขามีโอกาสได้กินเนื้อสัตว์อสูร ทุกไม่กี่เดือน ความหวังที่จะกลายเป็นยอดยุทธ ถูกลิขิตให้เป็นแค่ความต้องการอันฟุ่มเฟือย

 

อย่างไรก็ตาม ในชนเผ่าขนาดใหญ่ เนื้อของสัตว์อสูร เป็นแค่ส่วนหนึ่งของมื้ออาหารของพวกเขา ไม่นับว่ามีความสำคัญใดเลย

 

แม้ว่าสัตว์อสูรมีความสูงมากกว่า 10 เมตร และหนักเป็นตัน ล่ายากมาก แต่มันแค่พอสำหรับเลี้ยงคน 10 คนในปีนึงเท่านั้น

 

หมู่ชนชั้นสูงในเผ่าใหญ่ด้วยแล้ว   เนื้อของสัตว์อสูรเป็นแค่อาหารของสามัญชนคนธรรมดา สิ่งที่พวกเขากินคือกระดูกของสัตว์อสูร หรือก็คือ กระดูกสัตว์อสูร  สิ่งสำคัญของสัตว์อสูรอยู่ที่กระดูกสัตว์อสูรของมัน

 

โครงกระดูกของสัตว์อสูรเมื่อผ่านกระบวนการพิเศษ จะสร้างแก่นพลังกระดูกสัตว์อสูรได้เพียงขนาดเม็ดถั่ว แก่นพลังของกระดูกสัตว์อสูรถูกนำไปใช้เพื่อให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ ทำลายขีดจำกัดเปิดเส้นลมปราณ กระตุ้นชีพจร เพิ่มพลังยุทธ

มันเป็นสิ่งเหล่าผู้ฝึกยุทธทุกผู้ปรารถนา แน่นอนว่าแก่นพลังกระดูกสัตว์อสูร เป็นเพียงแค่ตำนานสำหรับครอบครัวที่ยากจนในชนเผ่าอันต่ำต้อย เช่น เจียงเซียวโยรว กับอี้หวิน โดยไม่ต้องลืมว่า แก่นพลังกระดูกสัตว์อสูรแม้เพียงเศษเสี้ยว จะต้องผ่านกระบวนการลับหลายขั้นตอน มันจึงเป็นไปไม่ได้เลย ว่าสามัญชนคนธรรมดาจะสร้างมันได้สำเร็จ

 

“สัตว์อสูร แก่นพลังกระดูกสัตว์อสูร….”

 

อี้หวินพึมพำกับตัวเอง เรื่องที่เขาได้ยินจากปากของเจียงเซียวโยรว ทำให้เขาประหลาดใจในความรอบรู้ของนาง

 

หลังจากค่ำคืนอันเงียบสงัด อี้หวินตื่นขึ้นแต่เช้าด้วยความหิว ไม่ได้กินอะไรมาสักพัก ได้รับเพียงโจ๊กจำนวนเล็กน้อย เขาเข้าใจแล้วว่า หิวจนท้องกิ่วเป็นอย่างไร

 

“พี่เซียวโยรว”

 

ตอนนี้ อี้หวินคุ้นที่จะเรียกเจียงเซียวโยรวว่าพี่สาวแล้ว จากการคุยกัน เมื่อวันวานกับเจียงเซียวโยรว   ทำให้รู้ว่า เขาเคยเรียกนางว่า “พี่เซียวโยรว”

 

“โอ้…พี่เซียวโยรว ทำไมท่าน…..”

 

อี้หวินรับรู้ในทันที เสื้อผ้าของเจียงเซียวโยรวเปียกชื้นจากน้ำค้าง ดวงตาอันสดใสของนาง ตอนนี้แดงก่ำด้วยเส้นเลือดสีแดง ดูเหนื่อยอย่างมาก

 

เมื่อมองไปที่มัดลูกศรทั้งสองมัดที่นางกอดมันไว้ ก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่า นางไม่ได้นอนตลอดคืนเพื่อทำลูกศรให้เสร็จ!   พวกเขายากจนมากจนไม่สามารถซื้อน้ำมันมาจุดตะเกียงได้  นางจึงต้องใช้แสงเรืองลางจากหิ่งห้อย และแสงจันทร์ เพื่อทำลูกศรให้เสร็จสิ้นในค่ำคืนนั้น เจียงเซียวโยรวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า

 

“หวินเอ๋อร์ นี่เป็นส่วนก่อนหน้าที่เจ้าจะตกจากหน้าผาบาดเจ็บ และจากไป หลังจากนั้นสองวัน ข้าก็ยุ่งอยู่กับพิธีฝังศพของเจ้า ทำให้ข้าไม่มีเวลาทำลูกศร วันนี้เป็นวันแลกเปลี่ยนการปันส่วนอาหารแล้ว ดังนั้นหากไม่รีบทำให้เสร็จเราสองคนต้องอดกันแน่ ข้าอยากได้เนื้อสัตว์อสูร เพื่อบำรุงเจ้า”

 

ขณะที่นางพูด นางมองอี้หวินด้วยความรัก

 

อี้หวินตะลึงไปชั่วครู่เมื่อเห็นนางใช้เสื่อน้ำมันห่อมัดลูกศรไว้ทั้งสองมัดด้วยความรอบคอบ อย่างดีใจและพึงพอใจ

 

อี้หวินสูดลมหายใจลึกๆ และกำหมัดแน่น เขาต้องทำให้พี่สาวมีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้

 

“ไปกันเถอะ ได้เวลาไปเอาส่วนแบ่งของพวกเราแล้ว”

 

เจียงเซียวโยรว คอยดูแลอี้หวิน ขณะที่นางแบกมัดลูกศรอันหนักอึ้งทั้งสองไว้

 

นางมายังลานตากธัญพืชอันเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนการปันส่วน มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่แล้ว จุดที่ผู้คนสนใจ คือ บุรุษในชุดเสื้อคลุมยาวบนเวที

 

เขาอายุประมาณยี่สิบห้า นั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนเก้าอี้ที่คลุมด้วยหนังสัตว์ เขาแขวนดาบอย่างดีไว้ที่เอว

 

มีผู้คนในชุดเสื้อคลุมยาวกำลังวุ่นวายอยู่ข้างล่างเวทีคนเหล่านี้ กำลังเคลื่อนย้ายมัดลูกศรและชุดเกราะหนัง มีคนหนึ่งลักษณะเหมือน เสมียน กำลังบันทึกลงรายการสิ่งที่ถูกเคลื่อนย้าย ที่ยืนอยู่ข้างๆบุรุษชุดเสื้อคลุมยาว คือชายสูงวัยในชุดเหลือง เขากำลังยิ้มอย่างประจบประแจง

 

“อาวุธและชุดเกราะพวกนี้เป็นที่พอใจหรือไม่ นายท่านเทา?”

 

ชายสูงวัยฉีกยิ้มจนหน้ายับย่นพร้อมกับโค้งคำนับ บุรุษชุดเสื้อคลุม  เหลือบมองชายสูงวัยก่อนที่จะพ่นลมออกทางจมูก แม้ว่าบุรุษชุดเสื้อคลุม จะแสดงท่าทีรังเกียจ แต่ชายสูงวัยไม่แสดงอาการต่อต้านกับยิ้มรับ

 

นายท่านเทาเป็นตัวแทนจากชนเผ่าใหญ่ มาเพื่อดูแลการรวบรวมอาวุธเป็นเพราะว่า นายท่านเทาไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญอะไรในเผ่าของเขา จึงถูกส่งให้มาทำธุระที่นี่ แต่สำหรับชายเสื้อเหลืองแล้วเขาเป็นบุคคลสำคัญที่สุด

 

เจียงเซียวโยรว ส่งมอบมัดลูกศรสองมัด นางได้รับป้ายไม้เล็กๆ สองอัน สำหรับใช้ในการปันส่วน นางกำมันแน่นจนฝ่ามือชื้น ใบหน้าของนางแดงเรื่อ ป้ายไม้เล็กๆในมือนี้ คือ ส่วนแบ่งการปันส่วนสำหรับนางกับน้องชาย

 

สิบห้านาทีต่อมา อาวุธและชุดเกราะถูกเก็บวางไว้บนรถเข็นขนาดใหญ่ซึ่งถูกลากออกไปด้วยม้ามีเขาขนาดใหญ่สองตัว นายท่านเทา ตรวจบัญชีอย่างเกียจคร้านแล้ว โยนมันลงในหีบไม้ของชายเสื้อเหลือง ก่อนออกไปกลับผู้ใต้บังคับบัญชา ชายเสื้อเหลืองน้อมส่งบุรุษเสื้อคลุมยาวด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะสลายมันออกจากใบหน้า ทุกคนในเผ่าเร่าร้อนด้วยความคาดหวัง

 

“ท่านผู้ดูแลเผ่า โปรดแจกจ่ายของปันส่วนด้วยเถอะ”

 

“ใช่ เราไม่ได้รับมาเป็นเดือนแล้ว”

 

คนสองสามคนเริ่มตะโกน ทุกคนรอคอยของปันส่วนเพื่อเติมเต็มท้อง

 

“เงียบ!” ชายเสื้อเหลืองปรามฝูงชน อี้หวินคาดไม่ถึงว่าชายขี้ประจบคนนี้เป็น ผู้ดูแลเผ่า

 

“เนื่องจากทุกคนใจร้อน อย่างนั้นเรามาแจกจ่ายของปันส่วนกัน!”

 

เมื่อเขาพูดจบก็มีชายรูปร่างแข็งแรง เดินไปนำถุงของปันส่วนออกมาจากคลังซ้อนกันเป็นเนินเล็กๆ

 

“นั่นไม่ถูกต้อง ท่านผู้ดูแลเผ่า ทำไมของปันส่วนจึงน้อยแบบนี้?”

 

“ใช่ มันต้องมีมากกว่านี้ซิ!”

 

“แล้วทำไมไม่เห็นมีเนื้อสัตว์ใดๆเลย”

 

หลายคนเริ่มตั้งคำถาม พวกเขาส่งอาวุธมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา แต่ผลตอบแทนที่ได้รับกลับน้อยจนน่าใจหาย    ไม่เพียงแต่ของปันส่วนจะลดลงกว่าครึ่ง แม้แต่เนื้อสัตว์ก็ไม่มี

 

“เผ่าเทา ทำเกินไปแล้ว ให้เราด้วยจำนวนเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

“ท่านผู้ดูแล นี่มันหมายความว่าอย่างไร”

 

เมื่อเห็นฝูงชนสับสนวุ่นวาย ชายเสื้อเหลืองพ่นลมออกจมูกแล้วพูดออกมาว่า

 

“หุบปาก! แล้วเจ้าก็จะเข้าใจ แจกจ่ายของปันส่วนเดี๋ยวนี้! ถือป้ายไม้ไว้ในมือแล้วรับส่วนแบ่งไป!”

 

คำพูดของชายเสื้อเหลืองส่งผลให้หลายคนพอใจรีบหุบปากลงทันที

 

ชายเสื้อเหลืองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับขั้นที่ยังต่ำ แต่ก็เป็นเสาหลักของเผ่า ไม่มีใครกล้าท้าทายเขา

 

“ผู้มาจากค่ายฝึกยุทธรับปันส่วนเป็นรายแรก”

 

ขณะที่ชายเสื้อเหลืองโบกมือ กลุ่มคนสวมชุดหนังก็เดินไปข้างหน้า อายุพวกเขาอยู่ ระหว่า 15-40 ปี เขาทั้งหมดล่ำสันอุดมไปด้วย มัดกล้ามเนื้อจากการฝึกฝน คนเหล่านี้เป็นสมาชิกของค่ายฝึกยุทธและ เป็นความหวังของเผ่า เป็นคนหนุ่มที่มีลักษณะทางกายภาพที่ดี พวกเขาจึงได้รับการคัดเลือกเข้าฝึกฝน เขาไม่ต้องเพาะปลูก หรือทำลูกศรกับชุดเกราะ นอกจากไปล่าสัตว์ในบางครั้ง มิหนำซ้ำอาหารที่มีประโยชน์ได้ถูกแจกจ่ายให้ค่ายฝึกยุทธเป็นรายแรกๆ เพราะหากไม่เป็นเช่นนี้  พวกเขาจะกลายเป็นยอดยุทธชั้นสูงที่จะนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้เผ่าได้อย่างไร

 

นอกจากนั้นการคุ้มครองของยอดยุทธชั้นสูง จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะออกไปล่าสัตว์ ในดินแดนรอบนอกได้ แค่สัตว์อสูรขนาดพอประมาณก็เพียงพอสำหรับเลี้ยงคนทั้งเผ่าได้เป็นวัน โดยไม่ต้องพูดให้เกินจริงว่ายอดยุทธชั้นสูงคนเดียวก็สามารถรักษาชนเผ่าเล็กๆได้

 

มีผู้คนหลายสิบคนในค่ายฝึกยุทธ พวกเขาไม่เคยเข้าร่วมการผลิตใดๆเลย และเป็นธรรมดาที่ต้องไม่มีป้ายไม้ แต่พวกเขายังได้ของปันส่วนไปถุงใหญ่

 

ของปันส่วนลดลงเหลือเพียง 1 ใน 5 มีหลายสิบครั้งเหมือนกัน ที่คนจำนวนมากไม่ได้การปันส่วน ทำให้หลายคนต้องอดอยาก

 

เจียงเซียวโยรวซึ่งยืนอยู่ข้างๆอี้หวิน จับป้ายไม้ไว้แน่น ใบหน้าของนางเผือดลง หากวันนี้พวกนางไม่รับการปันส่วน!

 

คนจากค่ายฝึกยุทธยังเอาส่วนแบ่งไปเต็มจำนวน นั่นหมายถึงของที่เหลือไม่มากพอต่อการแจกจ่าย

 

“ครอบครัวที่มี บุรุษชั้นหนึ่ง เข้ามารับการปันส่วน!”

 

ชายเสื้อเหลืองออกคำสั่ง

 

ในโลกที่วิชายุทธคือชีวิต ผู้ชายที่ไม่ได้มาจากค่ายฝึกยุทธ จะได้รับการปันส่วนตามความสามารถของตน

 

การทดสอบความแข็งแกร่งง่ายๆ คือ บุรุษชั้นหนึ่ง ต้องยกน้ำหนักได้ 300 ปอนด์    หากน้อยกว่านั้น   ก็จะอยู่ในชั้นต่ำลงไป ครอบครัวที่ มีบุรุษชั้นหนึ่งถอนใจอย่างโล่งอก แล้วรีบวิ่งไปรับของปันส่วนของพวกเขาแล้วแสดงป้ายไม้

 

แม้ครอบครัวเหล่านี้ได้รับของปันส่วนน้อยกว่าปกติ แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ยังได้รับ พวกเขาก็ยังพอมีอาหารเก็บไว้ ดังนั้นในวันข้างหน้าแม้จะต้องประหยัดบ้าง ก็ไม่เป็นสถานการณ์ที่ล่อแหลมนัก

 

“ครอบครัวที่มี บุรุษชั้นสอง เข้ามาเอาของปันส่วน!”

 

ชายเสื้อเหลือเปิดปากอีกครั้ง

 

เมื่อเทียบกับชายที่โค้งคำนับ “นายท่านเทา” แล้ว ชายเสื้อเหลือง ตอนนี้ การกระทำของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

 

บุรุษชั้นสอง คือผู้ที่ยกหินหนัก 250 ปอนด์ได้ ของปันส่วนที่ได้รับลดลงอย่างมาก ถุงของปันส่วนหมดอย่างรวดเร็ว

 

ใบหน้าของเจียงเซียวโยรวซีดเผือด มือชื้นเหงื่อของนางกำป้ายไม้ไว้แน่น นี่ไม่ใช่ปัญหาการมีถุงปันส่วนน้อยหรือไม่ แต่เป็นปัญหาเรื่องความเป็นความตาย

 

หากไม่ได้รับการปันส่วนพวกนางจะต้องอดตาย!

 

เดิมนางเต็มไปด้วยความหวังกับการปันส่วนครั้งนี้ ยังหวังว่า อาจได้เนื้อสัตว์มาบำรุงอี้หวิน แต่ตอนนี้อาจไม่ได้รับการปันส่วนใดๆ

 

“ครอบครัวที่มี บุรุษชั้นสาม มารับการปันส่วน!”

 

บรรยากาศของการปันส่วนตอนนี้ เจียงเซียวโยรว เริ่มหายใจติดขัด

 

ชายเสื้อเหลืองขมวดคิ้ว ของปันส่วนน้อยเกินไป หลายคนยังไม่ได้รับคงมีคนโชคร้ายต้องอดตายเป็นแน่ เพื่อผลประโยชน์ของชนเผ่าชายเสื้อเหลืองต้องแข็งใจ เสียสละผู้อ่อนแอ เป็นเรื่องธรรมดาในเผ่าที่จะมีคนตายเพราะความเจ็บป่วยหรือความอดอยากหิวโหย

 

สภาพความเป็นอยู่อันเลวร้าย ส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยสั้นอย่างน่ากลัว

 

“ที่เหลือมารับส่วนปันผล”

 

สิ้นคำประกาศมีคนกลุ่มใหญ่วิ่งไปข้างหน้า

 

เจียงเซียวโยรวกรีดร้องเมื่อฝูงชนผลักนางล้มลง แม้จะบาดเจ็บจากการล้ม แต่นางก็กำป้ายไม้ไว้แน่น ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ให้ความหวัง

 

“พี่เซียวโยรว” เมื่อเห็นเจียงเซียวโยรวล้มลง อี้หวินวิ่งผ่านฝูงชนและดึงนางขึ้นมา

 

“เป็นอะไรไหม พี่เซียวโยรว?”

 

อี้หวินเป็นกังวล การถูกเหยียบย่ำโดยฝูงชนอาจทำให้ถึงตายได้

 

“หยุดเบียดกัน จัดให้เป็นระเบียบ”

 

ชายเสื้อเหลืองตะโกน เสียงของเขาเจือด้วยพลังกดดันจนฝูงชนค่อยเงียบลง

 

“เข้าแถวเรียงหนึ่ง!” ชายเสื้อเหลืองประกาศ

 

ไม่มีใครกล้าต่อต้านอำนาจของเขา เขาเป็นผู้ดูแลเผ่า และ สามารถลงโทษคนที่ไม่เชื่อฟัง ผู้คนเข้าแถวรับของปันส่วน แม้ว่าจะน้อยจนน่าใจหาย

 

ใจของเจียงเซียวโยรว ดิ่งลง หากไม่มีของปันส่วน พวกนางก็ ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้

 

“หวังหลง เอาของปันส่วนที่เก็บไว้ออกมา”

 

ชายเสื้อเหลืองกล่าว แก่ชายร่างท้วม หวังหลงเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของชายเสื้อเหลือง

 

“ขอรับ ท่านผู้ดูแล”

 

หวังหลงกลับออกมาพร้อมกับรถเข็นเล็กๆ ใส่ของปันส่วน ของเหล่านี้มีเพียงเมล็ดข้าวเท่านั้น

 

บนโลกที่จากมา ข้าวเป็นแหล่งวิตามินเพื่อสุขภาพ แต่โลกใบนี้ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ข้าวเป็นเพียงกากใยอาหาร มันได้รับการผสมกับรำข้าวสาลี สำหรับเป็นอาหาร รสชาติน่ากลัวยากจะกลืนกิน

 

นอกจากนั้น ข้าวนี้ยังมีสารอาหารน้อยและย่อยยาก ในความเป็นจริงกว่าครึ่งของ ของปันส่วนให้พลังงานน้อยมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ข้าว ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกิน ฝูงชนยอมรับชะตากรรม เก็บรวบรวมเมล็ดข้าวจำนวนเล็กน้อยนั้น

 

เจียงเซียวโยรว อยู่ด้านหลัง เมื่อไปถึงเมล็ดข้าวเกือบไม่เหลือแล้ว นางมอบป้ายไม้ที่ชื้นเหงื่อสองป้าย และได้รับถุงข้าวขนาดเท่าฝ่ามือ สองถุง หากว่าทำเป็นโจ๊ก นางกับอี้หวินก็คงกินได้ไม่เกินสิบวัน

 

เจียงเซียวโยรวตกตะลึง ขณะที่ถือถุงข้าว นางไม่เต็มใจที่จะยอมรับชะตากรรม น้องชายของนางเพิ่งกลับมาจากความตาย หรือ พวกนางต้องมาอดตายร่วมกัน?

 

“อยู่ตรงนั้นทำไม ออกไปอย่ากีดขวางทาง!”

 

ชายผู้ดูแลการแจกจ่ายถุงข้าว พูดอย่างไม่สบอารมณ์ ต้องการให้เจียงเซียวโยรวถอยออกไปโดยเร็วที่สุด

 

เจียงเซียวโยรว รู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง

 

นางทำงานอย่างหนักตลอดคืนสำหรับลูกศรเหล่านั้น แต่ทั้งหมดนั้น นางได้รับเพียงข้าวถุงเล็กๆนี้ แม้ว่านางจะเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอ นางก็กล้าเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจของเผ่า

 

“ทำไมน้อยนัก? ข้าส่งมอบลูกศรไป 2 มัด นี่ไม่ใช่ส่วนที่ควรได้รับ ไม่ใช่แม้แต่ปริมาณปกติด้วยซ้ำไป”

 

ชายผู้ดูแลการปันส่วนถึงกับตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าหญิงสาวจะกล้าถามเขา

 

“เจ้ารู้กฎหรือไม่? เจ้าเป็นเพียงเด็ก และก็เป็นเด็กผู้หญิง ไม่มีผู้ชายในบ้าน มีอะไรที่จะต้องได้อาหารมากกว่านี้? มันเสียของ”

 

ในโลกใบนี้ ชนเผ่าเล็กๆให้ความสำคัญกับเพศชาย ในชนเผ่าใหญ่ๆ พวกเขามีสัตว์อสูร มีแม้กระทั่งกระดูกสัตว์อสูร ความแตกต่างระหว่างเพศจึงไม่สำคัญ

 

แต่ในชนเผ่าเล็กๆ ความแข็งแรงของเพศชายเป็นช่องว่างที่ได้เปรียบ อย่างไม่สามารถปิดลงได้ มีเพียงผู้หญิงบางคนเท่านั้นที่แข็งแรงเทียบเท่า

 

เมื่อถูกมอง เจียงเซียวโยรว ตะโกนด้วยความโกรธ

 

“ใครว่าบ้านข้าไม่มีผู้ชาย? มีอยู่นี่คนหนึ่ง”

 

ว่าแล้ว เจียงเซียวโยรว คว้ามืออี้หวินออกมายืนข้างๆ

 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments