ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบทที่ 15 เหลียนเย่เออ หลานสาวแห่งตระกูลเหลียน
“เหลียนเย่เอ่อ”
ชื่อนี้เป็นชื่อที่คุ้นเคยมากสำหรับชิงสุ่ย ภาพที่ปรากฏในหัวของชิงสุ่ย เผยให้เห็นลักษณะของหญิงสาวผอมเพรียว และดวงตากลมโต สง่างามคู่นี้ เป็นที่ดึงดูดใจของผู้พบเจอ พร้อมทั้ง ริมฝีปากที่เล็กและโค้งมน
และเป็นที่แน่นอนว่าเธอนั้นเป็นคนที่หยิ่งยโส ทำไมชิงสุ่ยถึงจดจำเธอได้ นั้นก็เพราะว่าในระหว่างคนวัยเดียวกับชิงสุ่ยนั้น เธอเป็นที่อิจฉาในหมู่เหล่าอัจฉริยะ เป็นเพราะชิงสุ่ยเมื่อครั้งนั้นเป็นเฉกเช่นขยะไร้ความสารมารถ เขาจึงเคยเห็นใบหน้าของเธอเพียงครั้งเดียวอย่างไม่ตั้งใจ และจดจำเธอได้เพราะความมีชื่อเสียงของเธอ แม้เหลียนเย่เอ่อนั้นจะมีอายุเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น เธอก็ได้ชื่อว่า เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งที่สวรรค์ประทานพรมา สามารถของเธอนั้นเป็นรองเพียงแค่ชิงหยูคนเดียว เธอนั้นเปรียบได้กับความภาคภูมิของตระกูลเหลียน
ตระกูลเหลียนนั้น นอกจากจะเป็นตระกูลใหญ่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชิงแล้ว ตระกูลนี้ยังมีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย อีกทั้งปัจจุบน เยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลเหลียนนั้นมักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับฝั่งตระกูลชิง เพราะลูกหลานในปัจจุบันนั้นมีเทียบเท่าตระกูลชิงเลยก็ว่าได้
ตระกูลเหลียนนั้นต้องการเป็นใหญ่เหนือตระกูลชิงรวมทั้งต้องการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้านอีกด้วย ดังนั้นแล้วตระกูลชิงจึงพยายามฝึกฝนเยาวชนรุ่นที่ . เพื่อเป็นความหวังให้กับตระกูล
“เป่ยเป่ย อาการบาดเจ็บของชิงฮู ร้ายแรงถึงเพียงไหน” ชิงสุ่ยขมวดคิ้วอย่างกังวล
“ท่านพี่อาการไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นนะ มีแค่เลือดออกที่จมูกและใบหน้าบวมเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง ท่านพี่แค่กลัวเสียหน้า จึงได้หลบซ่อนอยู่ในบ้านอย่างเดียว” ฃิงเป่ยกล่าวพร้อมยิ้มๆป่นขำ เมื่อเธอจินตนาการถึงลักษณะของชิงฮู
“ทำไมเจ้าถึงหัวเราะออกมา” ชิงสุ่ยถามออกมา พร้อมสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อทราบเรื่องราว ชิงสุ่ยรู้ดีว่ามันออกจะตลกที่ต้องหลบซ่อนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงความอับอาย
ชิงเป่ยหยุดการหัวเราะที่ดูมีชีวิตชีวาลง พลันเปลี่ยนสีหน้าแสดงความอับอายออกมาบนหน้าอันเล็กและบอบบาง
“ท่านพี่ยังกล่าวอีกว่า เขาชอบเหลียนเย่เออมาก” ชิงเป่ยถอนหายใจออกมา ชิงสุ่ยรู้สึกว่าถอนหายใจของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คน นี้ก็ค่อนข้างตลก แต่ในมหาทวีปแห่งนี้ผู้ใดอายุถึง 16 ปีแล้วย่อมต้องมีภรรยาคู่ครอง
“ทำไมต้องทำถึงขนาดที่เลือดถึงกับออกจากจมูก อีกทั้งยังทำให้ใบหน้าบวมอีก” ชิงสุ่ยเกิดคำถามขึ้นมาในใจ
“หืมมม ดูเหมือนชิงฮู รู้ไม่เท่าทัน ไอ้เด็กเหลือขอนั้นเป็นแน่” ชิงสุ่ยขมวดคิ้วและพูดเบาๆออกมา
คราวนี้ชิงเป่ยก็แสดงอาการสงสัยออกมา
“พี่ชายชิงสุ่ย ท่านพี่นั้นเอายุเท่ากับเหลียนเย่เอ่อ พี่ชายเรียกมันว่าเด็กเหลือขอราวกับว่าพี่ชายมีอายุมากกว่ามัน” ชิงเป่ยจองมองยังชิงสุ่ยที่แสดงอาการไม่สนใจในคำถามนี้
หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา บุคลิกภาพของชิงสุ่ยก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง เขาโตเป็นผู้ใหญ่
หลังจากการเปลี่ยนแปลงร่างกายของเขา แม้ในเวลานี้ร่างกายของเขายังคงดูเล็ก แต่เพราะเคล็ดวิชาโบราณเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ความสิ้นหวังในชีวิตเขาก็สูญสลายหายไป ทั้วหมดนี้ก็เป็นเพราะบุคลิกภาพของชิงสุ่ยเลยทำให้ชิงเป่ยเข้าใจมัน
หลังจากที่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของชิงฮูนั้นไม่ได้ร้ายแรง ความตรึงเครียดที่อยู่ถายในจิตใจของชิงสุ่ยก็ทลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจออกมาจนโล่งอก ชิงสุ่ยรู้มาตั้งนานแล้วว่าชิงฮูนั้นตกได้ตกหลุกรักเหลียนเย่เอ่อ ในฐานะที่เป็นลูกหลานของตระกูลที่มีขนาดใหญ่และมั่งคั่ง แม้ความจริงที่ว่าชิงฮูนั้นยังอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น เขาก็เข้าใจในความรักที่เกิดขึ้นระหว่างหญิงชาย และหลงใหลต้องการที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน
แม้ว่าชิงฮูจะโตเป็นหนุ่ม เขามีความคิดที่ชัดเจนและรู้ว่าตัวของเขาต้องการสิ่งใด เมื่อเขาเริ่มเข้าหา เหลียนเย่เอ่อ ทุกครั้งเขาจะถูกปฎิเสธ ความจริงที่ว่า เธอนั้นอายุมากกว่าชิงฮู ภายใต้สายตาของเหลียนเย่เออนั้น ชิงฮูนั้นเปรียบเสมือนเด็กน้อย โดยพักหลังมานี้ เธอถูกชิงฮูตามตื้อตามตอแย จนเธอเกือบเป็นบ้า เธอจึงตัดสินใจยื่นคำขาดกับชิงฮู“ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะข้า ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้า ข้าจะแต่งงานโดยไม่เสียใจเลย”
ชิงฮูไม่ได้นำคำพูดนี้มาใส่ใจเลย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้ เขาก็ยังคงต้องการแต่งงานกับเธอ แต่เพื่อให้เธอยอมรับและสนใจ สุดท้ายเขาก็ถูกเธอโจมตีจนเป็นรอยดำและฟ้า ทั่วไปทั้งใบหน้าและร่างกาย เพราะความแตกต่างในระดับพลังปราณจึงทำให้ไม่สมหวังในความรัก
และนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ชิงฮูได้พ่ายแพ้ให้กับเหลียนเย่เอ่อ และเป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยรับรู้ถึงการมีอยู่ของเธอ เมื่อเทียบกับชิงฮูแล้ว เหลียนเย่เอ่อนั้นแบกรับชื่อเสียงอัจฉริยะที่สามารถท้าทายสรวงสวรรค์เอาไว้ ชิงฮูนั้นรู้ดีว่าการที่จะได้แต่งงานกับเธอนั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ซะอีก
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและผ่านไปแล้วกว่าครึ่งปี
หลังจากนั้นในครึ่งปีให้หลังนี้ ชิงฮูและชิงเป่ยก็เริ่มที่จะฝึกฝนพื้นฐานของหมัดอสูรสันโดษขากชิงสุ่ย ชิงสุ่ยรู้ว่ามีสถานการณ์มากมายที่ต้องใช้หมัดอสูรสันโดษ ซึ่งภายในบรรจุไปด้วยรูปแบบไทชิ หมัดอสูรสันโดษนั้นเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ประชิดตัวขั้นสูง มันสามารถรับรู้ถึงจุดอ่อนและจุดชีพจรบนร่างกายมนุษย์ ความจริงของหมัดอสูรสันโดษนั้นมีจุดมุ่งหมายคือจุดอ่อนของศัตรูและบรรลุถึงความตายเพียงการโจมตีครั้งเดียว
“ท่านพี่ไปตามหาเธอเพื่อท้าประลองโดยสมัครใจ แต่เขาก็ยังพ่ายแพ้กลับมา”ชิงเป่ยกล่าวอย่างหมดหนทาง
วิธีที่จะไม่ให้พ่ายแพ้นะรึ? คนนึงอยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 5 เมื่อให้เทียบกับเหลียนเย่เอ่อที่อยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 แล้วล่ะก็…… ชิงสุ่ยส่ายหัวพร้อมทั้งยิ้มออกมา
“พี่ชายสุ่ย หมัดอสูรสันโดษที่พี่ชายสอนให้พวกเรานั้นเป็นเคล็ดวิชาที่น่ากลัวมาก แต่มันเป็นเพียงเพราะว่าระดับการบ่มเพาะพลังปราณของท่านพี่นั้นอยู่ในระดับที่อ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับเธอนั้นที่อยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 7 แล้วล่ะก็ท่านพี่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง”
“ อ้าว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ” ชิงสุ่ยถามด้วยความสนใจเพราะเขารู้ว่าทักษะการต่อสู้จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ชั้นคือ ขั้นโฮ่วเทียน(ขั้นก่อนสวรรค์) ,ขั้นเซียนเทียน(ขั้นก่อเกิดสวรรค์),ขั้นตำนาน และ ขั้นเทพพระเจ้า และทั้ง 4 ชั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ชั้นย่อยคือ หวาง(สีเหลือง)<<ปริศนา<<ปฐพี<<สรวงสวรรค์!!!!
ชิงสุ่ยเคยได้ยินชิงอี้อธิบายว่า เคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้านั้นจัดอยู่ในชั้นโฮ่วเทียน(ก่อนสวรรค์) และอยู่ขั้นสรวงสวรรค์ ส่วนกระบวนท่าของตระกูลเหลียน ดาบผนึกเยือกแข็งนั้นจัดอยู่ในชั้นโฮ่วเทียน(ก่อนสวรรค์)ขั้นปฐพี แล้ว……สิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาล่ะเคล็ดวิชาโบราณเสริมสร้างความแข็งแกร่ง มันจะถูกจัดอยู่ในชั้นอะไรขั้นอะไรกันล่ะ?? ชิงสุ่ยไม่อาจรับรู้คำตอบนั้นได้
ชิงสุ่ยนั้นมีโอกาสทดสอบหมัดอสูรสันโดษเพียงครั้งเดียวกับหมาป่าอสูรทองคำ เขาไม่เคยต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเองแม้แต่ครั้งเดียว โดยธรรมชาติ เมื่อชิงสุ่ยทราบแล้วว่าชิงฮูนั้นได้ใช้หมัดอสูรสันโดษที่เขานั้นฝึกฝนมันเพียงครึ่งปี เพื่อต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า 2 ขั้นอาณาจักรพลัง ชิงสุ่ยจึงต้องการรายละเอียดการต่อสู้ทั้งหมด
“ในตอนแรกนั้น เหลียนเย่เอ่อ ไม่ได้สนใจในตัวของท่านพี่ เธอตั้งใจจะสั่งสอนท่านพี่ โดยใช้ความแข็งแกร่งระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 5 ซึ่งอยู่ในระดับที่เท่าเทียบกับท่านพี่ ในใจของเธอนั้นพิจารณามาเป็นอย่างดีแล้วว่า การที่จะต่อสู้กับคนที่พึ่งก้าวเขาสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 5 อีกทั้งต้องต่อสู้กับคนที่ไม่รู้จักเทคนิคการต่อสู้ใดๆเลย มันหาได้จำเป็นต้องถึงขั้นที่จะเปิดเผยพลังที่แท้จริงออกมา เธอใช้นิ้วมือของเธอนั้นเปรียบเสมือนดาบ เธอประมาทในพลังของท่านพี่เลย จนสุดท้ายเธอก็เกือบจะพ่ายแพ้ให้กับท่านพี่ เธอถูกท่านพี่กดดันให้เธอต้องถอยออกห่าง และแขนของเธอก็เริ่มชา
หลังจากฟังชิงเป่ยอธิบาย ชิงสุ่ยก็อนุมานได้ว่าชิงฮูนั้นตั้งใจจะโจมตีไปยังจุดชีพจรแต่ละจุดบนแขนของเหลียนเย่เอ่อ
“และหลังจากนั้นเหลียนเย่เอ่อก็ไม่กล้าประมาทในพลังของท่านพี่ เธอปลดปล่อยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอออกมาทันที พร้อมทั้งใช้เคล็ดวิชาที่อยู่ในขั้นที่สูงกว่าอสูรสันโดษของท่านพี่ ท่านพี่สามารถป้องกันกระบวนท่าของเหลียนเย่เอ่อได้ไม่กี่กระบวนท่า และแล้วการต่อสู้ก็สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของท่านพี่” ชิงเป่ยพยายามอธิบาย
“นี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เหตุการณ์นี้คงจะกระทบไปถึงระดับจิตใจของชิงฮู อาจเป็นไปได้ว่า เหลียนเย่เอ่อคนนี้อาจจะเป็นคนทำลายความปราถนาที่จะก้าวหน้าของชิงฮู
ชิงสุ่ยเอามือแตะที่หน้าผากเบาะพร้อมทั้งคิดเกี่ยวกับอนาคตของเขา อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่เป็นจุดสนใจขจากคนตระกูลเหลียน ถ้าเขาไม่สามารถจัดการคนจากตระกูลเหลียนได้ อย่าได้คิดแม้แต่วิธีที่จะออกผจญภัยโลกกว้าง? วิธีที่จะต่อกรกับผู้เชียวชาญระดับสูงในโลกของคิวชู? วิธีที่จะหยัดยืนขึ้นต่อต้านนิกายต่างๆหรือแม้แต่พรรคพวกสมาคมต่างๆที่หยังรากลึกมานานนับสหัสวรรษ
ถ้าหากเขาต้องการแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างให้กับชิงอี้แล้วล่ะก็ อย่างน้อยชิงสุ่ยจะต้องสามารถปะทะกับตระกูลเหล่านี้ได้