I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Ancient Strengthening Technique ตอนที่ บทที่ 178 – เลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งผู้อาวุโส!!! สิ้นสุดระหว่างอาจารย์และศิษย์

| Ancient Strengthening Technique | 1045 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

บทที่ 178 – เลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งผู้อาวุโส!!! สิ้นสุดระหว่างอาจารย์และศิษย์

“ชิงสุ่ย พรุ่งนี้เจ้าอย่าทำร้ายพวกเขาให้บาดเจ็บมากเกินไปล่ะ”

ชิงสุ่ยค่อนข้างตกใจกับคำพูดของอีเย่เจี้ยนเก้อ เขาไม่คิดว่าเธอจะรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว แสดงว่าข่าวลือนี้จะต้องแพร่กระจายมาจากหุบเขาจรู้ชิง

ทั้งสามคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ!!

“โอ้ ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวล ไม่ว่ายังไงข้าก็ยังเป็นหนึ่งในคนของนิกายกระบี่นภา”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ชิงสุ่ยต้องการทำให้หนึ่งในคนกลุ่มนั้นต้องพิการเพราะคำพูดของพวกมัน ก็อย่างไรก็ตามเขาต้องละทิ้งความคิดเหล่านั้นทันทีหลังจะได้ยินคำพูดของอีเย่เจี้ยนเก้อ

“เข้าใจละ ไปพักผ่อนเสียเถิด เจ้าจะต้องพักฟื้นขอเจ้าหลับฝันดี!”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวขึ้นและค่อยๆลุกขึ้นยืน

“ท่านก็ด้วย ท่านควรพักผ่อนให้มากๆ!!”ชิงสุ่ยลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มและเดินไปทางด้านหลัง

แต่ทันใดนั้น ชิงสุ่ยก็หันกลับมามองอีเย่เจี้ยนเก้อ ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม “ท่านอาจารย์ ท่านรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเปล่า? ท่านมีเป้าหมายหรือมีอะไรที่ท่านต้องการหรือไม่?”

“ชิงสุ่ย ไปเดินเล่นกับอาจารย์หน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”อีเย่เจี้ยนเก้อมองไปที่ชิงสุ่ยและค่อยๆกล่าวคำพูดออกมา

ทั้งสองคนเดินตรงไปยังจุดสูงสุดของหุบเขา ดวงจันทร์ยังคงสว่างไสวอยู่บนนภาที่ล้อมรอบไปด้วยดาวฤกษ์ต่างๆนาๆ ในสายตาของชิงสุ่ยเขาก็ยังพบว่าอีเย่เจี้ยนเก้อเต็มไปด้วยความเหงาความอ้างว้างภายใต้แสงจันทร์ ความอ้างว้างของเธอฝังลึกเข้าไปในหัวใจของชิงสุ่ย

ตั้งแต่ยุคบรรพกาล โฉมงามมักเคียงคู่กับความเหงาเสมอ

ถึงแม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะอบอุ่นแม้กระทั่งยามค่ำคืน อย่างไรก็ตามลมหนาวยังคงพัดผ่านร่างกายและชายเสื้อคอชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อ มันยิ่งแสดงให้เห็นว่าเธอดูอ่อนแอมากยิ่งขึ้น

“ตัวข้านั้นเป็นเด็กกำพร้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวไร้ญาติสนิทมิตรสหายในโลกนี้เป็นอย่างไร?” อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวอย่างนิ่มนวล

คำพูดของเธอทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจในทันที ไร้ซึ่งญาติมิตรมันเป็นเรื่องที่น่าสงสารสำหรับเด็กทุกคน ชิงสุ่ยครุ่นคิดถึงความยากลำบากที่จะต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวในโลกใบนี้

ในชีวิตที่ผ่านมาของชิงสุ่ย เขาเองมีทั้งครอบครัวที่มีความสุข และมีพ่อแม่ที่รักเขาอย่างสุดซึ้ง อีกทั้งยังมีพี่ชายที่แสนดีต่อเขาเสมอ แม้ว่าเขาอาจจะเป็นคนที่เกเรและพยายามทำลายสานสัมพันธ์ความรักที่พ่อแม่มีต่อเขา แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนยังคงมองว่าเขาเป็นสมบัติล้ำค่าที่ดีที่สุดเสมอ

แม้กระทั่งในตอนที่เขามาถึงโลกเก้ามหาทวีป เขายังคงมีแม่ที่รักเขาอย่างสุดซึ้ง และเขาสามารถรู้สึกได้ถึงความรักที่ใหญ่ในครั้งนี้ เขาไม่อาจจินตนาการถึงการเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งได้เลย แต่เขาเองก็รู้สึกได้ถึงความสับสนและความโดดเดี่ยวถูกทอดทิ้ง

มันเหมือนกับการที่เขาเดินทางไปยังเมืองที่แปลกใหม่ เขาจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ซึ่งครอบครัวที่เคยผูกพันด้วยความรัก

ชิงสุ่ยรู้ว่าวิธีการเปลี่ยนแปลงความเหงาที่ฝังรากที่หยั่งลึกเข้าไปในจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าเด็กกำพร้าที่รายครอบครัว พวกเขาจะต้องเริ่มสร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่เช่นการมีลูกและมีคนสำคัญ มันก็จะสามารถทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น แต่ชิงสุ่ยรู้ดีว่าอีเย่เจี้ยนเก้อยังไม่อยากที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากภายในระยะเวลาสั้นๆ

หลังจากที่เธอกล่าวจบ อีเย่เจี้ยนเก้อยังคงมองดูจันทราสีเงินที่งดงามและ ส่องแสงสว่างสดใสอยู่บนนภาอยู่อย่างเงียบๆ แสงจันทราที่ส่องสว่างสะท้อนความรู้สึกเศร้าหมองผ่านสีหน้าการแสดงออกของเธอ

แม้ว่าตอนที่ชิงสุ่ยจะกลับเข้าไปสู่ดินแดนหยกพยุพราชอมตะ หัวใจของเขายังคงสะท้อนภาพที่เศร้าหมองของอีเย่เจี้ยนเก้อ ภายใต้เสื้อผ้าสีสดสว่าง แต่ความเศร้าโศกทรมานอันแสนเจ็บปวดของเธอนั้นกลับหยั่งลึกเกินกว่าทุกคนจะคาดถึง

ถึงแม้ว่าอีเย่เจี้ยนเก้อจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่ชิงสุ่ยกลับสามารถมองเห็นมากกว่าสิ่งที่เธอเป็นเด็กกำพร้า ชิงสุ่ยรับรู้ได้ว่าเทพธิดาอย่างอีเย่เจี้ยนเก้อ กำลังแบกรับบางสิ่งบางอย่างที่หนักมากเกินกว่าที่เธอจะรับไหว

ชิงสุ่ยรู้ตัวดีว่าเขาเองยังคงแข็งแกร่งไม่พอ เขาจึงพยายามที่จะฝึกฝนมากยิ่งขึ้น เพราะว่าเขาจะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อเขามีพละกำลังมากเพียงพอ ชิงสุ่ยจึงเริ่มโคจรพลังจากเคล็ดวิชากายาบรรพกาลซ้ำแล้วซ้ำอีก หลังจากการฝึกซ้อมที่หนักหน่วง 1 เดือนผ่านไป ตอนนี้เขาสามารถโคจรพลังปราณได้มากถึง 69 รอบ ซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

ชิงสุ่ยค้นพบว่าทุกๆครั้งที่เขาสามารถทะลวงผ่านทศรอบ(รอบที่ 10 , รอบที่ 20 ,รอบที่ 30)พลังความแข็งแกร่งของข้าจะเพิ่มขึ้นแต่ไม่ทวีคูณถึง 10 เท่า เช่น ความแข็งแกร่งจะถูกเพิ่มขึ้นอีก 1000 จินขึ้นเมื่อเขาสามารถบรรลุการโคจรพลังปราณรอบที่ 59  แต่เมื่อเขาสามารถบรรลุการโคจรพลังปราณรอบที่ 60 ได้ พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกเพียง 3000 จิน

ในวันที่สอง ชิงสุ่ย ยังคงฝึกฝนในตอนเช้าบนยอดของหุบเขา นอกจากเพลงหมัดแล้ว เขาเองยังฝึกฝนเคล็ดกระบี่อีกมากกว่าร้อยครั้ง จากการสวมเสื้อคลุมสีม่วงของนิกายกระบี่นภามันทำให้อารมณ์ของเขาดูสดใสและมีเสน่ห์มากขึ้น

หลังจากฝึกฝนอยู่ภายใต้พลังปราณคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 4 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล การเจาะและทะลวง ทุกท่วงท่าต่างพัฒนาขึ้นจนน่าแปลกใจ

อีเย่เจี้ยนเก้อยังคงมองดูการเคลื่อนไหวทุกกระบวนท่ากระบี่ของชิงสุ่ยจากระยะไกล ดวงตาของเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอมองเห็นพลังปราณเทวะเซียนเทียนสีเหลือง ที่เล็ดลอดออกมาจากปลายใบคมกระบี่ของชิงสุ่ย เธอจึงเผลอเปิดปากด้วยความประหลาดใจ แต่ฉันน่าเสียดายที่ชิงสุ่ยไม่สามารถมองเห็นฉากที่สวยงามเช่นนี้ได้

หลังจากมื้ออาหารเช้าชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อก็เดินทางมาถึงห้องโถงใหญ่ของยอดหุบเขากระบี่นภา และมองเห็นคนจำนวนมากเต็มทั่วอาณาบริเวณลานประลอง

“เจ้ารู้เรื่องที่รองผู้อาวุโสเทียซ่งฉาน กำลังท้าประลองกับผู้พิทักษ์คนใหม่อย่างชิงสุ่ยหรือไม่?”

“ชิงสุ่ย?  เขาคือชายน่าหวาดกลัวที่สามารถล้มผู้อื่นได้โดยการใช้เพียงขบวนท่าเดียวใช่หรือไม่?”รุ่นเยาว์คนหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

“ชายที่น่าหวาดกลัวอะไรกัน? ข้าว่าเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสเทีย เขาคงจะต้องก้มหัวหลังจากจบกระบวนท่าแรก มันคงไม่ดีนักถ้าหากเขาจะหยิ่งยโสกับคนที่ไม่ควรแสดงกิริยาเช่นนั้นด้วย”

“ถูกต้อง เจ้าเด็กนั้นถึงคราวซวยแล้ว เวลานี้ เขาคงเปรียบได้กับการเอามืออันโสโครกทุบกำแพงหินที่ไม่มีวันแตก”

. …………………………………………………………………………..……………..

“ชิงสุ่ย ข้าคงจะไม่ไปดูการประลองของเจ้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่าอย่าทำร้ายพวกเขามากเกินไป”ภายในห้องโถงใหญ่ อีเย่เจี้ยนเก้อเตือนสติชิงสุ่ยอีกครั้ง

ชิงสุ่ยจึงทำได้เพียงฝืนยิ้ม เหตุผลทั้งหมดเป็นเพราะว่าเคล็ดวิชาต่างๆในการต่อสู้ที่เขาใช้นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้สังหารผู้คน อาจารย์เทพธิดาวังเขาจึงกลัวว่าเขาจะใช้มันในการสังหารคนเรานั้น

เมื่อชิงสุ่ยเดินเข้าไปใกล้ลานประลองเขาก็เห็น เทียซ่งฉานยืนอยู่บนสนามประลองพร้อมทั้งสวมใส่เสื้อคลุมสีม่วง

“ชิงสุ่ยอยู่นี้แล้ว!!”

เสียงคนร้องตะโกนดึงดูดทุกคนให้หันไปมองชิงสุ่ย!!

“ว้าว นั่นมันเสื้อคลุมผู้พิทักษ์สีม่วง ข้ารู้สึกชอบเขามากเหลือเกิน!!”เสียงของหญิงสาวดังขึ้น

“ข้าชอบความป่าเถื่อนของเขา แต่ช่างน่าเสียดายที่ข้าไม่อาจแข็งแกร่งเท่ากับเขา”

…………………..……………..……………..……………..……………..……………..

ชิงสุ่ยมองเห็นกลุ่มของเหวินเหรินอูซวงที่สวมเสื้อคลุมสีม่วง แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง แต่เธอเองก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่งดงามที่สุดในอาณาบริเวณนี้

เขายิ้มและพยักหน้าให้กับเหวินเหรินอูซวง ชิงสุ่ยกำลังถือกระบี่ยาวสีเงินที่ไป๋ลี่จิงเว่ยมอบให้แก่เขาขณะที่เขาเดินขึ้นไปบนลานประลอง ในขณะที่ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างต่างเริ่มต้นคำสนทนามากมาย บางคนก็เริ่มที่จะชมเชย แต่บางคนก็เริ่มต้นด้วยคำดูถูก ซึ่งส่วนใหญ่สาวกนิกายที่อยู่ในหุบเขาจรู้ชิงกำลังกล่าวถึงชิงสุ่ย

“ข้าาคิดว่าผู้พิทักษ์ชิงสุ่ยเป็นผู้พิทักษ์ที่หล่อเหลาที่สุดในนิกายกระบี่นภา ถ้าหากข้าได้ใกล้ชิดกับเขาและมีความสัมพันธ์เพียงข้ามคืนข้าก็พอใจแล้ว” หญิงรูปร่างสูงกล่าวขึ้นมาด้วยความหลงใหล

“ข้าเองก็พอใจถ้าหากเขายอมใช้เวลาอยู่กับข้าเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น” หญิงสาวหน้ารูปไข่พูดจาเรื่องน่ารังเกียจ

เหวินเหรินอูซวงที่ยืนอยู่ไม่ไกลเผยรอยยิ้มเล็กๆก่อนกล่าวออกมาว่า “พ่อหนุ่มน้อยคนนี้ช่างเติบโตขึ้นอีกแล้ว”

……………………………….

“แท้จริงแล้วเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้”ชิงสุ่ยมองไปยังเทียซ่งฉานก่อนที่จะกล่าวมาโดยไม่แย้แส้

“ไม่ว่าข้าจะเป็นเช่นไรข้าย่อมไม่มีวันเสียใจที่ยืนอยู่บนลานประลองแห่งนี้ ข้าได้เลือกสิ่งที่ข้าต้องการอีกครั้ง และข้ายอมรับชะตาของข้า มิฉะนั้นการฝึกฝนของข้าคงไม่พัฒนาขึ้น”เทียซ่งฉานกล่าวอย่างหนักแน่น

“ข้าขอบอกก่อนเลยว่า เคล็ดวิชาการต่อสู้ของข้าถูกฝึกฝนมาเพื่อสังหารผู้คน เจ้าคงจะไม่แสดงความหวาดกลัวถ้าหากข้าคิดจะสังหารเจ้า”คลื่นพลังที่เล็ดลอดออกมาจากคำพูดของชิงสุ่ยสอดแทรกไปด้วยคลื่นพลังพยัคฆ์คำรามมันเป็นไปด้วยจิตสังหารที่บั่นทอนความคิดและจิตใจของผู้ที่ได้ยินเสียง ซึ่งหลังจากที่ชิงสุ่ยฝึกฝนรูปแบบพยัคฆ์จนก้าวหน้าขึ้น เขาก็ค้นพบว่าคลื่นเสียงจากพยัคฆ์คำรามสามารถสร้างความกลัว สร้างจิตสังหาร และสร้างกดดันต่อจิตวิญญาณและความคิดของผู้คนที่ได้ยินเสียงได้

คนที่อยู่เบื้องล่างของลานประลองต่างอยากที่จะสาปแช่งเขาแต่พวกเขาก็เลิกกล่าวคำสาปแช่งเนื่องจากเขารับรู้ได้ถึงพลังที่น่ากลัว

“ในฐานะที่ข้าเป็นผู้ฝึกตนทางด้านการต่อสู้ ทุกครั้งที่ข้าฝึกฝนข้าย่อมเกี่ยวพันกับความตายอยู่เสมอ แม้ขณะที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ข้าเองก็ไม่เสียใจแม้ว่าใครจะต้องตายก็ตาม มาเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องของข้า”เทียซ่งฉานค่อยๆถอดกระบี่ออกจากคมฝัก และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ

“มาเถิด แสดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าให้ข้าดู ก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาส”ชิงสุ่ยยังคงถือกระบี่เงินที่อยู่ในฝัก

คลื่นเสียงพยัคฆ์คำรามที่แผ่กระจายรับรอบตัวของชิงสุ่ยยังคงดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ความกดดันยังคงถาโถมอยู่เฉกเช่นเดียวกับคลื่นทะเลที่ไร้ซึ่งความสงบ

เทียซ่งฉานหยุดแสดงความสุภาพ กระบี่ยาวในมือของเขาเริ่มปรากฏเป็นคลื่นพลังปราณเทวะเซียนเทียนยาวกว่าครึ่งนิ้ว ร่างกายของเขาเริ่มพุ่งเข้าหาชิงสุ่ยอย่างรวดเร็ว

ชิงสุ่ยโคจรพลังปราณจากเคล็ดวิชากายาบรรพกาลถ่ายทอดเข้าสู่กระบี่เงินโดยมิให้ผู้ใดมองเห็น ชิงสุ่ยไม่ปล่อยให้แม้แต่คลื่นพลังปราณเล็ดลอดออกจากปลายกระบี่ เมื่อเขามองเห็นกระบี่ของเทียซ่งฉาน เขาก็รู้สึกถึงพลังอำนาจที่ไม่ต่ำกว่า 10000 จินซึ่งรวมกับพลังปราณเทวะเซียนเทียน กำลังตัดผ่าคลื่นเสียงพยัคฆ์คำรามให้แยกออกจากกัน

จากมุมมองของคนที่อยู่เบื้องล่าง ภาพที่ปรากฏคือชิงสุ่ยค่อยๆก้าวบอกไปเพื่อหลีกเลี่ยงความเร็วดุจสายฟ้าฟาดของเทียซ่งฉานซึ่งมันเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ!!

ชิงสุ่ยพยายามที่จะหลบหลีกกระบวนท่าแรก เขาก้าวหลบอย่างสบายๆโดยไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาต่อสู้ใดๆ หลังจากที่เทียซ่งฉานโจมตีพลาด ชิงสุ่ยก็หันกลับไปโบกมือขณะที่พลิกตัวหลบกลางอากาศ ทำให้เสียงของผู้คนเบื้องล่างดังกระหึ่มบอกมา

และแล้วชิงสุ่ยก็เริ่มเคลื่อนไหวดุจเงาในขณะที่เขาเอากระบี่ยาวออกมาจากมืออย่างรวดเร็วราวกับยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดและพุ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเทียซ่งฉานโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

“เจ้ายังคิดจะต่อสู้กับข้าอีกหรือไม่? ข้าได้สัญญากับคนผู้หนึ่งเอาไว้ว่าข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาอย่างนิ่มนวล

ฝูงชนในตอนนี้กำลังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความอ่อนแอของเทียซ่งฉาน!!

“นี่มันอะไร? รองผู้อาวุโสอันดับหนึ่งกลับไม่สามารถล้มเขาได้ พวกเจ้าก็เห็นชัดว่าสถานะของพวกเขานั้นต่างกัน แล้วเหตุใดมันถึงเกิดประเด็นเช่นนี้ขึ้นมาได้?”ชายคนหนึ่งพูดมาด้วยความขุ่นเคือง

“เขาเป็นคนหยิ่งยโส เขาไม่สนใจเรื่องการท้าทายเช่นนี้หรอก ถ้าเป็นข้า ข้าเองก็จะแสดงความยิ่งยโสเช่นกัน ในเมื่อมีผู้กล้าท้าประลองกับข้า ข้าคงจะทำให้มันได้รับความอัปยศอดสูขั้นสูงสุด”

“อย่าต่อสู้กันเช่นนี้อีกเลย มันไม่มีประโยชน์!!”

“อย่าทำให้สถานะรองผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง  ไร้ความหมายเช่นนี้อีกเลย!!”ผู้คนมากมายต่างตะโกนเรียกร้องออกมา

…………………………………………………………………………………………

เทียซ่งฉานฝืนยิ้มและยังคงยืนอยู่ที่เดิม

ชิงสุ่ยกระโดดออกจากสนามประลอง สายตาของคนเหล่านั้นที่จ้องมองดูชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้

ชิงสุ่ย พบว่าเหวินเหรินอูซวงได้หายตัวไปแล้ว เขายิ้มอย่างขมขื่น หญิงสาวโฉมงามคนนี้ทิ้งเค้าไปทันทีหลังจากที่เห็นว่าปัญหาใดๆคงไม่เกิดขึ้นกับเขา เพราะในตอนแรกเธอเป็นไปด้วยความเป็นห่วง!!

เมื่อเขามาถึงห้องโถงใหญ่ชิงสุ่ยก็พบกับอีเย่เจี้ยนเก้อที่กำลังยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า มันยิ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกอบอุ่นใจมากยิ่งขึ้น

ชิงสุ่ยรู้สึกว่าอีเย่เจี้ยนเก้อเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งเพื่อนของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเรียกเธอว่าอาจารย์ แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกจึงท่านอาจารย์กับศิษย์ เพราะเธอเองก็ไม่ได้สอนเคล็ดวิชาการต่อสู้ใดๆแก่เขา และพวกเขาปฏิสัมพันธ์ที่เข้มงวดเหมือนอาจารย์กับลูกศิษย์ที่คอยแนะนำเปรียบดังพ่อแม่

“ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสของข้า ทำไมท่านยังคงอยู่ที่นี่? หรือว่าแท้จริงแล้วท่านไม่ได้ยุ่งกับงานของท่านอยู่?”ชิงสุ่ยเผยรอยยิ้มและกล่าวออกมา

อีเย่เจี้ยนเก้อมองไปที่ชิงสุ่ย ในเวลานั้นเธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเป็นห่วงสาวกนิยายคนนี้อย่างมาก นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์จริงๆหรือ? ในครั้งที่อีเย่เจี้ยนเก้อตัดสินใจเลือกเขาเป็นศิษย์เธอไม่ได้มองเห็นพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ของชิงสุ่ย แต่เธอรู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และมีคนที่ละเอียดอ่อน รูปงาม และรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ชายตามอง

“อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส เดี๋ยวหลังจากนี้คนอื่นจะต้องเรียกเจ้าว่าผู้อาวุโสเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความขี้เล่น

“คนอื่นสามารถเรียกค่าว่าผู้อาวุโสได้ เพราะข้าไม่เคยกลัว เพราะว่าถ้าเทียบเรื่องอายุแล้วหากมีผู้ใดเรียกข้าว่าผู้อาวุโส พวกเขาคงจะเป็นพวกหัวโบราณ แต่ที่จริงแล้ว ข้าก็อยากให้พวกหัวโบราณนั้นเรียกข้าว่าผู้อาวุโส”ชิงสุ่ยกล่าวโดยไม่รู้สึกอับอายใดๆ

อีเย่เจี้ยนเก้อยังคงยิ้มและมองไปที่ชิงสุ่ยพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าช่างร้ายกาจนัก หรือว่าเจ้าอยากจะเรียกข้าว่าพวกหัวโบราณล่ะ?”

ชิงสุ่ยหน้าแดงด้วยความเขินอาย ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมา “มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ข้ามิกล้าหรอก?”

“เออ ข้าพึ่งพูดคุยกับผู้อาวุโสท่านอื่น พวกเราต้องการที่จะเลื่อนขั้นสถานะของเจ้าขึ้นสู่ สถานะผู้อาวุโสลำดับที่ 11 ของนิกายกระบี่นภาแห่งนี้”อีเย่เจี้ยนเก้อมองดูชิงสุ่ยก่อนที่จะหัวเราะออกมา

“ข้าจะสามารถเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร? ด้วยความสัตย์จริง ข้าเองยังไม่ต้องการสถานะผู้พิทักษ์เลยแม้แต่น้อย ถ้าหากไม่ใช่เพราะอยากให้ท่านมีความสุข ข้าเองก็คงจะเป็นสาวกนิยายระดับทั่วไป”

“ไม่ เจ้าห้ามปฏิเสธ จากนี้เป็นต้นไป เจ้าคือผู้อาวุโส ลำดับที่ 11  ของนิกายกระบี่นภา และในวันพรุ่งนี้ ข้าจะจัดพิธีเลื่อนขั้นสู่ผู้อาวุโสของเจ้า และหลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ของข้าพเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว จากนี้ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มขณะมองไปทางชิงสุ่ย

หัวใจของชิงสุ่ยกำลังรู้สึกเจ็บปวด ขณะที่เขามองไปยังใบหน้าของอีเย่เจี้ยนเก้อ เขาไม่คิดเลยว่าอาจารย์ของเขานั้นจะมีอิทธิพลต่อเขามากขนาดนี้

ทำไมการสูญเสียนี้ถึงยากเกินกว่าที่เขาจะทน เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกทอดทิ้ง ขณะที่เขาจ้องมองอีเย่เจี้ยนเก้อด้วยความงุนงง

“ข้าไม่ได้อยากเป็นผู้อาวุโสเลย หรือว่าท่านไม่ต้องการข้าแล้ว? ข้าทำอะไรผิดหรือถ้าทำสิ่งใดไม่ดีต่อท่าน?”ชิงสุ่ยมองดูอีเย่เจี้ยนเก้อและค่อยๆกล่าวถ้อยคําออกมา

อีเย่เจี้ยนเก้อคนข้างจะมีความสุขในขณะที่เธอค่อยๆกล่าวออกมาว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว วันนี้เจ้าถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่นภาเช่นเดียวกับข้า ข้าไม่อาจสอนสิ่งใดให้แก่เจ้าได้จริงๆ ศักยภาพในตัวของเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ที่สำคัญตอนนี้ข้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวออกมาอย่างตั้งใจ

“ไม่ ข้าไม่สนใจ ท่านยังเป็นอาจารย์ของข้าอยู่เสมอไม่ว่าอะไรก็ตาม ยังไงข้าก็จะเรียกท่านว่าอาจารย์”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ

อี้เย่เจี้ยนเก้อกล่าวออกมายังช่วยไม่ได้ “เดี๋ยวข้าจะเตะเจ้าออกจากประตูแห่งนี้ ในตอนนี้ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าแล้ว และเจ้าก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของข้า”

ชิงสุ่ยถูจมูกและกล่าวอย่างเขินอาย “ท่านอาจารย์ ช่วยบอกข้าเถิดว่าข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไรถ้าหากไม่ให้ข้าเรียกท่านว่าอาจารย์ รุ่นพี่? หรือว่า เจี้ยนเก้อ?”

อีเย่เจี้ยนมองชิงสุ่ยด้วยความตกใจ เมื่อชิงสุ่ยเรียกเธอว่าเจี้ยนเก้อ มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้ หลังจากที่เธอจ้องมองชิงสุ่ยเพียงชั่วครู่หนึ่งเธอก็พูดออกมาว่า “ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นหรือว่าเจ้าจะเรียกข้าว่าผู้อาวุโสลำดับที่สิบ?”

“ก็ดีนะ เออท่านอาจารย์ หน้าที่ของผู้อาวุโสในนิกายกระบี่นภาต้องทำสิ่งใดบ้าง?”ชิงสุ่ยกระพริบดวงตาอย่างกับอี้กระเป๋าในขณะที่เขามองไปยังอีเย่เจี้ยนเก้อ

“ผู้อาวุโสจะต้องปกปักรักษานิกายและหุบเขาเอาไว้ให้คงอยู่”

“ท่านอาจารย์ ข้าจะรักษาหุบเขาเอาไว้ด้วยวิธีใดกัน”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก

“เข้าร่วมการแข่งขันงานประลองแลกเปลี่ยนระหว่างนิกายที่จะจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี และพยายามเอาชนะพวกเขาให้ได้เมื่อต้องต่อสู้”อีเย่เจี้ยนสังเกตเห็นว่าชิงสุ่ยไม่ยอมละทิ้งคำพูด และยังคงเรียกเธอว่าอาจารย์

“นิกายกระบี่นภาถือได้ว่าเป็นตราสัญลักษณ์นิกายที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรชางหลาง ดังนั้นพวกเราจึงต้องพร้อมที่จะยอมรับความท้าทายจากนี้ใจอย่างอื่นในอาณาจักรชางหลาง นอกจากนี้ยังต้องยอมรับการแลกเปลี่ยนการประลองกับบรรดานิกายจากอาณาจักรอื่นๆอีกด้วย”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวเพิ่มเติม

“ความแข็งแกร่งของข้านั้นช่างอ่อนแอเหลือเกิน ข้าคงไม่อาจรักษาหน้าของหุบเขาแห่งนี้ไว้ได้”

“เจ้าอ่อนแอ? เจ้าสามารถเอาชนะเทียซ่งฉานได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ความเชี่ยวชาญทางด้านกระบี่ของเจ้าก้าวเข้าสู่ขั้นดินแดงที่แท้จริง เจ้ายังบอกว่าพลังของเจ้าอ่อนแอเกินไปอย่างนั้นหรือ? เจ้ากล่าวเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการตบหน้าผู้อื่นอย่างรุนแรง”อีเย่เจี้ยนเก้อรู้สึกช่วยไม่ได้และมองหน้าของชิงสุ่ยที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง

นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชิงสุ่ยได้เห็นการแสดงออกบนใบหน้าที่งดงามของอีเย่เจี้ยนเก้อ และเขาเองก็จ้องมองเธออยู่พักหนึ่ง นี่ถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดที่สถานที่แห่งนี้ขาดแคลน มันเปรียบดั่งความงามของน้ำแข็งที่กำลังหลอมละลาย

ชิงสุ่ยรีบละทิ่้งความคิดทั้งหมดออกไป เขาไม่ต้องการจะหมิ่นประมาทเธอ แม้ว่าหัวใจของเขาเรียกร้องก็ตาม “ท่านอาจารย์ อีกนานเท่าไรกว่าจะเป็นการแข่งขันทุกๆ 3 ปีจะเริ่มต้นขึ้น?”

“อีกไม่ถึงครึ่งปี ซึ่งมันคงจะเป็นเวลาประมาณปลายปี”อีเย่เจี้ยนเก่อกล่าวตอบ

“ท่านอาจารย์ พวกเรากลับหุบเขาเมฆากันเถอะ ข้าจะออกเดินทางหลังจากวันพรุ่งนี้ และถ้าหากข้าไม่กลับมาภายในสิ้นเดือน ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ารับรองว่าข้าจะกลับมาก่อนสิ้นปีนี้”ชิงสุ่ยยังคงคิดว่าเขาสมควรที่จะกลับมานิกายกระบี่นภาในทุกๆเดือน แต่เนื่องจากเขายังไม่มีสัตว์อสูรบินได้เลยไม่ได้ตัวเดียว ดังนั้นการเดินทางจึงใช้เวลานานช่วยปรับให้เขาสูญเสียเวลาการฝึกฝนไปมาก

อีเย่เจี้ยนเก้อก็คิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าตกลงและเตือนเขาว่าเขาจะต้องกลับมาก่อนสิ้นปีนี้!!

ในวันรุ่งขึ้น ชิงสุ่ยได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่นภา มันยิ่งทำให้ชื่อของชิงสุ่ยเป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้น เขาได้กลายเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงจูงใจในการฝึกฝนของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาได้กายเป็นเป้าหมายของเหล่าสาวกนิกายสาวจากหุบเขาจรู้ชิง

ถ้าหากว่าชิงสุ่ยรู้ว่าเขากลายเป็นตัวละครหลักที่สาวๆต่างเก็บไปฝันและจินตนาการเรื่องเพศ เขาจะรู้สึกอย่างไรกัน?

 

****ใกล้ได้เห็นชิงสุ่ยบาดเจ็บแล้ววววว 5555 *******

 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments