I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Divine Throne of Primordial Blood ตอนที่ 15 ประวัติศาสตร์

| Divine Throne of Primordial Blood | 680 | 2367 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ยามเมื่อสวรรค์และโลกอุบัติขึ้นเป็นครั้งแรก โลกใบนี้ต่างปกคลุมไปด้วยความแห้งแล้ง

จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ณ ศูนย์กลางพื้นที่แห้งแล้งนั้น ส่งผลให้แหล่งต้นกำเนิดพลังอันยิ่งใหญ่ปะทุขึ้นมาจากการระเบิดครั้งนั้น

พลังนี้ส่งผลกระทบต่อโลก มันเปลี่ยนท้องนภาและผืนปฐพี พร้อมทั้งสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมานับไม่ถ้วน

สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกต่างได้รับพลังต้นกำเนิดไปจำนวนมาก ร่างกายของพวกมันสูงใหญ่เสมือนภูเขาใหญ่หนึ่งลูก พวกมันเต็มไปด้วยพลังและความแข็งแกร่งที่มิอาจประเมินได้

ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกขนานนามว่า ‘บรรพบุรุษปฐมกาล’

หลังการกำเนิดชองบรรพบุรุษปฐมกาล ได้มีสัตว์อสูรเกิดชึ้นเป็นจำนวนมาก พวกมันต่างแข็งแกร่งและทรงพลัง ทว่ามันก็มอาจต่อกรกับบรรพบุรุษปฐมกาลที่ถือกำเนิดขึ้นยามที่สวรรค์และโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งแรก

สัตว์อสูรเหล่านี้ถูกขนานนามว่า ‘สัตว์อสูรปฐมกาล’

หลังสิ้นสุดยุคของบรรพบุรุษปฐมกาล สัตว์อสูรปฐมกาลได้เข้าควบคุมทวีปและกลายเป็นผู้ปกครองโลก

กว่า 200,000 ปีที่โลกถูกปกครองโดยสัตว์อสูรปฐมกาล ภายหลังต่อมามนุษย์ได้เรียกช่วงเวลานั้นว่ายุคต้นกำเนิด

หลังผ่านยุคต้นกำเนิด เมื่อหนึ่งหมื่นปีผ่านไป ได้มีเผ่าพันธุ์มากมายถือกำเนิดขึ้น

ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากพลังงานต้นกำเนิดที่อยู่โดยรอบทวีปเริ่มลดน้อยลงไป สัตว์อสูรปฐมกาลมิอาจปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ พวกมันจึงเริ่มเข้าสู่ภาวะจำศีลเพื่อลดการใช้พลังต้นกำเนิดและรักษาชีวิตของพวกมันเอาไว้

ถึงกระนั้น บรรดาลูกหลานของพวกมันต่างยังคงใช้ชีวิตอยู่บนผืนทวีปเหล่านี้

ร่างกายของพวกมันยังคงดูใหญ่โต และมีความสามารถในการคุมควบพลังต้นกำเนิด แม้ว่าจะควบคุมได้ไม่ดีเท่าบรรพบุรุษของพวกมันก็ตาม

ซึ่งพวกมันถูกขนานนามว่า ‘สัตว์อสูรยักษ์’

ขณะเดียวกัน ภายใต้อิทธิพลของพลังต้นกำเนิด โลกเริ่มปรากฎเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดที่มีความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ขึ้นเป็นจำนวนมาก

หนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดก็คือมนุษย์

ในเวลานั้นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเหล่านี้ยังคงบอบบางและอ่อนแอ อัตราการพัฒนาการทางด้านความคิดยังช้ากว่าอัตราการพัฒนาการทางร่างกายของพวกมัน ทว่าพวกมันกลับอยู่รอดมาได้

มนุษย์ที่อ่อนแอในตอนนั้นต่างถูกปกครองโดยสัตว์อสูรยักษ์ โดยมีหน้าที่เดียวคือการเป็นอาหารให้แก่พวกมัน

ช่วงเวลากินเวลากว่า 100,000 ปี และถูกขนานนามว่ายุคแห่งความอ้างว้าง

หลังจากยุคแห่งความอ้างว้างก็ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความโกลาหล

ยุคแห่งความโกลาหลถือได้ว่าเป็นยุคที่อัจฉริยะจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ถือกำเนิดขึ้นมามากมาย

สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต่างมีความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดได้โดยธรรมชาติ ซึ่งถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตจำพวกปฐมกาล และยังถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของสัตว์อสูรปฐมกาลตัวแรกอีกด้วย

เผ่าพันธุ์ที่ถูกสัตว์อสูรปฐมกาลกดขี่ข่มเหงจะไม่สามารถพัฒนาพลังของตนเองได้ มีเพียงต้องเดินตามเส้นทางแห่งการพัฒนาทางด้านปัญญาเท่านั้น

แบบอย่างทั่วไปของการวิวัฒนาการทางสติปัญญาคือความคิดสร้างสรรค์

ด้วยเหตุนี้ รูปแบบสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการทางสติปัญญาจึงถูกเรียกว่า ‘จำพวกนักปราชญ์’ หรือ ‘จำพวกทาส’ นั่นเป็นเพราะจำพวกนักปราชญ์ส่วนมากมักมาจากสถานะอันต่ำต้อย

ด้วยการพัฒนาการทางสติปัญญาที่เชื่องช้า จำพวกนักปราชญ์จึงเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับโชคชะตาของตนที่ต้องตกเป็นทาส พวกมันทำงานอย่างหนักเพื่อจะขจัดชะตากรรมอันโหดร้ายนี้ ถึงกระนั้น ในช่วงเวลานั้นอาจกล่าวได้ว่าการที่เปลี่ยนโชคชะตาจากที่ต้องเป็นอาหารของพวกมันมิได้มาจากความพยายามของพวกมันเอง ทว่าสวรรค์และโลกได้มอบโอกาสให้พวกมันได้ลืมตาอ้าปาก

เมื่อเวลาผ่านไป ปริมาณพลังต้นกำเนิดที่อยู่ระหว่างสวรค์และโลกต่างลดน้อยลง จากที่เปรียบเสมือนมหาสมุทร บัดนี้เหลือเพียงเสมือนแอ่งน้ำเล็ก ๆ เท่านั้น

ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรยักษ์เริ่มอ่อนแอลง

พวกมันยังคงมีความสามารถในการควบคุมพลังของสวรรค์และโลก ทว่ามันก็มิอาจกระทำได้ง่ายดังเช่นเดิมอีกแล้ว เมื่อพลังของพวกมันอ่อนตัวลง ร่างกายของพวกมันก็เริ่มหดเล็กลงเช่นเดียวกัน

พวกมันถูกเรียกว่าปีศาจสัตว์อสูร

ปีศาจสัตว์อสูรยังคงเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ ทว่าพวกมันมิอาจถืออำนาจที่เคยมีอยู่ไว้ได้อีกต่อไป

ชนเผ่าเอลฟ์ทมิฬเป็นชนเผ่าแรกที่ผงาดขึ้น

พวกมันเป็นชนเผ่าอัจฉริยะจำพวกแรกที่ศึกษาวิธีการควบคุมพลังต้นกำเนิด พวกมันเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการรับรู้พลังต้นกำเนิด อาจถือได้ว่าพวกมันเป็นจำพวกครึ่งปฐมกาล ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังขาดร่างกายที่จะใช้ควบคุมพลังต้นกำเนิด เมื่อพลังต้นกำเนิดลดน้อยลง พวกมันจะควบคุมพลังได้ง่ายขึ้น การที่สามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้ ทำให้พวกมันเริ่มที่จะตอบโต้คืนกลับไป

นี่นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่สุดของชนเผ่าเอลฟ์ทมิฬที่สามารถเอาชนะปีศาจสัตว์อสูรได้เป็นจำนวนมาก ในยุคแห่งความโกลาหลปี 4,600 พวกมันได้สร้างอาณาจักรอันเป็นสัญลักษณ์แห่งชนเผ่าไว้ทางตอนใต้ของโลก และถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสต์ในนามปฐมอาณาจักรแห่งเอลฟ์

อาณาจักรนี้คงอยู่กว่าสองพันปีก่อนที่มันจะถูกทำลายไป

พลังต้นกำเนิดที่ลดน้อยลง เหล่าสัตว์อสูรต่างเริ่มที่จะเดินตามขั้นตอนของบรรพบุรุษและเริ่มเข้าสู่ภาวะจำศีล

และชนเผ่าใหม่ ๆ ได้เริ่มถือกำเนิดขึ้น

ชนเผ่าลี้ลับ เป็นชนเผ่าที่มีร่างกายที่ทรงพลังและชาญฉลาด ชนเผ่าเถื่อนเป็นชนเผ่าที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน แม้ว่าจะถูกเรียกว่าเป็นชนเผ่าอัจฉริยะ ทว่าพวกมันกลับทำตัวเยี่ยงสัตว์ป่า และชนเผ่าเขียวขจีที่เป็นครึ่งต้นไม้ครึ่งสิ่งมีชีวิตที่ชอบอาศัยอยู่ภายในป่า พวกมันทั้งหมดต่างสร้างอาณาจักรเป็นของตนเอง ทว่ากลับถูกทำลายไปในที่สุด

ยุคแห่งความโกลาหลปี 9,800 ชนเผ่าลี้ลับได้ก่อตั้งอาณาจักรสวรรค์ลี้ลับขึ้น และถูกทำลายในอีกสามพันปีต่อมา

ยุคแห่งความโกลาหลปี 12,000 ชนเผ่าเถื่อนได้ก่อตั้งอาณาเขตวายุขึ้น และถูกทำลายในอีกห้าร้อยปีต่อมา

ยุคโกลาหลปี 15,000 ชนเผ่าเขียวขจีได้สร้างเมืองสมานฉันท์นิรันดร์ขึ้น และถูกทำลายในอีกสี่พันปีต่อมา

ไม่มีชนเผ่าใดสามารถคงอยู่ได้นานกว่าห้าพันปี และในที่สุดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์

มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถอยู่รอดมาได้กว่า 30,000 ปี แม้ว่าจะถูกชนเผ่าสัตว์อสูรเข้าสังหารก็ตาม นั่นก็คืออาณาจักรอาร์คานาที่สร้างขึ้นโดยชนเผ่าอาร์คานา

ชนเผ่าอาร์คานามีความโดดเด่นทางด้านความคิดสร้างสรรค์ แม้ว่าร่างกายของพวกมันจะไม่แข็งแกร่ง ทว่าพวกมันกลับสามารถสร้างพลังต้นกำเนิดในรูปแบบต่าง ๆ ได้ โดยใช้รูปแบบเหล่านั้นเพื่อขับไล่สัตว์อสูร ในช่วงเวลานั้นอาณาจักรอาร์คานาจัดว่าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกมันควบคุมโลกมากกว่าครึ่งใบ ช่วงเวลานั้นพวกมันนับว่าทรงพลังยิ่งกว่าพวกปีศาจสัตว์อสูร แม้แต่สัตว์อสูรปฐมกาลก็ยังมิอาจหยุดยั้งความก้าวหน้าของพวกมันได้

ถึงกระนั้น ไม่นานนักก็มีชนเผ่าอัจฉริยะหลายชนเผ่าเริ่มที่จะเข้าใจพลังของสิ่งมีชีวิตจำพวกปฐมกาล

สัตว์อสูรปฐมกาลได้ตื่นขึ้น

สัตว์อสูรปฐมกาลได้เข้าทำลายกองทัพของอาณาจักรอาร์อาคา แม้ว่าสัตว์อสูรปฐมกาลจะตายหลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจากพวกมันมิอาจปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของโลกได้ ทว่าพวกมันได้สร้างความเสียหายให้แก่อาณาจักรอาร์คานาเป็นอย่างมาก

ในช่วงเวลาเดียวกัน ชนเผ่าอัจฉริยะต่าง ๆ ที่ถูกชนเผ่าอาร์คานาปราบปรามได้ก่อกบฏเข้าโจมตีอาณาจักรอาร์คานาจากภายใน

พวกมันได้ทำบายเมืองนิจนิรันดร์ที่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอาร์คานา ส่งผลให้แผนการสุดท้ายของอาณาจักรล้มเหลวไป ในช่วงเวลานั้น พวกมันยังแบ่งสมบัติของอาณาจักรไปอีกด้วย

ในช่วงตอนปลายยุคแห่งความโกลาหล อาณาจักรอาร์คานาถูกทำลายไป ชนเผ่าทั้งห้าต่างแบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ตนเอง ชนเผ่ามนุษย์ได้รับตราสารกัดสายเลือด นับแต่นั้นมา พวกมันก็สามารถสกัดเอาพลังของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรออกมาใช้และสร้างระบบสายเลือดนักรบขึ้น ซึ่งก็คือผู้เชี่ยวชาญพลังชีนั่นเอง นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าการคาดเดาของซูเฉินนั้นถูกต้อง

__ __

“ซูสอินอร์กล่าวไว้ว่า ข้าป่วยจากพวกสมองทึบที่ภูเขาเผ่าพันธุ์ทาส สิ่งที่ข้าต้องการมิใช่ทาสที่แข็งแกร่ง ทว่าต้องฉลาดที่จะเข้าใจความต้องการของข้า ไม่นานหลังจากนั้นมันได้ซื้อตัวหลินซินหัว สามปีต่อมาได้เกิดกบฏทางชนชาติขึ้น หลินซินหัวได้นำทาสกว่าสองร้อยคนเพื่อสังหารเจ้านายของตนก่อนที่จะหลบหนีไปซ่อนตัวยังภูเขาบริเวณใกล้เคียง สามสิบวันต่อมาหลินซินหัวและกองกำลังของมันก็ถูกทำลาย…… จะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการก่อกบฏครั้งแรกของมนุษย์นี้? นี่เป็นเพียงการต่อต้านจากทาสโดยมีต้นแบบมาจากเผ่าพันธุ์อาร์คานา ทว่ามันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่การก่อกบฏของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ลุกลามดั่งไฟลามทุ่ง”

ภายในศาลาหยกพิสุทธิ์ หลังจากที่ซูเฉินจดจำย่อหน้าสุดท้ายเสร็จ มันได้สรุปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงมักไม่สวยงามเสมอใช่หรือไม่?” ถางเจินหัวเราะก่อนจะตอบกลับไป ”ประวัติศาสตร์ที่ข้าสอนมิได้สวยงามดังที่กล่าวไว้ในตำราประวัติศาสตร์”

“แล้ววเหตุใดหลินซินหัวจึงได้เอ่ยวลีนี้ ‘มนุษย์จักมิกลายเป็นทาสตราบนิจนิรันดร์’?” ซูเฉินเอ่ยถาม

“ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้” ถางเจินส่ายศีรษะ

แม้ว่ามันจะรับรู้ประวัติศาสตร์มากมาย ทว่าในส่วนของรายละเอียดยังคงจำกัดอยู่ ยังมีความจริงบางส่วนที่ยังถูกฝังไว้ภายใต้ผืนทรายแห่งประวัติศาสตร์

จะล่วงรู้ความจริงหรือไม่ก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด แม้ว่าหลินซินหัวจะไม่เอ่ยวลีนั้นออกมา มันก็ยังได้กลายเป็นสัญลักษณ์และเทวรูปแห่งอิสรภาพแห่งยุคของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว การถอดถอนมันออกจากแท่นบูชามิได้ส่งผลอันใดต่อมนุษย์ การล่วงรู้ความจริงก็เพียงเพื่อจุดประสงค์ในการศึกษาเพื่อให้จิตใจสงบยามที่ได้ล่วงรู้ความจริง

สำหรับความคิดเรื่อง ‘ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงและการเปิดเผยความจริง’ ซูเฉินตัดสินใจที่จะลืมมันไปเสีย แม้ว่ามันจะมีอายุเพียงสิบห้าปี ทว่าซูเฉินรู้ดีว่าการคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลและไม่มีทางเป็นไปได้

“เอาล่ะ วันนี้ก็จบบทเรียนประวัติศาสตร์แล้ว ท่านควรจะได้รู้ในส่วนที่เหลือ ครั้งหน้าข้าจะสอนภาษาของชนเผ่าอาร์คานาให้แก่ท่าน ทว่าน่าเสียดาย หากชำนาญในการสะกดภาษาของเผ่าพันธุ์อาร์คานาเสียหน่อย มีผู้กล่าวไว้ว่า หากท่านชำนาญในการสะกดคำ ท่านจะสามารถศึกษาและใช้ภาษานั้นเอ่ยออกมาได้ในทันที โดยที่ท่านมิต้องใช้ความพยายามมากมายอันใดเลย”

ซูเฉินตอบ “ผู้เยาว์มีความสุขยิ่งที่ได้ศึกษามันจากท่านหัวหน้าร้าน และข้ามิได้รู้สึกเหนื่อยที่ต้องศึกษามัน”

ถางเจินยืดตัวจัดกระดูกของมันแล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขขณะเดินออกไป

เมื่อเห็นว่าถางเจินออกจากห้องไปแล้ว ซูเฉินเลื่อนศีรษะไปยังตำราที่อยู่ในมือของมัน

ตำที่ปรากฎบนตำราเล่มนี้ไม่ค่อยชัดและมิอาจมองเห็นอย่างชัดเจนได้ ทว่าอย่างน้อยที่สุดมันก็สามารถแยกความแตกต่างของแต่ละคำได้

ดวงตาของมันฟื้นตัวขึ้นมาอีกระดับ

ในสายตาของมัน มุมมองของโลกใบนี้เปลี่ยนไป

มันสามารถรับรู้ความแตกต่างของสีบางสีได้ โลกของมันเริ่มเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

สถานะปัจจุบันของมันเปรียบเสมือนคนสายตาสั้นมาก แม้ว่ามันจะยังมองเห็นไม่ชัด ทว่ามันก็มิได้ตาบอดอีกต่อไป

//แก้ไขล่าสุด 15/07/2560 23:54

// เจ๊าะแจ๊ะท้ายตอน \\

สำหรับการแปลบทนี้เป็นอะไรที่ยากสำหรับผมมากครับ ผมยิ่งไม่ถนัดเรื่องการบรรยายประวัติศาสตร์ด้วย โดยเฉพาะคำว่าเผ่าพันธุ์กับชนเผ่าเนี่ยแหละที่ทำผมงงมาก (ฮ่า ๆ) ฉะนั้น ถ้าอ่านบทนี้แล้วงงก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะผมก็งงเองเหมือนกัน อิอิ

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments