I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Dragon Marked War God ตอนที่ 143 การเดินทางภายใต้ดินงั้นรึ?ง่ายดายยิ่งนัก!

| Dragon-Marked War God | 1318 | 2359 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

แปลไทยโดย   Subaru-Kyun


ตรวจทาน        Subaru-Kyun


===================================================


” ใช่แล้ว ข้าคืออี้จื่อฮันเป็นศิษย์ในของนิกายทมิฬ ข้าสังสัยว่าใครกันนะที่กล้าเรียกท่านพ่อข้ามาพบเป็นการส่วนตัวกันแน่ ที่ไหนได้เป็นน้องชายเจียงนี่เอง! น้องชายเจียงเป็นอัจริยะหาที่เปรียบมิได้ของแคว้นฉีเช่นเจ้า ทำไมถึงมาที่เขตศิลาเหลืองกัน? “


อี้จื่อฮันประสานมือต่อหน้าเจียงเฉิน เขาไม่ได้แสดงท่าทีดูหมิ่นเหยียดหยามแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ใน ส่วนเจียงเฉินจะเป็นเพียงศิษย์นอก และเขาเป็นยอดฝีมือแก่นแท้สวรรค์ขั้นต้นขณะที่เจียงเฉินเป็นเพียงยอดฝีมือแก่นแท้มนุษย์ขั้นสูงสุดเท่านั้น หลังจากที่เขาได้เป็นสักขีพยานในหายนะที่เจียงเฉินได้กระทำลงในนิกายทมิฬ อี้จื่อฮันไม่สามารถปฏิบัติต่อเจียงเฉินเฉกเช่นศิษย์นอกธรรมดาทั่วไปได้


แม้ว่าการบ่มเพาะของเจียงเฉินจะมีเพียงขั้นสูงสุดของอาณาจักรแก่นแท้มนุษย์เท่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาเหลือเชื่อยิ่งนัก แม้แต่เจียงเหว่ยซึ่งเป็นยอดฝีมือแก่นแท้สวรรค์ขั้นกลางยังถูกเขาสังหาร ด้วยความแข็งแกร่งของอี้จื่อฮัน หากเขาต้องต่อสู้กับเจียงเฉิน เขาคงพ่ายแพ้เพียงแค่กระบวนท่าเดียว


หลักจากที่ได้เป็นสักขีพยานในหายนะที่เจียงเฉินได้ก่อขึ้นในนิกายทมิฬ อี้จื่อฮันได้บอกกับตัวเขาเองว่า ถึงแม้เขาจะไม่มีโอกาสเป็นสหายกับเจียงเฉิน แต่เขาจะไม่มีวันเป็นศัตรูโดยเด็ดขาด เจียงเฉินนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต และไร้ซึ่งความปราณี หนานเป่ยเฉากับเฟินคุนไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตาของเจียงเฉิน แม้แต่ผู้อาวุโสนิกายยังถูกจับแขวนและทุบตีอย่างโหดร้าย คนประเภทนี้ไม่ใช่คนที่อี้จื่อฮันกับครอบครัวสามารถล่วงเกินเขาได้แม้แต่น้อย


“พี่ชายอี้ ท่านอาจไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ ท่านผู้นำนิกายได้มอบภารกิจให้ข้ามายังเขตศิลาเหลืองและกำจัดปีศาจโลหิตทั้งหมด และเป้าหมายหลักของข้าคือราชันย์จันทราโลหิตนั่น”


เจียงเฉิน พูด


“ว่าไงนะ? น้องชายเจียง เจ้าว่าท่านผู้นำส่งเจ้ามาเพียงลำพังเช่นนั้นรึ? เหล่าปีศาจโลหิตทั้งโหดเหี้ยมอำมหิต ข้าได้ยินมาว่าพลังของราชันย์จันทราโลหิตถึงอาณาจักรแก่นแท้สวรรค์ขั้นสูงสุด การบ่มเพาะพลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่ากวนอี้หยุนหรือเหลียงเซียวเลย นี่มันภารกิจฆ่าตัวตายสำหรับน้องเจียงชัดๆ!”


อี้จื่อฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขากังวลไม่เพียงเกี่ยวกับเจียงเฉิน แต่รวมไปถึงความปลอดภัยของเขตศิลาเหลืองและตระกูลอี้ของเขา ตั้งแต่สงครามกับเหล่าปีศาจโลหิตได้เริ่มต้นขึ้น ราชันย์จันทราโลหิตไม่เคยปรากฏตัวออกมาจนถึงบัดนี้ นิกายทมิฬได้ส่งเจียงเฉินมาทำภารกิจนี้เพียงลำพัง หากเขาพ่ายแพ้แก่ราชันย์จันทราโลหิต มันก็คงถึงคราวอวสานของเขตศิลาเหลือง


“พี่ชายอี้ ท่านดูถูกข้าเช่นนั้นรึ”


เจียงเฉินพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา


ท่าทีของอี้จื่อฮันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาประสานมือต่อหน้าเจียงเฉินในทันทีแล้วพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ข้ามิกล้า!”


“ท่านกังวลว่าหากข้าล้มเหลวในการจัดการราชันย์จันทราโลหิตที่ลึกลับนั่น ไม่เพียงแต่ชีวิตข้าจะตกอยู่ในความเสี่ยงเท่านั้น ผู้คนในเขตศิลาเหลืองจักต้องถูกเข่นฆ่าโดยเหล่าปีศาจโลหิต ข้าเข้าใจถูกหรือไม่?”


เจียงเฉินจ้องไปยังอี้จื่อฮันด้วยรอยยิ้ม อี้จื่อฮันยังคงเงียบและยอมรับในสิ่งที่เจียงเฉินพูดออกมา


“ข้าไม่สนใจว่าท่านจะคิดเช่นไรหากข้าจะบอกท่านเช่นนี้ ตั้งแต่ที่ท่านผู้นำได้ส่งข้ามาที่นี่ นั่นก็หมายความง่ายๆว่าข้ามีความสามารถเพียงพอที่จะจัดการกับราชันย์จันทราโลหิต เมื่อคืนก่อน เหล่าปีศาจโลหิตได้เข้าโจมตีเมืองสุริยันสีชาด หากข้ามาช้ากว่านี้ ป่านนี้เมืองแห่งนี้คงเป็นเมืองร้างเป็นแน่ ปีศาจโลหิตทั้งโหดเหี้ยมและไร้ปราณี ข้าเพียงคนเดียวคงไม่อาจจัดการพวกมันได้หมด พวกเราจำต้องร่วมมือกัน”


เจียงเฉิน พูดออกมา


“แน่นอน ตระกูลอี้จักเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับเจ้า เพียงแต่ข้าสงสัยว่าน้องชายเจียงมีแผนการเช่นใดบ้าง? “


ในความจริงตระกูลอี้ไม่มีหน้าที่ในการต่อสู้กับเหล่าปีศาจโลหิต นอกจากนี้เจียงเฉินยังถูกส่งมาที่นี่เพื่อสังหารปีศาจโลหิตทั้งหมด และอี้จื่อฮันเชื่อว่าผู้นำนิกายคงไม่นำชีวิตของผู้คนในเขตศิลาเหลืองมาล้อเล่นแน่ ตั้งแต่ที่เขาส่งเจียงเฉินมาที่นี่ นั่นหมายความว่าเจียงเฉินมีความสามารถที่จัดการสถานการณ์นี้ได้ นอกจากนี้ตั้งแต่เขาได้เข้ามาในห้องจนถึงบัดนี้ ทุกอย่างที่เขาเห็นมีเพียงความมั่นใจและเยือกเย็นบนใบหน้าเจียงเฉินเท่านั้น ไม่ได้แปรเปลี่ยนใดๆเมื่อเขาพูดถึงปีศาจโลหิต ราวกับว่าเขาไม่สนใจพวกมันแม้แต่น้อย


นอกจากนี้อี้จื่อฮันไม่กล้าที่จะดูถูกเจียงเฉิน นับตั้งแต่เขาได้ยินชื่อเจียงเฉิน เจียงเฉินได้สร้างปาฏิหารย์ไว้มากมาย และได้ก่อเรื่องราวใหญ่โตไว้มากถึงขนาดสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแคว้นฉี แม้แต่หนานเป่ยเฉาเขายังกล้าท้าประลอง บางทีเขาอาจจะมีความสามารถที่จะจัดการราชันย์จันทราโลหิตก็เป็นได้


อี้จื่อฮันเป็นคนฉลาด เขารู้สึกได้ว่าเจียงเฉินต้องกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต แม้แต่เฟินคุนก็ไม่อาจเทียบเขาได้ หากเขาได้กลายเป็นสหายของเจียงเฉิน ก็เป็นเรื่องที่ดีทั้งตัวเขาและตระกูลอี้


“แท้จริงแล้ว มันง่ายดายยิ่งนัก หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน เมืองสุริยันสีชาดได้ตกเป็นเป้าหมายหลักของเหล่าปีศาจโลหิต ข้าจะอยู่ที่นี่รอพวกมันบุกเข้ามา และข้าจะไม่ให้มันเหลือรอดแม้แต่ตัวเดียว ตราบใดที่พวกมันตายอย่างต่อเนื่องที่นี่ ข้าเชื่อว่าปีศาจโลหิตต้องมารวมตัวรอบเมืองสุริยันสีชาด สำหรับพวกเรามันง่ายกว่าหากจะสู้เช่นนี้ ดีกว่าต้องไปค้นหามันทุกหนทุกแห่ง”


เจียงเฉินหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “ทุกคนต่างรู้ถึงความโหดร้ายของปีศาจโลหิต ไม่รู้ว่ามันมีจำนวนเท่าไร หากมันแยกกันทั่วทั้งเขตศิลาเหลือง คงเกิดหายนะอย่างแท้จริงเป็นแน่ ดังนั้น จึงล่อพวกมันมารวมกันที่นี่ พวกเราสามารถลดภาระให้กับสถานที่อื่นได้ ตอนนี้พี่ชายอี้เข้าใจรึยัง ว่าเหตุใดข้าถึงทำเช่นนี้?”


“น้องชายเจียง เจ้ามีความคิดที่รอบคอบยิ่งนัก ด้วยแผนนี้จำนวนผู้เสียชีวิตและความเสียหายในสถานที่อื่นจะลดลงอย่างมาก ถึงอย่างไรขณะเดียวกัน เมืองสุริยันสีชาดจะกลายเป็นสถานที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด น้องชายเจียงหากเจ้าต้องการสิ่งใดช่วยบอกข้า หากไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจยอมรับ และผิดศีลธรรมตระกูลอี้จะช่วยเท่าที่เราทำได้ “


อี้จื่อฮัน พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง การตัดสินใจของเจียงเฉินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ในเขตศิลาเหลือง


“คำขอของข้า แค่เรื่องง่ายๆ แม้ว่าเหล่าปีศาจโลหิตจะมุ่งโจมตีเมืองสุริยันสีชาด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่โจมตีสถานที่อื่น ข้าต้องการให้ตระกูลอี้ส่งคนไปประจำที่เมืองต่างๆในเขตศิลาเหลือง อย่างแรกคือสามารถปกป้องประชาชนได้ อย่างที่สองคนของท่านสามารถสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจโลหิตได้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับราชันย์จันทราโลหิตอยู่ที่ใด ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาสำหรับตระกูลอี้ ใช่รึไม่?”


หากเจียงเฉินต้องการรับประกันความปลอดภัยของผู้คนในเขตศิลาเหลือง เขาต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลอี้ หากมีตระกูลอี้รับประกันความปลอดภัยในเขตอื่นๆ เขาจะได้มุ่งความสนใจของเขาที่เมืองสุริยันสีชาด เพื่อรอการต่อสู้สุดท้ายกับเหล่าปีศาจโลหิต


เหล่าปีศาจโลหิตที่โหดร้ายเป็นเหมือนหายนะสำหรับคนอื่นๆ แต่แกนพลังงานปีศาจเป็นสิ่งยอดเยี่ยมสำหรับเจียงเฉิน ดังนั้น เจียงเฉินจึงกลายเป็นหายนะสำหรับเหล่าปีศาจโลหิต


“นั่นเป็นสิ่งที่ตระกูลอี้สมควรทำ แต่ข้ารู้สึกไม่ดีหากปล่อยให้น้องชายเจียงอยู่ที่นี่และสู้กับพวกมันเพียงลำพัง เช่นนี้ข้าอี้จื่อฮันต้องการที่จะอยู่เมืองสุริยันสีชาดกับน้องชายเจียง ข้าจะสู้เคียงข้างเจ้า!”


อี้จื่อฮัน พูดด้วยท่าทีจริงจัง


“ดี เยี่ยมมากที่พี่ชายอี้ตัดสินใจเช่นนี้ นอกจากตัวข้าแล้ว คนอื่่นๆในเมืองสุริยันสีชาดนั้นอ่อนแอเกินไป”


นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับอี้จื่อฮัน เจียงเฉินค่อนข้างประทับใจในคัวเขา ชายคนนี้ไม่คนวางท่าแต่อย่างใด เขามีความจริงใจและความกระตือรือร้น และเจียงเฉินรู้สึกว่าชายคนนี้สามารถเป็นสหายเขาได้


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าต้องขอตัวกลับเมืองศิลาเหลือง ไปจัดการเรื่องอื่นๆก่อน จากนั้นข้าจะกลับมาที่นี่ และร่วมต่อสู้กับน้องชายเจียง”


อี้จื่อฮันประสานมือของเขาต่อหน้าเจียงเฉิน จากนั้นเขาก็หันหลังแล้วจากไป


“เจ้าหนุ่มนั่นมีประโยชน์มากทีเดียว”


หลังจากที่อี้จื่อฮันจากไป หวงต้าได้แสดงความคิดเห็นของมันออกมา


“อย่างน้อยเขาก็ไม่น่ารำคาญล่ะนะ”


เจียงเฉินยักไหล่ของเขา อี้จื่อฮันเป็นคนมีความสามารถ เป็นอัจฉริยะจากเขตในของนิกายทมิฬ หาได้ยากที่คนในระดับเดียวกันจะเทียบเขาได้ เขาสามารถจัดการหัวหน้าหน่วยปีศาจโลหิตได้โดยง่าย และการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับปีศาจโลหิตก็ใกล้เข้ามา ด้วยความช่วยเหลือของอี้จื่อฮัน สามารถรับประกันความปลอดภัยของคนในเมืองสุริยันสีชาดได้


ชาวเมืองสุริยีนสีชาดทั้งหมดได้ลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว มีเพียงยอดฝีมือแก่นมนุษย์คอยคุ้มกันบริเวณชานเมือง ในตอนนี้เจียงเฉินและหวงต้าได้เดินทางไปยังเขตเหนือของเมืองสุริยันสีชาดอย่างลับๆ


“หวงต้าเจ้าแน่ใจว่าแหล่งกำเนิดพลังงานอยู่ที่นี่แน่นะ?”


เจียงเฉินถามออกมา เนื่องจากมีม่านพลังธรรมชาติอยู่รอบบริเวณแหล่งกำเนิดพลังงาน คนปกติทั่วไปยากที่จะสัมผัสมันได้ หากนี่เป็นชาติก่อนของเขา เขาสามารถหามันพบได้ในทันที แต่ว่าเขาไม่ใช่เซียนอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะมีสัมผัสที่เฉียบคมแค่ไหน และความรู้มากเพียงใด ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ ขีดจำกัดของเขาตอนนี้ไม่อาจทำสิ่งใดได้มากมายนัก


“มันอยู่ที่นี่แน่นอน”


ขณะที่หางของมันกระดิกไปหา หวงต้าเดินวนไปมารอบๆบริเวณนี้ ในขณะเดียวกันเจียงเฉินใช้ทักษะรากวิญญาณยอดเยี่ยมปลดปล่อยสัมผัสของเขาจนถึงขีดสุด หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเจียงเฉินและหวงต้าได้มองไปที่เนินเล็กๆในเวลาเดียวกัน


“มันอยู่ข้างใต้นั่น”


เจียงเฉินและหวงต้าตะโกนออกมาพร้อมกัน หวงต้าตกตะลึง มันสามารถสัมผัสถึงสถานที่ของแหล่งกำเนิดพลังงานด้วยความสามารถเฉพาะตัวของมัน แต่เจียงเฉินก็สามารถสัมผัสได้ในเวลาเดียวกัน นั่นทำให้หวงต้าตกตะลึงอย่างมาก แต่มันก็ลืมไปอย่างรวดเร็ว เพราะว่าตลอดการเดินทางของมันที่ไปพร้อมกับเจียงเฉิน มันได้เห็นปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นจากเจียงเฉินมากมายยิ่งนัก


“แหล่งกำเนิดพลังงานตั้งอยู่ลึกลงไปกว่าสามพันเมตรใต้ดิน เพื่อที่จะได้รับมัน พวกเราต้องเสี่ยงลึกลงไปใต้ดิน คู่หู ข้าสงสัยว่าความสามารถของเจ้าสามาถเดินทางใต้ดินได้รึเปล่า “


หวงต้าเชิดหน้าของมันขึ้น ชัดเจนว่ามันมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ มันเพียงต้องการเล่นสนุกกับเจียงเฉินเท่านั้น


แม้ว่ายอดฝีมือทั่วไปสามารถทะลวงหิน และสามารถขุดหลุมด้วยมือเปล่าได้ ไม่เพียงไม่กี่คนที่มีสามารถเดินทางใต้ดินได้ อย่างไรก็ตาม ใต้ดินลึกลงไปกว่าสามพันเมตรนั่นเป็นสิ่งที่ยากมาก


“เจ้าหมาเวร อย่าพยายามทำตัวเด่นต่อหน้าข้า ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่หยุดบิดาเจ้าได้ เบิกตาของเจ้าและมองดูให้ดีๆ”


หลังจากพูดเช่นนั้นจบ ทันใดนั้นได้มีแสงสีเหลืองออกมาจากร่างกายของเจียงเฉิน เพียงแค่กระทืบเท้าร่างครึ่งหนึ่งได้จมลงสู่พื้นดิน เพราะว่าม่านพลังสีเหลืองรอบตัวเขา เจียงเฉินได้รวมเข้ากับพื้นดินอย่างแท้จริง


“เ**ย ! บัดซบ ! คู่หูนี่มันทักษะอะไรของเจ้ากัน?”


หวงต้าแทบสะดุดขาตัวเอง มันเพียงต้องการเล่นสนุกกับเจียงเฉินเท่านั้น แต่มันไม่คาดคิดว่าเจียงเฉินสามารถเดินทางใต้ดินได้ นี่ทำให้มันถึงกับหัวเสีย ภายในใจของมันได้เห็นเจียงเฉินเป็นสัตว์ประหลาด(?)โดยสมบูรณ์


“ชิ เจ้าหนูนี่อายุเพียงสิบห้า ตอนที่มันออกจากเมืองฟ้าหอม ตอนนี้มันเพียงสิบหกปีเท่านั้น ข้ายังไม่เคยเห็นมันมีอาจารย์ที่ไหน แต่มันกลับ บัดซบ ทำไมมันถึงเชี่ยวชาญในทุกๆเรื่อง?! นี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!”


หวงต้ากรอกตาของมันไปมา เจียงเฉินได้สอนมันหนึ่งอย่าง คือ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่อาจตัดสินได้ด้วยตาเปล่า


===================================================


จบไปแล้วอีกตอนครับ อิอิอิ ไว้พบกันใหม่ตอนหน้า บะบุยจ้า อิอิอิ

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments