ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลังจากที่ ‘ชูเฟิง’ ออกจากหุบเขาร้อยเลี้ยว สถานที่แรกที่เขาไปคือนิกายแห่งหนึ่งในอาณาจักรมังกรฟ้า นิกายหลิงหยุน
เขามาเพื่อพบกับพี่ชายของเขา ‘ชู กู่หยู’ หลังจากงานประจำปีของตระกูลแล้ว เขาก็ไม่ได้พบกับพี่ชายของเขาอีกเลย
พี่ชายของเขาไม่เคยสงสัยหรือเกลียดชังใดๆ ในตัวเขา อีกทั้งพี่ชายของเขายังคอยดูแลเขาอย่างดี หากถามว่าใครสำคัญกับเขาที่สุดนอกจากพ่อของเขา ‘ชู หยวน’ ก็คือพี่ชายของเขา ‘ชู กู่หยู’ เขาได้รับความรักและเอาใจใส่จากพี่ชายของเขา ที่เขาไม่เคยได้รับจากตระกูลของเขา
ในตอนนี้ก็ใกล้จะถึงงานประลองของเขากับ ‘กง ลู่หยุน’ แล้ว หากมีปัญหาใดๆ ในอนาคต แม้ ‘ชู กู่หยู’ จะเป็นศิษย์ในสำนักหลิงหยุนก็ตาม เขาอาจถูกกล่าวว่าสมรู้ร่วมคิด ด้วยความแข็งแกร่งของเขา จึงยากที่เขาจะปกป้องตัวเอง
และมันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับตระกูลกง ที่จะกำจัด ‘ชู กู่หยู’ ดังนั้น ‘ชูเฟิง’ อยากให้พี่ชายของเขาอยู่ในสถานที่ๆ ปลอดภัยที่สุด
“เจ้าบอกว่า ชู กู่หยู ไม่อยู่ในสำนักหลิงหยุนอย่างนั้นรึ เขาไปไหน !?”
‘ชูเฟิง’ หยุดอยู่ที่ทางเข้าสำนักหลิงหยุน และสอบถามกับศิษย์ภายนอกของนิกาย
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง เจ้าเป็นญาติของเขา เจ้าควรจะรู้ซิ ถ้าเจ้าไม่รู้ ข้าจะรู้ได้ยังไง”
ลูกศิษย์ฝ่ายนอกมองไปที่ ‘ชูเฟิง’ ด้วยสายตาที่จองหอง เขาไม่สามารถสัมผัสถึงพลังวิญญาณของ ‘ชูเฟิง’ ได้ ดังนั้น แม้เขาจะเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกของนิกาย แต่เขามีความโอ้อวดในตัวของเขา ใบหน้าของเขาแทบจะเขียนออกมาได้เป็นคำว่า “รำคาญ”
หลังจากที่ ‘ชูเฟิง’ ได้รู้ว่าพี่ชายของเขาไม่อยู่ในนิกาย หัวใจของเขาก็หนักอึ้ง ในหัวของเขาก็เต็มไปด้วยหมอกที่ขาวโพลน เมื่อเขาคิดว่าพี่ชายของเขาอาจจะออกจากนิกาย หลังจากที่ครอบครัวของเขาถูกทำลาย มันย่อมไม่สมเหตุสมผลเลย ที่พี่ชายของเขาจะออกจากนิกาย ซึ่งเป็นที่พักพิงขนาดใหญ่นี่
“พี่ชาย ท่านรู้จักศิษย์พี่ชูมั้ย !?”
ในขณะที่ ‘ชูเฟิง’ กำลังจะออกจากนิกายหลิงหยุน ก็มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา ‘ชูเฟิง’ กล่าวถามชายคนนั้น
เขาเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายหลิงหยุน และอายุของเขาก็ใกล้เคียงกับ ‘ชู กู่หยู’ ชายคนนั่นมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ไม่หยิ่งจองหองเหมือนกับลูกศิษย์ของนิกายคนอื่นๆ ที่ ‘ชูเฟิง’ สอบถาม
“ข้าเป็นน้องชายของ พี่ชู กู่หยู ชื่อ ชูเฟิง ผู้อาวุโสท่านรู้จักพี่ชายข้ามั้ย”
‘ชูเฟิง’ รู้ดีว่าชายคนนั้นจะไม่เสี่ยงมาคุยกับเขา ดีงนั้นเขาจึงแนะนำตัวเขาเองก่อน
“น้องชายชูเฟิง มาทางนีเแล้วค่อยคุยกัน”
หลังจากที่ชายคนนั้นมองไปรอบๆ เขาดึง ‘ชูเฟิง’ เข้าไปที่มุมๆ หนึ่ง และกล่าวว่า
“ข้าเข้ามาเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกพร้อมกับเขา และเรายังเปรียบได้กับเป็นพี่น้องกัน”
“เขามีพรสวรรค์ที่ดี ดังนั้นเขาจึงได้เป็นศิษย์ฝ่ายในก่อนข้า แต่ความสัมพันธ์ของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง”
“พี่ชายมีความสามารถที่น่าชื่นชม หากว่าเขายังบ่มเพาะพลังต่อไปเรื่อยๆ เขาคงจะได้เข้สเป็นศิษย์ฝ่านในอย่างรวดเร็ว และเขาอาจจะได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักหลิงหยุนก็เป็นๆด้”
“ยังไงก็ตาม ครึ่งปีมานี้เกิดเรื่องอะไรในตระกูลของเจ้าอย่างนั้นรึ”
ชายคนนั้นถามขึ้น
“อืม…..มีปัญหาในตระกูลคือท่านพ่อของพวกเราเสียชีวิตแล้ว”
‘ชูเฟิง’ เลี่ยยงที่จะไม่พูดความจริงว่าตระกูลของเขาถูกทำลาย
“อ่า….ช่างน่าเศร้า จากเหตุการณ์นั้นน่าจะเป็นต้นเหตุให้อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไป เขาได้ทำให้ผู้ที่มีหน้ามีตาโกรธเคือง ปกติเขาจะเป็นคนที่เคร่งครัดในกฏระเบียบมากเลยนะ”
ชายคนนั้นกล่าว
“ไม่เพียงแต่พี่ชายของเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ แต่เขายังถูกขับไล่ออกจากสำนัก”
ชายคนนั้นกล่าวออกมาพร้อมทั้งถอนหายใจ
“พี่ชายข้าถูกขับไล่ออกจากสำนัก และยังได้รับบาดเจ็บ ใครมันเป็นคนทำร้ายพี่ชายข้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไฟแห่งโทสะก็ประทุขึ้นมาภายในหัวใจของเขา และเขาพร้อมที่จะล้างแค้นให้พี่ชายของเขา
“มันคงไม่มีประโยชน์หากข้าบอกเจ้า แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้นะน้องชาย ว่าพี่ชายของเจ้าพักอยู่ที่ใด”
ชายคนนั้นกล่าว
“ห้าร้อยไมล์ห่างจากสำนักหลิงหยุนมีโรงเตี๊ยมเล็กอยู่ ในโรงเตี๊ยมไม่มีเสี่ยวเอ้อคอยรับใช้ มีเพียงเถ้าแก่คนเดียว และเถ้าแก่คนนั้นก็คือ ชู กู่หยู”
“ตอนนี้พี่ชายของเจ้าอายุสิบแปดปี มันก็ดีที่พี่ของเจ้สเขาเป็นเจ้านายตัวเอง แต่ความกล้าหาญของเขาในอดีตนั้น เจ้าอาจจะไม่ได้เห็นมันอีกต่อไป”
ปัจจุบัน ‘ชู กู่หยู’ สวมเสื้อผ้าที่สกปรก ใบหน้าของเขาหม่นหมองและหดหู่ เขากลายเป็นคนพิการ ในขณะที่เขาเดินแทบที่เขาจะต้องคลาน
“เฮ้ย !! ไอ้ชู กู่หยู เจ้าไม่รู้รึว่าข้าหิว”
“เหล้าอยู่ไหน !! เหล้าอยู่ไหน !! ไปเอาเหล้ามาให้ข้า ถ้าเจ้าชักช้า ข้าจะทำลายโรงเตี๊ยมของเจ้าซะ”
ภายในโรงเตี๊ยม พื้นที่ประมาณ 3 ตารางวา ในแต่ละตารางวาเต็มไปด้วยคน 6 คน พวกเขาคือเหล่าลูกศิษย์ฝ่ายในของนิกายหลิงหยุน ในขณะที่พวกเขากินดื่มกันอยู่นั้น ก็ก่นด่าสาปแช่ง ‘ชู กู่หยู’ ต่างๆ นาๆ
‘ชู กู่หยู’ อยู่ในโรงเตี๊ยมนั้น และเขาก็พบกับเหตุการณ์เช่นนี้จนชินชา เขาไม่สามารถที่จะจัดการกับคนกลุ่มนี้ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดถึงตัวเขาเองเลย เขาคิดถึงแต่เพียงน้องชายของเขาเท่านั้น
“ผู้อาวุโสเซา พวกเรามาทำลายโรงเตี๊ยมของ ชู กู่หยู ทุกๆ เดือน แต่เขาก็ยังคงไม่ไปไหน”
ลูกศิษย์คนหนึ่งพูดกับผู้อาวุโสที่มีเคราคล้ายแพะ
“มันไม่กล้าไปไหนหรอก แม้ว่าตระกูลของมันจะถูกทำลายไปแล้ว แต่มันยังมีน้องชายที่ชื่อ ชูเฟิง ตอนนี้เรียนอยู่ในสำนักมังกรฟ้า ถ้ามันกล้าที่จะออกไปจากที่นี่ข้าจะทำให้น้องของมันต้องทรมานยิ่งกว่ามัน”
ผู้อาวุโสเคราแพะกล่าวเย้ยหยัน
“ดูเหมือนว่าเขาจะมีห่วงใยต่อน้องชายของเขาอยู่มาก เขาจึงสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของน้องชายของเขา ยังไงก็ตาม ผู้อาวุโสเซา ข้าเห็นว่าท่านน่าจะฆ่าเขา ที่เขาบังอาจมาท้าทายท่าน ให้เขาได้ไปอยู่ในที่ของเขา”
เหล่าลูกศิษย์ ต่างพากันสนับสนุน
“หึหึ……มันง่ายมากที่จะฆ่ามัน แต่ข้าอยากให้มันต้องอยู่อย่างทรมาน และน่าสมเพชยิ่งกว่าใครๆ วันนี้ข้าจะทำลายการบ่มเพาะพลังของมันซะ มันจะได้กลายเป็นคนพิการที่สมบูรณ์แบบ”
ชายเคราแพะดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งถ้วย แววตาของเขาปรากฏความเย็นชาออกมา จากนั้นก็มีเสียงดังราวของแตกดังขึ้นมา ถ้วยสุราถูกเขวี้ยงลงพื้น
เมื่อ ‘ชู กู่หยู’ ออกมาจากห้องครัว คนอื่นๆ ก็พากันเขวี้ยงถ้วยสุราลงพื้น พร้อมทั้งจ้องมองมาที่ ‘ชู กู่หยู’ ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ในขณะนั้น ในมือของ ‘ชู กู่หยู’ มีสุราและสิ่งอื่นๆ เมื่อเขาเห็นฉากตรงหน้า เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขามองไปที่ชายเคราแพะและกล่าวว่า
“เซา ตี๋ นี่มันยังไม่พออีกรึ ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักหลิงหยุนแล้ว และข้าก็ไม่อยู่ในสายตาของเจ้าอีกต่อไป ไม่ว่าเจ้าจะพูดเช่นไร ข้าก็ยังเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ เท่านั้น ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เป็นศิษย์ของนิกาย แต่ข้าก็มีความภาคภูมิใจของข้าอยู่”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าอยู่อย่างสุขสบาย แม้ข้าจะมาเปิดโรงเตี๊ยมที่น่าสมเพชนี่ เจ้าก็ยังคงตามมาระรานข้า”
“หืมมมม…..เจ้าต้องการให้ข้าปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นรึ ข้า เซา ตี๋ ต้องการให้เจ้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานและน่าสมเพช เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ ซินะ วันนี้เจ้าจะได้กลายเป็นชาวบ้านที่แท้จริง”
ขณะที่เขากล่าวนั้น ชายเคราแพะ ก็หยิบกริชของเขาออกมา ประเย็นเยียบแผ่กระจายออกมาจากแขนของเขา ขณะที่เดินเข้าไปหา ‘ชู กู่หยู’
ผู้แปลโดยคุณ#
ที่มา: