ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปแสงไฟที่เจิดจ้าได้ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องลับแห่งนี้ เมื่อมองดูแล้ว ห้องนี้เต็มไปด้วยฝุ่นควันและกองหินปูนซึ่งทับถมกันเป็นชั้นๆ
ถึงแม้ทหารหน่วย NSA นับสิบคนจะค้นหาไปทั่วทุกที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็ไม่เจอแม้แต่เงาของใครคนใดเลยแม้แต่คนเดียว
“นายแน่ใจหรือว่าจะไม่มีใครสามารถหนีออกไปจากที่นั่นระหว่างนี้ได้เลย?”
สีหน้าของหลินเต๋อเทียนไม่ได้ดูดีนัก ด้วยที่เขาต้องการทราบผลปฏิบัติการในห้องใต้ดิน เขาจึงได้ติดต่อไปยังหัวหน้าทีมของหน่วยที่เข้าไปสำรวจ
“ใช่ครับ ตอนที่พวกเราระเบิดทางเข้าห้องนี้ คนของเราสามคนยืนคุมทางเข้าไว้แล้ว เพราะงั้นไม่มีทางที่จะมีใครคนใดหนีออกไปได้เด็ดขาด”
หัวหน้าทีมพูดเสียงโทนต่ำ ชายคนนี้ดูเหมือนจะมีอายุประมาณ 35-36 ปี ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขา เปล่งประกายของความเป็นคนฮึกเหิมและเด็ดเดี่ยว ด้วยลักษณะนิสัยแบบนี้เองทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ธันเดอร์’ ชายคนนี้เป็นมือขวาของ’หลินเต๋อเทียน’ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างหัวดื้อและเขี้ยวลากดินไม่น้อย
แต่เรื่องราวในวันนี้ทำให้เขารู้สึกสับสนในใจอย่างถึงที่สุด ชายสวมหน้ากากติดอยู่ในสถานะการณ์ที่ไม่มีทางหนีไปได้อย่างแน่นอน แล้วมันหายไปได้อย่างไรกัน?
‘ธันเดอร์’เป็นคนที่ค่อนข้างผิวคล้ำ หลังจากรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นแก่’หลินเต๋อเทียน’ เขาได้ตรวจสอบพื้นที่ภายนอกห้องใต้ดินอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
‘ธันเดอร์’พบศพของ’ไซ่เชาหง’ที่นอนอยู่พบพื้นอย่างรวดเร็วและรีโมทควบคุมที่แตกหักเสียหาย รีโมทอันนี้มีแผงวงจรอันซับซ้อน ถึงอย่างนั้น ส่วนประกอบที่ซับซ้อนต่างๆเหล่านี้ แตกกระจายออกเป็นชิ้นๆด้วยอาวุธที่แหลมคมบางอย่าง
“ตัวประหลาดทั้งห้านั่น ชายสวมหน้ากากเป็นคนนำพวกมันมางั้นหรอ?”
‘ธันเดอร์’มองไปยัง 5 ตัวประหลาดที่ยืนพิงกำแพงอยู่ คิ้วของเขาขมวดแน่นขณะกำลังขบคิดถึงเรื่องนี้ เมื่อมองไปยังรีโมทควบคุมที่แตกหักอันนั้น ‘ธันเดอร์’ก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นอย่างที่เขาคิด หลังจากครุ่นคิดอยู่อีกสักพัก เขาก็สรุปว่ารีโมทอันนี้ มีไว้ควบคุมการเคลื่อนไหวของเจ้าตัวประหลาดพวกนั้น
ขณะที่อยู่ในระหว่างการครุ่นคิด สายตาของเขากวาดไปมองยัง’หลินเต๋อเทียน’ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าห้องใต้ดิน ‘ธันเดอร์’คิดว่าหากพูดคุยกับหัวหน้าของเขาในเรื่องนี้ตอนนี้ ชายคนนั้นคงไม่สนใจเท่าไหร่
“ขอรายงานครับหัวหน้า! พวกเราก็ยังไม่พบใครเหมือนเดิม”
ไม่นาน สมาชิกของหน่วยคนหนึ่งก็รีบวิ่งออกมาจากห้องลับ และรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“แต่พวกเราพบกล่องเหล็กที่ถูกล๊อคเอาไว้หลายกล่อง พวกเรากำลังพยายามขุดพวกมันออกมาจากกองหินปูนอยู่ครับ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
‘ธันเดอร์’โบกมือให้ลูกน้องของเขาทำงานต่อไป จากนั้นชายหนุ่มผิวคล้ำก็เดินไปหา’หลินเต๋อเทียน’ ก่อนจะพูดอย่างเบาๆ
“หัวหน้าครับ พวกเราคงต้องถามคุณหนูเสี่ยวฉีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่รู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่….”
“หญิงสาวคนนั้น เมื่อไหร่ที่เธอเห็นเลือด เธอจะหมดสติไปหลายชั่วโมงทีเดียว”
สีหน้ามืดมนยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของ’หลินเต๋อเทียน’
เวลานี้ เขากำลังคิดถึงเรื่องของ’หลินซิวเหวิน’ที่นอนอยู่โรงพยาบาลตอนนี้ หลังจากผลการตรวจสอบที่แน่ชัดออกมาแล้ว สติปัญญาของ’หลินซิวเหวิน’เสื่อมลงอย่างร้ายแรง IQ ของเขาลดลงเหลือเท่ากับเด็ก 2 ขวบ นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ในการฝืนคืนสติปัญญายังต่ำจนน่าหวั่นใจ
ส่วน’ไซ่เชาหง’นั้น เขาไม่เพียงเป็นคนมีชื่อเสียงและได้รับความนับถืออย่างมากในมหาลัยเหยียนจิง เขายังเป็นบุตรชายของประธานบริษัทเผ่ยเขิงกรุ๊ป แต่ตอนนี้ ‘ไซ่เชาหง’กลับนอนตายอย่างอนาถในห้องแห่งนี้
และสิ่งสำคัญที่สุด คือการลงมืออย่างอุอาจของชายสวมหน้ากาก ‘หลินเต๋อเทียน’ไม่มีทางปล่อยชายคนนั้นไปแน่
“ให้คนส่วนหนึ่งตามฉันมา”
จากการตรวจสอบก่อนหน้านี้ เขารู้ว่า’เย่เฟิง’และชายสวมหน้ากากมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นักในตอนนั้น เพราะชายสวมหน้ากากไม่ได้ก่อปัญหาอันใดต่อเขา แต่เมื่อตอนนี้ คนตระกูลหลินตกเป็นเป้าหมายของชายคนนั้น แล้วแบบนี้จะให้เขาอยู่เฉยต่อไปได้อย่างไร?
ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่า’เสี่ยวฉี’จะฟิ้น และ’หลินเต๋อเทียน’ก็เป็นคนใจร้อนที่ไม่ชอบนั่งรออยู่เฉยๆเสียด้วย
เวลานี้ เขาตั้งใจจะรีบไปยังหมู่บ้านชิงเฟิงเพื่อสอบปากคำ’เย่เฟิง’และล้วงเอาที่อยู่และข้อมูลอื่นๆของชายสวมหน้ากากมา
“พวกนายตามหัวหน้าไป”
‘ธันเดอร์’โบกมือไปยังทหารกลุ่มหนึ่ง และในทันที ทหาร 6 นาย ก้าวเดินตามหลินเต๋อเทียนไป
หลังจากนั้น ‘ธันเดอร์’และคนของเขาที่เหลือ ได้เริ่มทำงานของเขาต่อไป
“เอากล่องเหล็กพวกนั้นออกมา แล้วเก็บชิ้นส่วนของรีโมทมาให้ครบทุกชิ้นด้วย ส่วนพวกตัวประหลาดพวกนั้น เดี๋ยวส่งไปให้หน่วยชันสูตรจัดการ สถานภาพของไซ่เชาหงมีบางอย่างที่น่าสงสัย…..”
การตายของ’ไซ่เชาหง’นั้น หากไม่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างอย่างถูกต้อง มันอาจกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศไปเลยก็ได้!
เพราะฉะนั้น ‘ธันเดอร์’จึงต้องจัดการทุกสิ่งทุกสิ่งด้วยความรอบคอบอย่างถึงที่สุด
‘ธันเดอร์’และทหารอีกแปดนายที่เหลือ ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากในการจัดการสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาทั้งหมดเริ่มจัดการตามที่หัวหน้าหน่วยสั่งทันที
ส่วน’เย่เฟิง’ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องลับ ในที่สุดตอนนี้เขาก็ออกมาข้างนอกได้แล้ว
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ทหารหน่วย NSA สามคนปิดทางเข้าออกห้องเอาไว้ แม้’เย่เฟิง’จะอยู่ในสถานะล่องหน แต่อีกฝ่ายก็สามารถรู้ตัวได้หากสัมผัสกับตัวของเขา แต่เวลานี้ เมื่อฝ่ายตรงข้ามแยกย้ายกับไปทำตามที่หัวหน้าหน่วยสั่ง ในที่สุดชายหนุ่มก็มีโอกาสที่จะหนีออกไปจากห้องนี้ได้
ความจริงแล้ว ‘เย่เฟิง’คงไม่สามารถดูดซับลูกปัดสวรรค์เพื่อเพิ่มวรยุทธ์เป็นระดับ 10 ปีได้เร็วขนาดนี้ หากเขาไม่ได้ขยายเส้นลมปราณเอาไว้ก่อน
มันคือความโชคดีที่มาพร้อมกับความพยายาม แต่จุดสำคัญคือ ต่อจากนี้ไป เขาจะไม่สามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ขึ้นได้ง่ายๆอีกแล้ว
สำหรับ’เย่เฟิง’ในเวลานี้ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือเขาต้องหาสถานที่เหมาะสมเพื่อซ่อนตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ชายหนุ่มต้องการเปิดใช้งานทักษะสัมผัสวิญญาณ ซึ่งด้วยทักษะชนิดนี้ เขาสามารถรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ในรัศมี 100 เมตร ซึ่งแม้แต่มดสักตัวก็ไม่อาจเล็ดลอดสัมผัสของเขาไปได้!
ต่อให้ใครสามารถใช้ทักษะล่องหนเหมือนเขาได้ ‘เย่เฟิง’ก็ยังสามารถรับรู้ได้ไม่ยากจากการอาศัยทักษะสัมผัสวิญญาณ
ด้วยทักษะสัมผัสวิญญาณนี้เอง ความปลอดภัยของเขาตอนนี้จึงสูงขึ้นมาก ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ที่’จ้าวอี้เปย’ถูกสไนเปอร์ยิงใส่ สถานการณ์แบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก
และทันใดนั้น ‘เย่เฟิง’ก็พลันคิดไปถึงชายหนุ่มที่สดใสร่าเริงคนนี้ เขารู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าทักษะอัญเชิญวิญญาณคนตายของเขาจะสามารถใช้ได้ดีอยู่ไหม เขาจะสามารถอัญเชิญวิญญาณในไหวิญญาณออกมาได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ต่อให้’เย่เฟิง’สามารถอัญเชิญ’จ้าวอี้เปย’ออกมาได้จริง เขาก็ยังไม่มีความสามารถจะฝืนคืนชีพชายหนุ่มคนนี้ได้อยู่ดี
หากที่นี่เป็นเหมือนโลกเทวะแล้ว ทักษะเซียนยอมสามารถแสดงผลได้เต็มประสิทธิภาพแน่นอน…..
ในความมืดยามค่ำคืน ‘เย่เฟิง’มองไปรอบๆอย่างระวัง แต่เขาไม่พบตัวชายสวมหน้ากากอีกคน และเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าชายคนนั้นเป็นใครกัน ชายหน้ากากโครงกระดูกแฝงตัวอยู่รอบๆ’ไซ่เชาหง’มาตลอดหนึ่งปีโดยไม่ถูกเปิดเผยตัวแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้น เขาคงเอาตัวรอดไปได้ ‘เย่เฟิง’คิดว่าในอนาคตหากมีโอกาสได้เจอกันอีก เขาก็อยากทำความรู้จักกับชายคนนั้นไว้ เพราะแม้จะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่พรสวรรค์และความสามารถของชายคนนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
‘เย่เฟิง’ส่ายหัว และตัดสินใจไม่คิดอะไรให้มากความ หากพวกเขาถูกกำหนดให้เป็นเพื่อนกันแล้ว พวกเขาคงมีโอกาสได้เจอกันอีกในวันข้างหน้า
‘เย่เฟิง’ที่อยู่ในสถานะล่องหน ออกจากหมู่บ้านเหยียนซีแห่งนี้ไปอย่าเงียบเชียบ หลังจากออกห่างจากหมู่บ้านมาได้หลายกิโลเมตร ชายหนุ่มปลดทักษะล่องหนออกพร้อมกับร่างของเขาที่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ด้วยระดับวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ‘เย่เฟิง’สามารถคงสถานะล่องหนไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่นั่นคือไม่เกินครึ่งชั่วโมง ถึงแม้ในตัวเขาจะมีเจินชี่เหลืออยู่มหาศาล แต่’เย่เฟิง’ก็ควรเก็บไว้ใช้ในสถานการณ์ที่สำคัญจริงๆ ยิ่งกว่านั้น การพื้นคืนเจินชี่ในร่างยังกินเวลาเยอะมาก
บาดแผลเป็นหลุมลึกที่ขาขวา สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้อยู่ใต้แสงจันทร์ดวงนี้ ‘เย่เฟิง’ใช้งานแสงศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมกับขบคิดว่ามันจะสามารถฟื้นฟูบาดแผลของเขาได้สักแค่ไหน ไม่นาน บาดแผลของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งรอยบาดแผลมากมายตามร่างที่เขาเคยได้รับจาก’หลี่ฮวา’แห่งวังกระบี่สวรรค์ตอนที่อยู่เขาฉางไป่ บาดแผลเหล่านี้ก็เลือนหายไปจนหมดจดเช่นเดียวกัน
วรยุทธ์ระดับ 10 ปี สามารถทำให้เขาสามารถใช้งานทักษะเซียนได้เยอะขึ้นมากจริงๆ!
……………..
แต่เวลานี้อีกด้านหนึ่ง ในบ้านที่พังไปครึ่งหลัง ‘ธันเดอร์’และทหารอีกแปดนายยังคงตรวจค้นสิ่งของน่าสงสัยต่างๆอย่างขะมักเขม้น พวกเขาไม่ได้ตรวจค้นแค่ห้องใต้ดินเท่านั้น แต่ได้ตรวจสอบไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน เพื่อรวบรวมหลักฐานให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ ไม่นานพวกเขาก็ได้แยกย้ายไปค้นหากันคนละที่
“นั่นใคร?”
ที่ชั้นสองของบ้าน ทหารในชุดอำพรางคนหนึ่งตื่นตัวขึ้นอย่างฉับพลัน เขามองไปทั่วทั้ง 360 องศารอบตัว ด้วยกล้องตรวจจับที่ครอบดวงตาเอาไว้ และในตอนนั้น เขาก็เห็นเงาดำไหววูบขึ้นมา
ทหารคนนี้มีปฏิกิริยาทันที BlueDot ของปืนเล็งไปยังเป้าหมายเพื่อเตรียมจะยิง แต่นั่นยังช้าเกินไป
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
ทันใดนั้น มีดบินแต่ละเล่ม ก็พุ่งเข้ามาปักที่ลำคอของเขาทันที มีดทั้งสามเล่มนี้ถูกปาออกมาจากเงาดำร่างนั้น และมันยังปักเข้าที่ลำคอของทหารคนนี้อย่างแม่นยำทั้งสามเล่ม!
……………………..
แปลโดย Solar Spark
ที่มา :