ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปคำพูดของ’เย่เฟิง’นั้น ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าคนตระกูลหลินทั้งตระกูล การที่พวกเขาระบุตัวตนใครสักคนเพียงเพราะแค่หน้ากากนั้น มันไม่ต่างอะไรกับความคิดของเด็กประถมเลยสักนิด
แต่ในเมื่อตระกูลหลินเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิง เพราะฉะนั้น คนตระกูลนี้ย่อมไม่ควรโง่เขลาแบบนี้
สำหรับสมาชิกตระกูลหลินคนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ พวกเขาไม่ถือสาอะไรกับคำพูดของ’เย่เฟิง’อยู่แล้ว เพราะอย่างแรก พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้โดยตรง และอย่างที่สอง พวกเขาไม่ได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง พวกเขารู้เพียงแค่สิ่งที่ได้ยินจากปากของ’หลินเต๋อเทียน’ และ’หลินเหรินเทียน’เท่านั้น
ถึงอย่างนั้นสำหรับ’หลินเหรินเทียน’แล้ว การที่ลูกชายของเขากลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนที่มีระดับ IQ ไม่ต่างอะไรจากเด็กทารก เรื่องนี้สร้างความอัปยศอดสูให้เขาอย่างเหลือแสนจนแทบจะกลายเป็นคนไร้เหตุผล
ส่วน’หลินเต๋อเทียน’ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูลหลิน และเป็นผู้นำของหน่วย NSA เขาจึงมีส่วนในการจัดการเรื่องนี้อย่างชัดเจน เขาต้องหาคำตอบมาอธิบายแก่ทุกคนให้ได้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นมาอย่างไรและเกิดอะไรขึ้น ทุกคนที่ว่านี้รวมไปถึงทางเผ่ยเขิงกรุ๊ป และผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา
สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่สำคัญว่า’ไซ่เชาหง’จะทำสิ่งที่ผิดกฏหมายหรือไม่ สิ่งสำคัญคือชายสวมหน้ากากเป็นคนลงมือสังหาร’ไซ่เชาหง’ และนี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้!
ความจริงแล้ว มีเพียง’ธันเดอร์’คนเดียวที่รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ เขาเป็นคนซื่อสัตย์และเถรตรงที่ไม่ชอบนิสัยนักการเมืองของ’หลินเต๋อเทียน’ แต่ด้วยฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วย NSA เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศชาติ
ด้วยสัญชาตญาณของ’ธันเดอร์’ เขาคิดว่า’ไซ่เชาหง’ต้องเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่อันตราย และคิดว่าแผนของชายหนุ่มคนนั้นต้องส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจหาหลักฐานมาพิสูจน์เรื่องนี้ได้เลย
“จริงอยู่ที่ใครก็สามารถกลายเป็นชายสวมหน้ากากได้ แต่ทักษะของชายสวมหน้ากากคนนั้น ไม่ใช่ว่าจะพบเจอได้ทุกที่”
‘หลินเต๋อเทียน’พูดเบาๆ
“การที่มันสามารถหลบหนีไปจากห้องลับ สังหารหน่วย NSA ไปถึง 3 คน และยังทำลายหลักฐานจนแทบไม่เหลือ ด้วยไหวพริบและทักษะแบบนี้ แม้แต่โลกยุทธภพเองยังยากที่จะได้เจอคนแบบนี้”
“ในเมื่อคุณยังยืนยันแบบนั้น ถ้างั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว แต่ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าถ้าพี่เสี่ยวฉีตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ แล้วอธิบายทุกอย่างจนชัดเจน เวลานั้นคุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
‘เย่เฟิง’ยิ้มก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“แต่ว่าก็ว่าเถอะ ใครจะรู้ว่าตระกูลหลินที่เป็นตระกูลอันสูงส่งจะรังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียว จริงไหม?”
“ถ้าเธอยอมบอกว่าชายสวมหน้ากากอยู่ที่ไหน ฉันก็จะปล่อยตัวเด็กคนนั้นทันที”
‘หลินเต๋อเทียน’พูด
“คุณปล่อยตัวเธอก่อน แล้วผมจะคิดอีกทีว่าผมควรทรยศเพื่อนของผมดีหรือไม่”
‘เย่เฟิง’เงยหน้าขึ้นขณะจ้องมองไปยัง’หลินเต๋อเทียน’ เขาพูดต่อไปว่า
“คุณน่าจะรู้ว่าการทรยศเพื่อนตัวเองแบบนี้ เป็นใครก็ต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา ถ้าผมไม่ได้เห็นซูเหมิงหานก่อน ผมจะไม่บอกอะไรเด็ดขาด”
นี่คือการต่อรองงั้นหรอ? ‘เย่เฟิง’ถึงกับกล้าทำแบบนี้ด้วย!
“หึ จะคิดมากกับเพื่อนไร้ประโยชน์ไปทำไม?”
‘หลินเหรินเทียน’พูดเย้ยยันขณะดันแว่นตาขึ้น
“มันทำอะไรให้เธอบ้าง? แล้วเธอให้อะไรกับมันบ้าง? พวกเธอทั้งคู่ก็แค่เพื่อนที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่กัน แล้วเธอจะไปคิดมากทำไม ต่อให้เธอไม่ทรยศมัน แล้วคิดว่ามันจะมาที่นี่เพื่อช่วยแฟนสาวของเธองั้นหรอ?”
‘เย่เฟิง’มองไปที่’หลินเหรินเทียน’ด้วยแววตาคมกริบ
“ถ้าคุณไม่ยอมปล่อยตัวซูเหมิงหานออกมา ผมก็จะไม่บอกอะไร สุดท้ายต่างฝ่ายก็ต่างเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”
‘เย่เฟิง’นั่งไขว้ขาด้วยท่าทางที่ดูหยิ่งยโส ก่อนจะพูดออกไปอย่างลวกๆ
‘หลินเต๋อเทียน’นั้นเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาด เมื่อเห็นการโต้เถียงที่ดูจะยุ่งเหยิงมากขึ้น สุดท้าย เขาจึงโบกมือให้’ธันเดอร์’
“ธันเดอร์ ให้คนไปพาเด็กคนนั้นมาที่นี่”
ถ้าหากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันแบบนี้ สุดท้ายตัวเขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร อย่างไรก็ตาม การที่เขาจับตัว’ซูเหมิงหาน’เพื่อล่อให้’เย่เฟิง’มาที่นี่ แต่หาก’เย่เฟิง’ไม่ยอมให้ความร่วมมือ แผนทั้งหมดของเขาก็ย่อมสูญเปล่า
ในความคิดของ’หลินเต๋อเทียน’นั้น ‘เย่เฟิง’เป็นเพียงแค่เด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดา ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะมีจิตวิทยาที่น่าทึ่ง แต่ในเมื่อมีเด็กสาวคนนั้นอยู่ที่นี่ด้วย การที่’เย่เฟิง’จะหนีไปจากที่นี่พร้อมกับ’ซูเหมิงหาน’จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้
‘หลินเหรินเทียน’นั่งลงขณะยังมีความกังวลในใจ บนโต๊ะตรงหน้าเขามีที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มไปด้วยเถ้าบุหรี่มากมาย เมื่อเห็นแบบนี้ ใครก็ล้วนเดาออกว่าเวลานี้ ‘หลินเหรินเทียน’รู้สึกกังวลใจเพียงใด
ไม่นานนัก ทหารหน่วย NSA สองคนก็นำตัว’ซูเหมิงหาน’ลงมา เวลานี้ เด็กสาวสวมชุดเดรสยาวที่ดูน่ารักและสดใส เมื่อมองเห็น’เย่เฟิง’ เธอก็รู้สึกดีใจและรีบวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าเขา ‘เย่เฟิง’ก็ยิ้มอย่างดีใจก่อนจะสวมกอดเธอไว้
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“อื้ม ฉันไม่เป็นไร พวกเขาจับฉันเพราะ…..จริงๆแล้วเขาต้องการตัวนาย…..”
‘ซูเหมิงหาน’หยุดพูดไปพักหนึ่งขณะมองไปรอบๆ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“สบายใจเถอะ พวกเขาไม่ทำอะไรเราหรอก”
‘เย่เฟิง’ปลอบขวัญ’ซูเหมิงหาน’ด้วยรอยยิ้ม และวางมือบนไหล่เด็กสาว
“เอาล่ะ ตอนนี้เธอก็บอกมาได้แล้วว่าชายสวมหน้ากากอยู่ที่ไหน?”
โดยไม่รอช้า ‘หลินเหรินเทียน’เคาะบุหรี่ในมือ และจ้องมายัง’เย่เฟิง’
“ขอโทษทีครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาอยู่ไหน เมื่อกี้ผมแค่หลอกคุณเฉยๆ”
‘เย่เฟิง’ตอบกลับไปอย่างห้วนๆ ราวกับไม่เกรงกลัวฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย
“แก!”
‘หลินเหรินเทียน’ทุบโต๊ะอย่างแรงขณะยืนขึ้น แม้แต่แว่นตาของเขาเองยังเกือบร่วงลงพื้น
ไอ้เด็กเวรนี่ ทำไมถึงได้หน้าด้านแบบนี้?
“เย่เฟิง เธอคิดว่าเพราะตัวเองเป็นหลายชายผู้เฒ่าเย่หรือไงถึงกล้าทำแบบนี้”
ใบหน้าของ’หลินเต๋อเทียน’กลายเป็นเยียบเย็น
“จากที่ฉันเห็น เธอดูไม่เกรงกลัวที่จะสร้างความวุ่นวายที่นี่เลยสักนิด แต่ฉันขอเตือน! ต่อให้เป็นปู่ของเธอ เขาก็ไม่สามารถปกป้องเธอจากฉันได้!”
“กลัวสิครับ ผมกลัวเอามากๆเลย เพราะงั้น คุณควรจะปล่อยพวกเราไปเร็วๆ ผมจะได้ไม่สร้างปัญหาให้พวกคุณอีก”
‘เย่เฟิง’ดึงมือของ’ซูเหมิงหาน’เบาๆขณะยิ้ม
“อย่าฝันไปหน่อยเลย”
‘หลินเหรินเทียน’ดันแว่นตาขึ้น และตะโกนขึ้นมาด้วยความโมโห
“ห้ามปล่อยเด็กคนนี้ไปเด็ดขาด ถ้าเขากับชายสวมหน้ากากมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นละก็ เจ้าหน้ากากนั่นมันต้องมาติดกับพวกเราแน่!”
‘หลินเหรินเทียน’ต้องการจับตัว’เย่เฟิง’ไว้เป็นตัวประกัน
‘เย่เฟิง’ยักไหล่ ราวกับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว การพูดคุยอันไร้สาระเหล่านี้ ‘เย่เฟิง’ทำไปเพื่อถ่วงเวลาจนกว่า’เสี่ยวฉี’จะตื่นขึ้นมาเท่านั้น เมื่อหญิงสาวคนนั้นตื่นขึ้นมาอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน ความจริงทั้งหมดก็จะปรากฏออกมาเอง ในเมื่อชายสวมหน้ากากช่วยเธอไว้ถึงสองครั้ง หญิงสาวคนนั้นคงไม่พูดอะไรใส่ร้ายเขาหรอก จริงไหม?
ยิ่งกว่านั้น ‘เสี่ยวฉี’ยังถูกพาตัวมาที่ห้องใต้ดินของ’ไซ่เชาหง’จนเกือบจะถูกสังหาร และเธอก็ได้เห็นความลับของ’ไซ่เชาหง’มากมาย อย่างเช่นเจ้าตัวประหลาดพวกนั้น
สำหรับ’เย่เฟิง’แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานชั้นดีที่จะทำให้เขาพ้นข้อกล่าวหา
อย่างไรก็ตามเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดชะงักลงเมื่อเสียงโทรศัพท์ของ’หลินเต๋อเทียน’ดังขึ้นอย่างฉับพลัน เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับทันที
“แย่แล้วค่ะพ่อ”
เสียงหวานใสอันคุ้นเคยที่เต็มไปด้วยความร้อนใจดังขึ้น คนที่โทรศัพท์มาคือ’หลินชื่อฉิง’นั่นเอง
“เมื่อกี้นี้ เสี่ยวฉีถูกชายสวมหน้ากากพาตัวไปจากโรงพยาบาลค่ะ!”
‘เย่เฟิง’ยังคงเปิดใช้งานทักษะสัมผัสวิญญาณ เพราะฉะนั้น เขาจึงได้ยินทุกอย่างชัดเจน สิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น
ถูกต้อง เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ ในเมื่อผู้สมรู้ร่วมคิดของ’ไซ่เชาหง’พยายามทำลายหลักฐานทุกอย่าง เพราะฉะนั้น มันย่อมไม่ไว้ชีวิต’เสี่ยวฉี’แน่!
โง่เง่าจริง!
‘เย่เฟิง’รู้สึกดูถูกตระกูลหลินที่ไม่ได้ดูแลพยานปากเอกเอาไว้ให้ดี
“แต่ว่า มันทิ้งที่อยู่เอาไว้ด้วยค่ะ”
‘หลินชื่อฉิง’พูดต่อ
“ถ้างั้นบอกพ่อมา”
‘หลินเต๋อเทียน’เอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล
หญิงสาวบอกที่อยู่ตามที่ถูกเขียนไว้อย่างรวดเร็ว ที่นั่นคือโรงงานร้างซึ่งตั้งอยู่แถวชานเมืองอันห่างไกลและไร้ผู้คนของเมืองเหยียนจิง อย่างไรก็ตาม ‘เย่เฟิง’รู้สึกสงสัยว่าทำไมชายสวมหน้ากากที่ว่านั่นถึงทิ้งที่อยู่เอาไว้ด้วย
“ธันเดอร์ ไปสั่งคนของเราให้เตรียมตัวให้พร้อม”
‘หลินเต๋อเทียน’กวาดมือออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว และหันไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุประมาณ 27 ถึง 28 ปี ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
“ซิวหวู่ เธอเองไปเตรียมคนให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย”
“ครับผม!”
ชายหนุ่มที่ดูฮึกเหิมผิดปกติคนนั้นมีชื่อว่า’หลินซิวหวู่’ เขาเป็นผู้บังคับการกรมทหารรักษาความมั่นคงภายในที่ 4 ของเมืองเหยียนจิง ทหารกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าหน่วยทหารราบเบาซึ่งพร้อมปฏิบัติภารกิจในทุกสถานการณ์ เดิมที พวกเขามีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเมืองเหยียนจิง และมักส่งออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ
“ธันเดอร์ คุมตัวเจ้าหนูนี่แล้วพาเขาไปกับเราด้วย พวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้”
‘หลินเต๋อเทียน’เอ่ยขึ้น เขาหันมามอง’เย่เฟิง’พร้อมกับคิดว่า ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามจับตัว’เสี่ยวฉี’ไว้เป็นตัวประกัน เขาก็จะจับตัว’เย่เฟิง’ไว้เป็นตัวประกันเช่นกัน
‘เย่เฟิง’ไม่ได้ขัดขืนอะไร
ความจริงแล้ว ตัวเขานั้นอยากรู้ใจจะขาดว่าชายสวมหน้ากากคนนั้นเป็นใคร แล้วฝ่ายนั้นต้องการอะไรกันแน่
………………….
แปลโดย Solar Spark
ที่มา :