ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบทที่ 133 คลื่นยักษ์ในทะเลจีนตะวันออก
นี่เป็นสิ่งที่หลินเต๋อเทียนไม่คาดคิดเลยจริงๆ
ปกติแล้ว ลูกสาวของเขาเป็นคนที่จัดการสิ่งต่างๆด้วยเหตุผลเสมอ แต่ครั้งนี้ ชื่อฉิงกลับยืนยันหนักแน่นว่าไม่ต้องไล่ตามคนพวกนั้นไป นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่โม่จิ่วเกอก็จ้าวหมิงซือที่เป็นคนสำคัญสำหรับเธอ
แม้ว่าความช่วยเหลือจากชายสวมหน้ากากทั้งสอง จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการเปิดเผยแผนกลอุบายอันแสนเจ้าเล่ห์ของไซ่เชาหง ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทุกคน แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะปล่อยให้คนพวกนั้นหนีไปได้!
แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้จะเป็นหลักฐานมัดตัวที่ชี้ชัดมาก แต่นั่นยังคงห่างไกลจากจุดมุ่งหมายที่แท้จริง ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วนให้มากขึ้นในกรณีนี้ แล้วถ้าเกิดว่ามีบางสิ่งผิดพลาดแล้วทั้งสองนั่นไม่รู้ล่ะ พวกเขาจะทำยังไงกัน?
“หนูไม่ได้ทำไปโดยไร้เหตุผลหรอกนะ”
หลินชื่อฉิงหันมามองเสี่ยวฉีด้วยรอยยิ้ม เธอส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “เป็นไปได้ว่าโม่จิ่วเกอคนนั้นจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคุณหนูตระกูลหลง ถ้าพวกเราจับตัวเขาไว้ คุณหนูหลงอาจจะอาละวาดเพราะเรื่องนี้ก็ได้ จริงไหมคะ? เรื่องพวกเราต้องจัดการอย่างรอบคอบ และตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะตัดสินใจใหม่อีกครั้ง”
คำพูดของหลินชื่อฉิง ฟังดูแล้วมีเหตุผลมากทีเดียว
ข้อแรก การจุยหุนบอกว่าโม่จิ่วเกอมีความสัมพันธ์กับคุณหนูหลง สำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องนี้มีความน่าเชื่อถือมากทีเดียว นอกจากนั้น พวกเขายังไม่รู้ท่าทีของตระกูลหลงว่าเป็นอย่างไร เพราะงั้น การทำอะไรออกไปโดยไม่ยั้งคิด ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก
ข้อสอง หญิงสาวตั้งใจยกนี้มาพูดต่อหน้าเสี่ยวฉี ก็เพื่อให้เพื่อนของเธอเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ชายสวมหน้ากากคนนั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคุณหนูหลง เพราะงั้นเพื่อนของเธอไม่ควรไปยุ่งกับเขา
หลินชื่อฉิงไม่ใช่คนที่ตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ แต่ในกรณีนี้ ใบหน้าของโม่จิ่วเกอเลวร้ายจนเกินจะรับได้จริงๆ นอกจากนี้ ตัวตนของเขายังพัวพันกับสิ่งอันตรายมากมายอีก
สิ่งที่หญิงสาวนึกถึงเมื่อครู่นี้ ก็คือการที่เธอถูกชายคนนั้นเอาเปรียบอย่างน่ารังเกียจ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาพยายามปกป้องตัวเธออย่างสุดความสามารถ ความโมโหของหญิงสาวก็ค่อยมอดดับลง
ถึงอย่างนั้น หลินชื่อฉิงยังไม่อาจระงับบางสิ่งที่กวนใจอยู่ในตอนนี้ได้เสียที การที่เธอถูกชายคนหนึ่งกดตัวเธอไว้ใต้ร่างของเขาอย่างแรง เรื่องแบบนี้ หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะได้เจอมาก่อนเลยจริงๆ ตอนนี้อกของเธอยังรู้สึกเจ็บอยู่เลย…..
เมื่อหลินเต๋อเทียนได้ยินคำอธิบาย เขาก็ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “ยังไงเรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไม่ได้ พวกเราจะตามตัวคนพวกนั้นทีหลัง”
หลินชื่อฉิงยิ้มอย่างพอใจ ดูเหมือนว่าพ่อจะยอมรับความเห็นของเธอเช่นกัน
ภายใต้กำลังของตระกูลหลินและหน่วยNSA จะมีสิ่งใดในประเทศนี้ที่พวกเขาไม่อาจตามล่าได้กัน? ดูเหมือนว่าหลินเต๋อเทียนจะเห็นด้วยกับมุมมองของหลินชื่อฉิง และตัดสินใจเปลี่ยนแผนเสียใหม่
“ชื่อฉิง เมื่อกี้…..”
เมื่อเห็นทุกคนยกเลิกการไล่ตาม เสี่ยวฉีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงอย่างนั้นไม่นาน หญิงสาวก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา เธอกระซิบถามหลินชื่อฉิง “เมื่อกี้เธอพูดว่าคุณหนูหลินอะไรนะ?”
“สาวสวยคนนั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างกับชายสวมหน้ากากไงล่ะ ทำไมหรอ? หรือสาวน้อยคนนี้จะรู้สึกหึงแล้วรึไงจ๊ะ?
หลินชื่อฉิงหัวเราะคิกคัก และพยายามที่จะหยอกล้อเสี่ยวฉี“บ้า! จะเป็นไงได้ไงยะ ฉันเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นาน แถมยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครอีก แล้วจะไป…..”
ถึงแม้เสี่ยวฉีจะพูดแบบนั้น แต่แก้มของเธอก็เริ่มขึ้นสี หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหลินชื่อฉิงที่กำลังหัวเราะคิกคักด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แล้วเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน? ดูสิ หน้าเปื้อนโคลนไปหมดเลย”ขณะที่พูดแบบนั้น เสี่ยวฉียกมือน้อยๆของเธอขึ้นมาลูบใบหน้าของหลินชื่อฉิงเบาๆ เพื่อปัดเอาเศษโคลนที่เปื้อนใบหน้าอันงดงามออก
“ม..ไม่มีอะไรหรอก……”
หลินชื่อฉิงรู้สึกอึดอีดใจเล็กน้อย แน่นอนว่าเธอไม่อาจเล่าให้เสี่ยวฉีฟังถึงเรื่องที่ถูกชายสวมหน้ากากคนนั้นกดเอาไว้ใต้ร่างของเขา หรือเรื่องอื่นๆได้ เพราะงั้น เธอจึงรีบเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “หลักฐานพวกนี้ น้องจ้าวเป็นคนให้เธอมาหรอ?”
“อืม เขาบอกว่าในที่สุด ความพยายามตลอดหนึ่งปีก็สำเร็จเสียที เขาแก้แค้นได้ตามที่ต้องการแล้ว”
เสี่ยวฉีพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “บางที ต่อไปพวกเราอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว”“ฮืมม?”
คำพูดนั้น ทำให้หลินชื่อฉิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทำไมเธอถึงจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วกัน?
“น้องจ้าวบอกว่าเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่น่ะ”
เสี่ยวฉียิ้ม “ฉันคิดว่าถ้าฉันเป็นเขา ฉันก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน ในเมื่อแก้แค้นได้สำเร็จแล้ว ตัวตนของจ้าวหมิงซือก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป”“แล้วชื่อจริงของเขาล่ะ?”
หลินชื่อฉิงถาม แต่ทันใดนั้น เธอก็เอ่ยขึ้นมา
“แต่เรื่องนี้จริงๆไม่ต้องถามก็ได้….”เสี่ยวฉีมองหลินชื่อฉิงด้วยความสงสัย
หลินชื่อฉิงมองเพื่อนของเธอขณะคิดบางอย่างในใจ ก่อนจะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ สาวน้อยคนนี้เป็นคนซื่อบื้อโดยธรรมชาติจริงๆ
‘เขาเป็นใครน่ะหรือ? เมื่อปีก่อน แก๊งประตูสวรรค์ใต้ถูกกวาดล้างอย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงแค่คนสองคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้น…….’
หลินชื่อฉิงมองไปยังทิศทางที่รถจิ๊บสีเหลืองจากไป และอดจะคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้อย่างไรก็ตามที่อีกด้านหนึ่งในตอนนี้ ทั้งหลินเต๋อเทียนและธันเดอร์กำลังให้ของเขาตรวจสอบว่า วีดีโอบันทึกภาพเหล่านี้เป็นของจริงหรือถูกปลอมขึ้นมา นอกจากนี้ พวกเขายังสั่งการให้เหล่าทหารกรมที่ 4 ปิดล้อมพื้นที่บริเวณใกล้เคียงเพื่อเริ่มตรวจสอบสิ่งต่างๆให้ละเอียดอีกทีในวันพรุ่งนี้
ถ้าพวกเขามีหลักฐานที่หนาแน่นอยู่ในมือแล้ว พวกเขาก็พร้อมสำหรับการเผชิญหน้าระหว่างประเทศกับเผ่ยเขิงกรุ๊ป!
“อ่อ อีกเรื่องหนึ่ง ธันเดอร์”
หลินเต๋อเทียนคิดได้ถึงบางสิ่ง ก่อนจะเรียกให้ธันเดอร์ไปพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ คิ้วของเขาขมวดแน่นขณะเอ่ยถาม “ตอนนี้ พื้นที่ทางทะเลจีนตะวันออกอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารหน่วยหลี่เฟิงใช่ไหม? ในเมื่อตระกูลหลงไปรวมตัวกันที่นั่นแล้ว ฉันคิดว่าเจ้าเด็กโม่จิ่วเกอก็น่าจะไปที่นั่นเหมือนกัน”“จริงด้วยครับ”
สีหน้าของธันเดอร์เปลี่ยนไป “ได้ยินมาว่าเทพธิดานางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ทางทะเลจีนตะวันออก เพราะงั้น ผู้คนจากโลกยุทธภพจึงไปรวมตัวกันที่นั่นสินะครับ”
“ใช่ ในเรื่องนี้ ฉันคิดว่าลำพังแค่หน่วยของหลี่เฟิงคงไม่พอรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น”
หลินเต๋อเทียนพูด ก่อนจะจมลงไปสู่หวงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง และไม่นาน เขาก็ตัดสินใจได้ “งั้น ถ้าตรวจสอบสิ่งเหล่านี้หมดแล้ว นายก็นำหน่วยไปประจำอยู่ที่นั่นก็แล้วกัน อย่างแรก ให้ดูแลความสงบที่นั่นก่อน ถ้ามีใครก่อความวุ่นวายขึ้นมา ไม่ว่ามันจะเป็นใครหน้าไหน ก็ให้จับกุมได้ทันที”“ทราบแล้วครับ”
สำหรับการเตรียมการของหลินเต๋อเทียน ธันเดอร์ไม่มีสิ่งใดคัดค้านสถานการณ์ที่ทะเลจีนตะวันออกในตอนนี้ดูเหมือนจะตึงเครียดขึ้น จำนวนคนในหน่วยของหลี่เฟิง ไม่เพียงพอจะรับมือได้ เพราะพวกเขามีอยู่แค่ไม่ถึง 100 คน กลุ่มเล็กๆแบบนี้มีหรือจะรับมือกับตระกูลหลงได้? แล้วอย่าลืมว่าคนของตระกูลหลง ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดอีกด้วย
การส่งกำลังคนไปสนับสนุนที่นั่นก่อนจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด เพราะหากเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมา คนเพียงน้อยนิด ไม่เพียงพอจะแก้ไขสถานการณ์ได้แน่นอน
………….
ขณะที่สิ่งต่างๆยังคงดำเนินไป ที่อีกด้านหนึ่ง เย่เฟิงที่หลบหนีออกมาอย่างง่ายดายด้วยการพึงพาทักษะสัมผัสวิญญาณ และชายหน้ากากโครงกระดูกที่เข้าไปก่อกวนหลินเต๋อเทียนรวมทั้งเหล่าทหาร
เรื่องที่เสี่ยวฉีเข้าไปหยุดการไล่ตามของหน่วย NSA เหตุการณ์นี้ก็ตกอยู่ในสายตาเย่เฟิงเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งที่ชายหน้ากากโครงกระดูกเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อเห็นคนของหน่วย NSA เลิกไล่ตามมา หลังจากวิ่งมาครึ่งกิโลเมตร เย่เฟิงก็หยุดลง และทันใดนั้น รถจิ๊บสีเหลืองก็แล่นเข้ามาจอดข้างๆ
“เราเจอกันอีกแล้วนะเพื่อน”
ชายหน้ากากโครงกระดูกหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเพื่อลงจากรถน้ำเสียงที่แสนจะธรรมดา ทำให้ยากต่อการระบุตัวตน ถึงอย่างนั้น แน่นอนว่าเย่เฟิงในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องฟังน้ำเสียงเพื่อระบุตัวตนของใครอีกแล้ว
เพราะเวลานี้เขามีความสามารถในการมองผ่านหน้ากาก และสามารถเห็นรูปลักษณ์ของชายสวมหน้ากากได้อย่างชัดเจน
(แสดงว่าเฮียก็มองทะลุเสื้อผ้าได้ด้วยสินะ ถึงว่า….)ความจริงแล้วรูปลักษณ์ของชายคนนี้คู่ควรแก่การชื่นชม เขาเป็นคนรูปหล่อที่ไม่มีท่าทางตุ๊งติ๊งแบบจ้าวหมิงซือ เมื่อมาคิดอีกที ท่าทางของจ้าวหมิงซือก็คงเป็นการแสดงออกที่เขาใช้เพื่อเปลี่ยนตัวตนของตัวเอง
ชายคนนี้ช่างมีพรสวรรค์ในการตบตาผู้คนเสียจริง!
“ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยสิ”
เย่เฟิงยิ้มอย่างสื่อความหมายเพื่อปฏิเสธ ถึงอย่างไรซูเหมิงหานยังรอเขากลับไปรับตัวมาอยู่ และจะให้ไปกับรถคันนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเสียงของมันเป็นที่ดึงดูดสายตาเกินไป
เหตุผลที่ชายหน้ากากโครงกระดูกชวนนั้น คงไม่มีใครรู้ได้ แต่ทุกครั้งที่เย่เฟิงรวมงานกับชายคนนี้ พวกเขาก็มักจะเข้าใจกันได้จากคำพูดและการแสดงออกอย่างมีนัยเสมอ ถึงอย่างไร ชัดเจนว่าอีกฝ่ายค่อนข้างจะปิดกั้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา
บางที นั่นอาจเป็นเพราะชายคนนี้ เป็นคนที่ฉลาดเฉลียวอย่างมากก็ได้
“สวัสดี ฉันชื่อว่าหนานฟาง”
ชายหน้ากากโครงกระดูกยืนมือออกมา ขณะที่มุมปากของเขาโค้งขึ้น “ส่วนนาย เย่เฟิงใช่ไหม?”เมื่อเย่เฟิงได้ยินดังนั้น ตาของเขาก็พลันเบิกกว้างขึ้น ชายคนนี้เดาตัวตนของเขาออกได้อย่างไรกัน?
……………………..แปลโดย:Solar Spark,Tan Tan
Tan Tan:แอดไม่อยู่แล้วมันจะยาวไปไหนละเนียเออ!
(จุกละไม่ไหวว่าจะแปลให้หมดตายก่อนละผม)