ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบทที่ 314 วิชากระบี่หยางลี้ลับ
เมื่อเทียบกับวิชากระบี่พร่ำเพ้อของตระกูลกับวิชากระบี่หยางลี้ลับของตระกูลเย่มันต่างขั้วกันอย่างสิ้นเชิง
กระบี่พร่ำเพ้อมันมีพลังปราณเย็น เมื่อใช้ออกบรรยากาศคล้ายกับหิมะตกธรรมดา แต่อุณหภูมิของมันลดลงอย่างฉับพลัน ส่วนกระบี่หยางลี้ลับกลับตรงกันข้าม เมื่อใช้ออก อุณหภูมิจะพุ่งขึ้นสูงทันที คล้ายกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้
แต่เทียบกับทั้งสองวิชาแล้ว วิชากระบี่หยางลี้ลับมันซับซ้อนและยากที่จะเข้าใจ ประสิทธิภาพของมันในท้ายสุดจะต้องมีมากมาย นี่เป็นสาเหตุที่ตระกูลเย่แต่ก่อนถึงสามารถขึ้นเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลภายในโลกยุทธภพ
แต่ตอนนี้ตระกูลเย่พวกที่แข็งแกร่งต่างตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงเย่เหวินเทียนที่เชี่ยวชาญในวิชาหมัดปีศาจคลั่ง
เมื่อเทียบกับวิชาหมัดปีศาจคลั่งแล้ว เย่เฟิงเพียงสนใจวิชากระบี่หยางลี้ลับเท่านั้น น่าเสียดายที่เย่เหวินเทียนไม่ได้ฝึกวิชากระบี่หยางลี้ลับ เขาจึงต้องศึกษาเองทั้งหมด
ตามที่ตระกูลเย่ได้ว่าเอาไว้เมื่อบรรลุขั้นที่สามของวิชากระบี่หยางลี้ลับมันมีพลังรุนแรงอย่างมาก ปราณกระบี่ที่กวัดแกว่งออกไปก่อเกิดเป็นเปลวเพลิง แต่ละกระบี่สามารถละลายได้แม้กระทั่งทองและเหล็ก อุณหภูมิเพิ่งขึ้นสูงจนสามารถเผาผลาญศัตรูรอบๆอย่างรุนแรงจนเป็นเถ้าถ่าน
เย่เฟิงฝึกวิชากระบี่หยางลี้ลับอย่างหนักและพบว่าหลักของวิชากระบี่มันแตกต่างจากวิชาเซียน
ถ้าหากเป็นวิชากระบี่ของโลกเทวะ เปลวเพลิงมันถูกกระตุ้นขึ้นจากธาตุไฟในธรรมชาติเอามาใช้ ความร้อนจากภายนอก แต่วิชากระบี่หยางลี้ลับมันใช้ความร้อนจากภายในออกสู่ภายนอก ยามเมื่อใช้วิชากระบี่นี้ผู้ที่ฝึกปราณในร่างจะลุกไหม้ร้อนแรง ดังนั้นมันทำให้มือที่จับกระบี่อยู่ตอนนี้ร้อนลวกอย่างมาก
มีวิธีใช้งานสองแบบ เย่เฟิงไม่รู้เลยว่าวิธีใดที่มันดีกว่า
วิชาเซียนมันค่อนข้างใช้งานสะดวก แต่มันมีข้อด้อยอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด วิชากระบี่ธาตุไฟของโลกเทวะมันไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากธาตุไฟจากสภาพแวดล้อมันมีน้อยนิด แม้จะใช้ออกได้แต่พลังของมันก็คงไม่มากมาย
แต่มันต่างกับวิชากระบี่หยางลี้ลับ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แบบไหนก็สามารถใช้ปราณจากภายในของตัวเองกระตุ้นปะทุออกมาได้
ถ้างั้นจะหลอมรวมพวกมันทั้งสองได้ไหมนะ?
เย่เฟิงจดจ่ออยู่กับการศึกษาเรื่องนี้เป็นเวลานานเพื่อที่จะหลอมรวมวิทยายุทธและวิชาเซียนเข้าด้วยกัน ในความเห็นเขามันเป็นไปได้ ศึกษาจากจุดเด่นของแต่ละอันเพื่อนำมาหลอมรวม การหลอมรวมนี้มันจะทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในเวลานี้ผลสอบมหาลัยในที่สุดก็ออกมาแล้ว
รวมถึงของซูเหมิงหานและอู๋บี หลินชื่อฉิงกับเสี่ยวฉีและคนอื่น เช่นเดียวกับเด็กมัธยมมากมายจากหลายโรงเรียนต่างอยากเข้ามหาลัยเหยียนต้า หนึ่งอาทิตย์เย่เฟิงเอาแต่ฝึกหนักจนไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่เมื่อตอนผลสอบออกมา พวกเขาต่างประหลาดใจที่พบว่าคะแนนสอบของเย่เฟิงเพียงต่ำกว่าสองคะแนนเมื่อเทียบกับซูเหมิงหาน
เรื่องนี้มันทำให้ทุกคนเริ่มที่จะสงสัย หรือว่าเย่เฟิงจะโกงข้อสอบ? เหมือนกับลอกข้อสอบ! แต่พวกเขาก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่า ตอนที่เย่เฟิงไปทำข้อสอบเข้ามหาลัยกับซูเหมิงหานไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน
หลังจากนั้นเย่เฟิงก็ถูกสงสัยว่ามีฐานะภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ หรือว่าอาจจะติดสินบนมหาลัยถึงได้ผลสอบเช่นนี้?
นี่มันดูไร้สาระเกินไปและไม่นานทุกคนก็ต่างรู้ว่ามันไม่จริง ถ้าเย่เฟิงมีฐานะเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่จริง มันไม่จำเป็นต้องติดสินบนผลสอบมหาลัยเลย อยากจะเข้าก็เข้ามหาลัยได้เลย มันไม่มีความจำเป็นต้องติดสินบนผลการสอบ หรือเขามีนิสัยชอบทำให้ผู้คนสงสัยกัน?
ไม่นานผู้คนทั้งหมดก็สรุปออกมาว่า ผลสอบในครั้งนี้มันเป็นความสามารถจริงๆของเย่เฟิง
ด้วยผลสอบขนาดนี้ เย่เฟิงต้องการที่จะเข้าเหยียนต้าก็ไม่เป็นปัญหาหรือแม้กระทั่งมหาลัยดังก็ตามที แน่นอนว่าสำหรับเย่เฟิง มหาลัยไหนก็ไม่ได้สำคัญ เรื่องสำคัญมันอยู่ที่ว่าเขาได้ไปเรียนกับใครมากกว่า
ตราบเท่าที่เขาได้ไปเรียนกับซูเหมิงหานมันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถไปเรียนในตอนนี้ได้ ทะเลทรายกำลังรอการมาของเขาอยู่
ขณะที่หลงหวางเอ๋อก็ไม่ต้องการไปเรียนเช่นกัน ในตระกูลหลงเธอได้เรียนและจบการศึกษาระดับเทียบเท่าปริญญาโทแล้ว สำหรับเธอการฝึกวิชาเซียนอยู่ที่บ้านเป็นการดีกว่า
ตอนนี้หลงหวางเอ๋อสนใจกับวิชาเซียนมาก มักจะฝึกให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นเสมอ สำหรับเธอวิชาเซียนมันทำให้เธอได้รับรู้ถึงโลกอีกใบหนึ่งและทำให้เธอได้ก้าวข้ามไปสู่โลกอีกใบหนึ่ง
เธอยังได้ขอคำแนะนำวิชาฝึกวิญญาณกับวิธีฝึกผู้ฝึกวิญญาณกับเย่เฟิงด้วย เรื่องนี้มันน่าสนใจอย่างมาก ผู้คนที่ตายไปแล้วจะกลายเป็นวิญญาณเรื่องนี้มันช่างน่ามหัศจรรย์
อันที่จริงจื่อเจี้ยนหลานก็ได้เรียนอยู่ภายในสำนักเซียนเร้นลับมาอยู่แล้ว แต่ชีวิตมหาลัยข้างนอกมันยังคงใหม่มาก เย่เฟิงจึงขอให้เย่เหวินเทียนใช้เส้นสายเพื่อต้องการให้เธอได้เข้าเรียนในเหยียนต้าพร้อมกับซูเหมิงหาน
ด้วยความสามารถของตาเฒ่าเย่เหวินเทียน เรื่องนี้มันสมควรทำอยู่แล้ว หรือให้พูดอีกอย่างก็คือเย่เหวินเทียนก็เปรียบเป็นเหมือนปู่บุญธรรมของจื่อเจี้ยนหลานและจะต้องเป็นธุระให้อย่างเต็มใจ
ขณะที่หนานฟาง หน้าบาก จ้าวอี้เปยและหลิงเฉิน พวกเขาต่างฝึกอย่างหนักและไม่มีใครเหยาะแหยะแม้แต่คนเดียว ในความเห็นเย่เฟิงมีเพียงแม่บ้านเช่นน้าชูชูเท่านั้นที่ไม่ได้อ้อนวอนขอฝึกวิชา
หลังจากสังเกตมาได้สักพัก เย่เฟิงพบว่าความเข้าใจเรื่องยาสมุนไพรของน้าชูชูมีเหนือเกินกว่าคนธรรมอย่างมาก ดังนั้นให้เธอเป็นที่ปรึกษาเรื่องเม็ดยาให้กับบริษัทเตาเฟิง เมื่ออู๋บีมีปัญหายากลำบากก็สามารถไปปรึกษากับน้าชูชูได้
ด้วยความช่วยเหลือจากน้าชูชู เย่เฟิงสามารถสรรหาสมุนไพรที่มีประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ใช้เงินราวกับน้ำไหล
สมุนไพรมากมายที่ได้ซื้อมา เย่เฟิงมีเวลาว่างเมื่อไหร่ถึงจะผสมทำเป็นเม็ดยา เม็ดยาที่สำคัญที่สุดมีอยู่อย่าง อย่างแรกคือเม็ดยาฟื้นเจิ้นชี่ และอย่างที่สองคือเม็ดยาโลหิตที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ
วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีประโยชน์เสมอไป เนื่องจากมันจำเป็นต้องลบร่องรอย ยามเมื่อใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์มันจะมีสีทองสว่างชัดมากเกินไปและหากใช้วิชาล่องหนมันไม่สามารถใช้วิชาเซียนอะไรได้อีก ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้เปิดเผยตำแหน่งได้
เพื่อความปลอดภัย เย่เฟิงจึงต้องลำบากปรุงเม็ดยาโลหิตเอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะใช้ในยามฉุกเฉิน เม็ดยาโลหิตมันใช้เงินไปหลายล้านถึงจะปรุงออกมาได้และเช่นเดียวกับเม็ดยาฟื้นเจิ้นชี่ ผลของการรักษาเช่นนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์นัก
ส่วนวิชาเซียนสกัดแร่จำเป็นต้องมีวรยุทธ 20 ปีถึงสามารถใช้ได้ ส่วนการจะปรุงยาอมตะมันจะต้องมีวรยุทธถึง 30 ปี แบ่งแยก ทั้งสองวิชามีชื่อเรียกว่า วิชาสกัดแร่ดาราและวิชาโอสถดารา ถ้าหากมีวรยุทธ 30 ปี เย่เฟิงก็สามารถพกพามันได้ง่ายกว่าเม็ดยาโลหิตเหล่านี้ แถมยังลดค่าใช้จ่ายและผลของเม็ดยายังมากขึ้นด้วย แต่น่าเสียดายตอนนี้มันได้แต่ทำแบบหยาบๆเท่านั้น
การจะปรุงเม็ดยาโลหิตได้มันใช้จ่ายถึง 5 ล้าน ยามเมื่อเย่เฟิงมีวรยุทธ 30 ปีเมื่อไหร่ ใช้แค่ 1 ล้านก็เพียงพอ ความต่างของมันมีมากยิ่ง
แต่ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่เย่เฟิงค่อยๆศึกษาแล้ว เขามีความรุดหน้ากับวิชากระบี่ผ่ามิติ กระบี่หยางลี้ลับและกระบี่พร่ำเพ้อทั้งสามแบบอย่างมาก
วิชากระบี่พร่ำเพ้อแน่นอนว่าเป็นหลงหวางเอ๋อสอนเขา เท่ากับตอนนี้เย่เฟิงมีวิชากระบี่สองรูปแบบ เขาสามารถใช้กระบี่หยางลี้ลับและกระบี่พร่ำเพ้อได้ ยามเมื่อความเย็นและร้อนผสมกัน มันไม่รู้เลยว่าพลังจะรุนแรงแค่ไหน?
ขณะที่ฝึกฝนวิชากระบี่ผ่ามิติอย่างไม่หยุด มันทำให้เย่เฟิงมีไหวพริบเฉียบแหลมมากยิ่งขึ้น
ตอนแรกที่เขาใช้กระบี่ผ่ามิติ มันสามารถปล่อยปราณกระบี่ได้เก้าอัน แต่วรยุทธของเขาเพิ่มขึ้นในตอนนี้และยังมีความรุดหน้ากับวิชากระบี่ ทำให้เขาใช้ออกได้ถึงสิบและไม่นานคงใช้ออกได้ถึงสิบเอ็ด
ยิ่งมีปราณกระบี่มากเท่าไหร่แน่นอนว่าพลังทำลายมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ถ้ามีปราณกระบี่ถึง 18 อัน มันพูดได้เลยว่าสามารถสังหารฉีหลินจื่อได้ถึงสองครั้งสองครา ไม่ใช่แค่เพียงบนโลกนี้เท่านั้น หากกลับไปยังโลกเทวะ สำหรับวรยุทธระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าเขาสามารถสังหารได้ในกระบวนท่าเดียว
เวลาเร่งใกล้เข้ามา มีเวลาหยุดพักผ่อนเพียงสองเดือนหลังจากสอบเข้าของนักศึกษา เย่เฟิงจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามมากกว่าเดิมหลายเท่า
หลังจากสองเดือน เย่เฟิงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงราวกับเกิดใหม่อย่างแน่นอน!
……………………………..
แปลโดย คั่นหนังสือ