ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบทที่ 351 นี่มันเป็นภูติผีปีศาจอะไรกันแน่?
ในเวลานี้เย่เฟิงและซูเฟยหยิ่งได้ขุดเจาะเส้นทางจนผ่านช่วงกำแพงเพลิงเข้ามาแล้ว ก่อนที่จะขุดเจาะกลับไปยังเส้นทางปกติของโบราณสถาน
กระแสความร้อนระเบิดขึ้นมา เจ้าสำนักหั่วอวิ๋นเยาซ่อนตัวอยู่มาเป็นเวลานาน กลิ่นอายเปลวเพลิงในที่นี้มันไม่สามารถหลบออกไปได้ เย่เฟิงและซูเฟยหยิ่งที่อยู่ห่างออกไปยังสัมผัสได้
“พวกเขาไล่ตามมาแล้ว”
ซูเฟยหยิ่งได้ยินถึงเสียงฝีเท้ามากมายที่ติดตามมาห่างออกไปร้อยเมตร ตระหนักได้ทันทีว่าเหล่าจอมยุทธได้ติดตามมาแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราซ่อนตัวกันก่อน”
เย่เฟิงกรอกตาเจ้าเล่ห์ ขบคิดถึงแผนการ ดึงเอาซูเฟยหยิ่งเข้าไปหลบอยู่มุมหนึ่งของโถงทางเดิน ก่อนที่เขาจะใช้วิชาพรางกายและวิชาล่องหนอย่างรวดเร็ว ปกคลุมตัวเขาเองและซูเฟยหยิ่ง
ผู้อาวุโสทั้งสี่ของวังไท่จี๋ไม่น่าจะเหลือบมองมาทางพวกเขา คงผ่านไปโดยที่สัมผัสไม่ได้ถึงพวกเขาได้
ซูเฟยหยิ่งตระหนักได้ถึงแผนการของเย่เฟิงในทันที แผนการนี้เขาต้องการให้คนของวังไท่จี๋เป็นคนนำหน้า! ถ้าหากเจ้าสำนักหั่วอวิ๋นเยาและผู้อาวุโสทั้งสี่ของวังไท่จี๋สู้กัน เย่เฟิงและนางเองเป็นมือที่สามจะสามารถเก็บผลประโยชน์ได้ในท้ายสุด
นางเกรงกลัวว่าวรยุทธเย่เฟิงจะน้อยเกินไป ความสามารถวิชาล่องหนอาจจะไม่เพียงพอ ก่อนที่จะเขยิบเข้าไปใกล้เย่เฟิง สะบัดมือขาวของนาง ใช้ออกวิชาเซียนล่องหนที่มีวรยุทธถึงหนึ่งร้อยปี ปกคลุมตัวนางและเย่เฟิงด้วยกัน
สถานการณ์ในตอนนี้แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งสี่ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะสัมผัสได้ถึงพวกเขาเลย
เป็นที่มั่นใจแล้วว่าเหล่าผู้อาวุโสทั้งสี่ที่นำพาศิษย์วังไท่จี๋สิบคน ผ่านเข้ามายังเส้นทางที่เย่เฟิงขุดเอาไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาจากเส้นทางนั้นแล้วก็หันไปมองยังกำแพงเพลิง มีสีหน้าค่อนข้างหมองคล้ำ
เนื่องจากพวกเขาขบคิดไม่ออกเลยว่า เย่เฟิงและซูเฟยหยิ่งมีวิธีการอันน่ากลัวอันใดกันแน่ ถึงสามารถขุดเจาะกำแพงโบราณสถานแห่งนี้ได้!
ตอนที่พวกเขาไล่ตามเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่นานก็ค้นพบว่ามันเป็นเพียงร่างปลอม พลันตระหนักได้ว่าผิดท่าแล้ว ก่อนที่จะหันหลังกลับเข้ามายังเส้นทางนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่สามารถหยุดเย่เฟิงและซูเฟยหยิ่งได้
“ไม่เป็นไรหรอก ผู้อาวุโสจู๋ คุณกลับไปเรียกกำลังเสริมก่อน พวกเราจะถือโอกาสนี้สำรวจลึกเข้าไปภายในโบราณสถานก่อน”
หญิงชราผู้นี้คือผู้อาวุโสเม่ย บนใบหน้ามีผ้าคลุมหน้าอยู่ เอ่ยปากพูดกับผู้อาวุโสจู๋
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลายคนต่างเห็นด้วย ทำให้ผู้อาวุโสจู๋ต้องกลับไป เพื่อที่จะหากำลังเสริมศิษย์วังไท่จี๋ด้านนอก ส่วนพวกเขาจะเข้าไปสำรวจส่วนลึกของโบราณสถานก่อน เพื่อตรวจดูสถานการณ์
เรื่องนี้มันทำให้ผู้อาวุโสจู๋ค่อนข้างอึดอัด
มารดามันเถอะ! ถ้ามันมีของดีอยู่ในส่วนลึกของโบราณสถานแห่งนี้ มันไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสอีกสามคนจะได้มันไปหรือ? แต่ทั้งสามกับลงความเห็นบอกให้เขากลับไป เขาได้แต่ทำตามเสียงส่วนมาก แน่นอนว่าภายในใจเขากลับรู้สึกไม่พอใจ
ผู้อาวุโสจู๋หันกลับไปทันที
ส่วนทางด้านนี้มันดูผิดปกติเล็กน้อย และสถานการณ์ตระกูลถังกับหมัดเทพทวาราก็ดูเหมือนไม่ถูกต้องเช่นกัน จำเป็นต้องติดต่อไปยังฐานบัญชาการของวังไท่จี๋ ให้พวกเขาส่งกำลังคนมาเพิ่มขึ้น
ขณะที่ลึกเข้าไปภายในโบราณสถาน ตราบเท่าที่ผู้อาวุโส เม่ย หลัน จวี๋ทั้งสามไม่รีบเร่งและโลภมาก มันควรจะไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามยังมีวรยุทธรวมกันเกือบสามร้อยปี ใครก็ตามในโลกใบนี้คงไม่สามารถเอาชนะทั้งสามได้อย่างสบายนัก
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่จะเผชิญหน้ามันจะไม่ใช่สิ่งของบนโลกใบนี้?
ภายใต้วิชาเซียนล่องหนของซูเฟยหยิ่ง พวกเขาซ่อนตัวจากคนของวังไท่จี๋ได้สำเร็จ หลังจากที่ผู้อาวุโสจู๋จากไปแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสามก็เปิดเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์มากแผนการ ย่างก้าวลึกเข้าไปภายในโบราณสถาน
ในหมู่สี่ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสจู๋มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประมุขวังไท่จี๋ในปัจจุบันนี้ ในการคัดเลือกประมุขคนใหม่ที่จะมาถึงเร็วๆนี้ ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามค่อนข้างไม่พอใจนัก ในเวลานี้พวกเขาไม่ต้องการให้ผู้อาวุโสจู๋ได้รับผลประโยชน์มาก
มองดูกลุ่มคนมุ่งหน้าเข้าไป เย่เฟิงและซูเฟยหยิ่งก็แอบติดตามพวกเขาอยู่เบื้องหลังปราศจากเสียง เดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
เย่เฟิงได้กลิ่นหอมจากร่างบอบบางของซูเฟยหยิ่งที่อยู่ด้านข้าง พลันขบคิดเรื่องบางอย่าง ซูเฟยหยิ่งมักเป็นคนกล้าหาญปราศจากความกลัว แต่เป็นคนที่รอบคอบอย่างมาก และเมื่อจะต้องจัดการกับเจ้าสำนักหั่วอวิ๋นเยา นางจำเป็นระวังอย่างยิ่ง
ซูเฟยหยิ่งเอียงหัว ไม่รู้ว่าเย่เฟิงมองตนทำไม แต่บนร่างอันงดงามเปิดเผยถึงความสุข
ภายในโลกเทวะ เนื่องจากทรัพยากรมีน้อยนิด พรสวรรค์ของเย่เฟิงจึงไม่โดดเด่นออกมา แต่หลังจากที่มายังโลกใบนี้ เย่เฟิงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ตราบเท่าที่ให้เวลากับเขา เขาคงสามารถที่จะรับมือโมจิ่วเก่อได้เลย แน่นอนว่าบนโลกใบนี้เต็มไปด้วยสมบัติสวรรค์ และไม่มีทางตกไปอยู่ในมือภูเขาแดนใต้ของตระกูลโม่
แน่นอนว่าจะให้เย่เฟิงรับมือทั้งภูเขาแดนใต้ของตระกูลโม่คงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเย่เฟิงมีวรยุทธหนึ่งร้อยปี มันก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา เว้นเสียแต่ว่า…
ซูเฟยหยิ่งใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณตรวจสอบไปยังผู้ฝึกวิญญาณทั้งสองที่อยู่เบื้องหลัง
มันเห็นได้ชัดเจนว่าเย่เฟิงมีความสนใจในการจัดตั้งกองกำลังของเขาเองบนโลกใบนี้ ยามเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ควบคู่กับร่างชีพจรหยกของหลงหวางเอ๋อที่อยู่ข้างกายเขา บางทีมันอาจจะรับมือกับภูเขาแดนใต้ของตระกูลโม่ได้
อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่ซูเฟยหยิ่งจะหวังพึงแต่เย่เฟิง
นางมักจะเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอยู่เสมอ แม้ว่าเย่เฟิงจะสามารถรับมือภูเขาแดนใต้ตระกูลโม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ตัวนางเองก็จะต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นแล้ว การที่ศิษย์จะเหนือล้ำกว่าอาจารย์ไปได้ ดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่ซูเฟยหยิ่งยากที่จะยอมรับ
เหล่าศิษย์วังไท่จี๋เดินนำอยู่ด้านหน้า ส่วนเย่เฟิงและซูเฟยหยิ่งติดตามอยู่เบื้องหลัง สามารถสัมผัสได้ว่าความร้อนในอากาศยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งบางมุมมันถึงขั้นปรากฏเปลวเพลิงขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ามันยิ่งเข้าใกล้ตำแหน่งที่เจ้าสำนักหั่วอวิ๋นเยาอยู่เรื่อยๆ
แม้ว่าบรรยากาศจะตึงเครียด แต่ผู้อาวุโสทั้งสามต่างไม่คิดว่ามาผิดทาง ตราบเท่าที่พวกเขาเดินไปตามเส้นทางที่มีความร้อนขึ้นมา
สมบัติวิเศษอะไรกันถึงสามารถสร้างความร้อนได้ขนาดนี้?
เฉินเจี้ยนสงถูกชิงเอากระจกหยางบริสุทธิ์ไป พวกเขากลับพบสมบัติวิเศษเกี่ยวกับอัคคี ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นต่อ เมื่อถึงเวลาเลือกประมุขคนใหม่ เฉินเจี้ยนสงจะต้องไม่มีโอกาสอีกแน่!
ผู้อาวุโสเม่ย หลัน จวี๋ทั้งสามต่างคิดการณ์ไกล ภายในใจรู้สึกรุ่มร้อน ฝีเท้ายิ่งก้าวเร่งขึ้นไปอีก
ไม่นานทุกคนก็มาถึงทางเข้าใจกลางของโบราณสถาน!
“หยุดก่อน มันอยู่ที่นี่ ”
จู่ๆซูเฟยหยิ่งก็รั้งเย่เฟิงเอาไว้ ให้เขาหลบอยู่มุมกำแพงหนึ่ง ก่อนที่จะหยุดฝีเท้าซ่อนตัวด้วยกัน “เจ้าสำนักหั่วอวิ๋นเยาอยู่ข้างหน้านี้เอง”
เมื่อเสียงใสๆของนางเอ่ยจบ เบื้องหน้าพลันเกิดเสียงร้องตื่นตกใจ ซึ่งก็คือผู้อาวุโสเม่ย หลัน จวี๋ทั้งสามรวมถึงศิษย์ทั้งสิบคนเช่นกัน
แรกเริ่มพวกเขารู้สึกยินดีและเร่งฝีเท้า แต่เมื่อมาถึงที่นี้ แท้จริงกลับพบเห็นภูติผี ได้แต่หวังว่าจะหันหลังกลับออกไปจากโบราณสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด ผลประโยชน์อะไรต่างลืมเลือนไปทั้งสิ้น
ภายในมุมห่างไปไม่ไกลที่ซูเฟยหยิ่งและเย่เฟิงอยู่ มันเป็นเวทีขนาดใหญ่อยู่ที่ใจกลางตำหนัก และมีอสูรร้ายนอนหลับอยู่ในตำหนักนั้น แท้จริงมันคือเจ้าสำนักหั่วอวิ๋นเยา
ซึ่งรูปร่างสูงขนาดเกือบสี่เมตร หัวกระทิงและทั้งร่างของเขาต่างปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง แม้กระทั่งนัยน์ตาก็ยังดูเฉยชา แต่กลิ่นอายพลังอำนาจที่ประเมินไม่ได้นี่กลับทำให้ศิษย์วังไท่จี๋ตื่นตระหนกจนแทบจะเสียสติเลยทีเดียว
นี่มันเป็นภูติผีปีศาจอะไรกันแน่?!
……………………………..
แปลโดย คั่นหนังสือ