ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
GDK ตอนที่ 35 เตรียมตัวต่อสู้
หานซั่วฉายเดี่ยวในเวลากลางคืน โดยใช้ประโยชน์จากประสาทสัมผัสที่เฉียบคมล่าสัตว์วิเศษในบริเวณใกล้เคียง การเข้าคู่กันระหว่างมนุษย์และโครงกระดูกนั้นลื่นไหลอย่างไร้ที่ติ จนพวกเขาสะสมผลึกมนตราระดับ 5 ได้ถึง 4 ชิ้น รวมทั้งหนังและเขามีค่าอีกจำนวนหนึ่ง
หานซั่วไม่เพียงแต่พยายามร่ายเวทย์ทุกครั้งที่ล่าพวกสัตว์วิเศษ แต่เขายังฝึกเวทย์ศรกระดูกซ้ำแล้วซ้ำอีกไปด้วยในตัว โดยใช้การผสมผสานระหว่างการยิงเวทมนตร์ออกไปพร้อม ๆ กันกับการพุ่งเข้าไปโจมตีในระยะประชิด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น
เขาไม่เคยแสดงความตระหนกตกใจหรือความสับสนแบบที่พวกนักเรียนเคยเป็นเมื่อเจอสัตว์วิเศษครั้งแรก หานซั่วมีเพียงความสงบนิ่ง จนแทบไร้ความรู้สึก
แม้แต่หานซั่วเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงไร้อารมณ์ความรู้สึกด้านลบขณะต่อสู้อย่างสิ้นเชิง เขารู้เพียงแค่ว่า ในใจลึก ๆ ของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและความกระตือรือร้นขณะล่าสัตว์วิเศษ และราวกับว่าเขากำลังสนุกกับมัน
“เรานี่ต้องไม่ใช่คนดีแน่ ๆ เลยแฮะ!”
หานซั่วหัวเราะกับตัวเอง และรับผลตอบแทนได้จากการออกล่าครั้งนี้ ทั้งผลึกมนตราและหนังของหมาป่าคมวายุจากมือของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก เขาลูบหัวสีดำเป็นประกายของมันพร้อมกับยิ้ม
“ไปกันเถอะ พวกเรากลับกันได้แล้วล่ะ”
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กกำกริชกระดูกไว้แน่น โพรงลูกตาว่างเปล่าไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง มันวิ่งตามหลังหานซั่วกลับไปตามทางเดิมด้วยความรวดเร็ว
เมื่อไปได้ถึงครึ่งทาง หานซั่วร่ายเวทย์ส่งเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กกลับไปยังมิติอื่น เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงจุดตั้งเต็นท์แล้ว หานซั่วก็ชะลอฝีเท้าลง และค่อย ๆ เดินไปตามเงามืดของต้นไม้
เป็นเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนมาแล้ว คนที่ยืนยามในจุดตั้งเต็นท์ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นแฟนนี่ ลิซ่า และเอมี่ หนังตาของลิซ่าและเอมี่ปิดลงมาแล้วครึ่งหนึ่ง และดูง่วงนอนอย่างที่สุด มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าพวกเธอไม่ใด้ตั้งใจทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนี้เลย
โชคยังดีที่แฟนนี่รู้ดีว่าการเฝ้ายามสำคัญเพียงใด ดวงตาคู่งามของเธอกวาดมองไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างตื่นตัว สายตาระแวดระวังของเธอจับจ้องมายังทิศทางที่หานซั่วอยู่เมื่อฝีเท้าแผ่วเบาของเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
คทาเวทมนตร์เตรียมพร้อมอยู่ในมือ แฟนนี่ขมวดคิ้ว รูปร่างอันน่าเย้ายวนใจของเธอมีท่าทีตื่นตัวสุดขีด เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปยังทิศที่หานซั่วอยู่อย่างช้า ๆ และพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
“นั่นใครน่ะ?”
“อาจารย์แฟนนี่ ข้าเองครับ!”
หานซั่วตอบกลับไปเบา ๆ ในขณะที่ค่อย ๆ เดินออกมาจากเงามืด
“นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าไปหาเจ้าที่เต็นท์มาแต่ก็ไม่เจอ เจ้าออกไปไหนมากลางดึกแบบนี้น่ะ?”
สายตาของแฟนนี่จับจ้องไปทั่วตัวหานซั่วพร้อมกับถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ข้าแค่ออกไปหาที่เงียบ ๆ เพื่อฝึกซ้อมเวทมนตร์น่ะ ตั้งแต่ที่ข้าถามท่านเรื่องเวทย์ศรกระดูกคราวนั้น ข้าก็ฉวยโอกาสช่วงเวลากลางคืนแบบนี้หาที่ลับ ๆ ฝึกอยู่ตลอด ข้าคิดว่าถ้าฝึกบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จะได้มั่นใจว่าทำไม่พลาดอีกน่ะครับ”
หานซั่วเกาหัวและตอบไปเบา ๆ ด้วยความจริงใจ
“ไบรอัน ดีจังเลยนะที่เห็นเจ้าทุ่มเทฝึกขนาดนี้ ต่อไปอีกสักพัก เมื่อเจ้าควบคุมพลังเวทมนต์ได้มากกว่านี้ ข้าจะลองอธิบายเรื่องนี้กับฝ่ายบริหารโรงเรียนเอง แบบนั้นแล้ว ก็จะปลดเปลื้องสถานะทาสรับใช้ของเจ้าได้ และบางทีเจ้าก็จะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับพวกนักเรียนก็ได้นะ”
แฟนนี่มองหานซั่วและคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“โอ้ ข้าถูกขายให้กับวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลน สถานะทาสรับใช้ของข้าจะหมดไปอย่างถาวร เพียงเพราะข้ามีเวทมนตร์ จริง ๆ เหรอครับ?”
แฟนนี่พยักหน้า และพูดอย่างเด็ดขาด
“ไม่มีนักเวทย์คนไหนเคยเป็นคนรับใช้ หรือทาสรับใช้มาก่อนก็จริง แต่การเป็นนักเวทย์ถือว่าเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับนับถือในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำแห่งนี้จ้ะ ถึงสาขาศาสตร์แห่งความตายของเราจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ แต่ตราบใดที่เจ้าสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเจ้าใช้เวทมนตร์ได้ สถานะของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป และไม่ต้องเป็นทาสที่คอยรับใช้ใครอีกต่อไป”
“เข้าใจแล้วครับ เยี่ยมที่สุดเลย ข้ามีคำถามอีกมากเลยที่หวังว่าอาจารย์แฟนนี่จะช่วยตอบข้าได้ ข้าจะพยายามพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ และกลายเป็นนักเวทย์ที่เหมาะสมให้ได้ครับ”
ความคิดของหานซั่วโลดแล่นอย่างรวดเร็ว คำถามมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ในตำราที่เขาเคยอ่านผุดขึ้นมาในหัว และต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้หาคำตอบเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด
“ไม่มีปัญหาจ้ะ ต่อไปเจ้าจะถามข้าเกี่ยวกับเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายยังไงก็ได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง แต่… ถึงตอนนี้เจ้าจะลามกไปหน่อยก็เถอะ ข้าก็มั่นใจว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์และจะช่วยเจ้าออกจากตำแหน่งปัจจุบันนี่ให้ได้เอง”
แฟนนี่ยิ้มเล็กน้อยและตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หานซั่วยิ้มอย่างจริงใจ ราวกับไม่ได้ยินแฟนนี่บ่นเรื่องที่เขาทำตัวหื่นเกินไป หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็เริ่มถามแฟนนี่เกี่ยวกับความรู้เรื่องเวทมนตร์
เวลาผ่านไปไม่นาน แฟนนี่เริ่มประหลาดใจและจ้องมองหานซั่วด้วยความตกตะลึงสุดขีด
“โอ ตายจริง ไบรอัน เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย มหัศจรรย์จริง ๆ!”
“ข้าก็ได้มาจากการอ่านตำราเวทมนตร์ในห้องสมุดตอนที่ข้าไปช่วยแจ็คทำความสะอาดห้องสมุดน่ะครับ ตั้งแต่รู้ตัวว่าข้าเสกเวทย์ศรกระดูกได้ ข้าก็พยายามหาเหตุผลว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร”
หานซั่วโกหกอย่างแนบเนียน พร้อมพูดด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย
“ไบรอัน ข้าเข้าใจไม่ผิดเกี่ยวกับตัวเจ้าเลย เจ้าเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์จริง ๆ!”
แฟนนี่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจอีกครั้งเมื่อได้ยินหานซั่วอธิบาย
ในตอนนั้นเอง หานซั่วได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง สีหน้าของเขาเอาจริงเอาจังขึ้นมาทันทีและพูดอย่างรวดเร็ว
“มีเสียงหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา แต่ฟังดูไม่เหมือนเสียงของสัตว์วิเศษ น่าจะเป็นมนุษย์มากกว่า”
ใบหน้าสวยงามของแฟนนี่เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินที่หานซั่วพูด เธอดึงแขนของเขาไว้ด้วยความตื่นตกใจ และวิ่งกลับมาที่เต็นท์
“ในป่าทมิฬมีเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่มากมาย แต่ไม่ได้แปลว่าทุกเผ่าจะเป็นมิตร และบางที มนุษย์เราบางคนก็ฆ่าคนเพื่อชิงผลึกมนตราระดับสูง เราเตรียมตัวให้พร้อมก่อนดีกว่า”
นิ้วเรียวยาวของแฟนนี่กำรอบข้อมือของหานซั่วไว้แน่นเพราะความเร่งรีบ ในขณะที่เธอไม่ได้คิดอะไร แต่ในหัวของหานซั่วเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายไปแล้วเรียบร้อย เขากำลังเคลิ้มเมื่อสัมผัสได้ถึงนิ้วมือนิ่ม ๆ และมือนวลเนียนราวกับหยกที่ข้อมือ และอยู่ดี ๆ ก็หวนนึกถึงช่วงเวลาแสนเย้ายวนใจบนหลังม้าเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา
“ทุกคนตื่นเร็ว! ลิซ่า เอมี่ ไปปลุกทุกคนให้เตรียมพร้อมต่อสู้! อันตรายกำลังใกล้เข้ามา!”
เสียงของแฟนนี่แทบเขย่าลิซ่าและเอมี่ให้สะดุ้งตื่น ทั้งคู่สัมผัสได้ถึงอันตรายจากน้ำเสียงตื่นกลัวของแฟนนี่ พวกเขารีบส่งเสียงดังเพื่อปลุกทุกคนที่หลับอยู่ในเต็นท์
ชั่วพริบตาเดียว นักเรียนที่งีบหลับอยู่ต่างรีบพุ่งออกมาจากเต็นท์ในสภาพเสื้อผ้ายับเยินและท่าทางกึ่งหลับกึ่งตื่น และเตรียมตัวต่อสู้อย่างเร่งรีบ
แฟนนี่เหลือบไปเห็นหานซั่วอย่างไม่ตั้งใจ และเห็นว่าเขากำลังยิ้มอย่างมีความสุขขณะมองไปยังมือที่กำรอบข้อมือเขาไว้ พร้อมสีหน้าปลาบปลื้มเป็นที่สุด ทันใดนั้นเอง มือนวลเนียนราวกับหยกของแฟนนี่ก็หยิกหานซั่วอย่างแรงก่อนจะปล่อยมือเขาไป เธอพูดอย่างโกรธเคืองและพูดเบา ๆ ว่า
“บ้าจริง ไบรอัน เจ้านี่บ้ากามเหมือนฟิทช์ไม่มีผิด”
หานซั่วร้องด้วยความเจ็บปวดจนรอยยิ้มบนหน้าบิดเบี้ยวไปอย่างประหลาด พลางคิดในใจ แฟนนี่จะคิดยังไงกันนะถ้ารู้ว่าข้าเองที่เป็นคนจับก้นเธอคราวนั้น
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ จำนวนหนึ่งค่อย ๆ ใกล้เข้ามาจนนักเรียนทุกคนที่กำลังเตรียมตัวอยู่ได้ยินชัดเจน หลังถูกแฟนนี่หยิก หานซั่วก็เริ่มสงบนิ่งอีกครั้ง ประกายตาฉ่ำเยิ้มเต็มไปด้วยตัณหาเมื่อครู่จางหายไป แทนที่ด้วยแววตาสุขุมเยือกเย็นที่กำลังเฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยอาการสงบ
เสียงฝีเท้าหนักมาพร้อมกับเสียงลมหายใจแปลกประหลาด กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จีนขมวดคิ้วและพูดออกมาด้วยความงุนงง
“ฝีเท้าหนักขนาดนี้น่าจะไม่ใช่ของมนุษย์ สัตว์วิเศษสองเท้าก็หายากเกินกว่าที่จะพบได้ง่าย ๆ พวกมันเป็นตัวอะไรกันแน่นะ?”
แฟนนี่นิ่วหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามของเธอเป็นประกายทันทีเมื่อเธอนึกออก และร้องออกมา
“ทุกคน รีบอัญเชิญนักรบโครงกระดูกออกมาตรงหน้า ดูเหมือนเราจะเจอเข้ากับอสูรกินคนแห่งป่าทมิฬเข้าให้แล้ว”
ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำว่า “อสูรกินคน” ที่ออกมาจากปากของแฟนนี่ นักเรียนหญิงหลายคนตัวสั่นเทา ในขณะที่ความกลัวปรากฏขึ้นบนสีหน้า แม้แต่จีนเองก็สะดุ้งและรีบสั่งให้ทุกคนรีบล้อมเป็นวงกลมเพื่อตั้งรับการต่อสู้ เขาหยิบคทาเวทมนตร์สีน้ำตาลรูปร่างคล้ายกิ่งไม้ออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตัวและระมัดระวัง
เสียงร่ายเวทย์ของทุกคนดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งนักรบโครงกระดูก ผีกูล และนักรบผีดิบหลายตัวปรากฏขึ้นมา รวมทั้ง นักรบแห่งความเกลียดชัง ของแฟนนี่และจีน
นักรบแห่งความเกลียดชัง เป็นอสูรมิติมืดระดับสูง พวกมันมีขนาดใหญ่โต ถือกระบองเหล็กเป็นอาวุธ และมีพละกำลังอันน่าเหลือเชื่อด้วยมวลไขมันในร่าง ร่างกายอ้วนเผละของมันยังมีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแรงถึกทนอย่างที่สุด เหล่าผู้ใช้ความตายจึงมักอัญเชิญพวกมันมาเป็นโล่ป้องกัน
และก็เป็นจริงตามนั้น สิ่งที่ตามมาพร้อมเสียงฝีเท้าหนักอึ้ง คือ อสูรกินคนร่างสีเทาจำนวน 8 ตัว พวกมันสูงกว่าสองเมตรครึ่ง ถือกระบองใหญ่และหอกยาว ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า
อสูรกินคนออกหากินเป็นฝูง มักอยู่รวมกันเป็นเผ่าประมาณ 10 ตัว พวกมันมีนิสัยขี้เกียจและชอบลักขโมย เรียกได้ว่าเป็นโจรโดยกำเนิด พวกมันฉลาดพอที่จะใช้กระบองและหอกยาวเป็นอาวุธ และความถึกหนาของร่างกายก็ยิ่งทำให้พวกมันมีพลังโจมตีที่รุนแรงในการต่อสู้ระยะประชิด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขย่าขวัญผู้คนมากที่สุดไม่ใช่พละกำลังของอสูรกินคน แต่ทว่าเป็นนิสัยเฉพาะของพวกมันต่างหาก เพราะชื่อของพวกมันถูกตั้งขึ้นเพราะพวกมันกินมนุษย์เป็นอาหาร ถ้าเจอมนุษย์ในขณะที่กำลังทำการปล้น ไม่เพียงแต่พวกมันจะขโมยทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่จะลากมนุษย์กลับไปเป็นอาหารด้วย
หานซั่วและคนอื่น ๆ ยืนเรียงกันเป็นแนวตั้งรับ โดยมีนักรบโครงกระดูก ผีกูล นักรบผีดิบ และนักรบแห่งความเกลียดชังอยู่ในแนวตั้งรับด้านนอก ผู้ใช้ความตายหลายคนเตรียมพร้อมยิงเวทย์ป้องกันออกไปขณะที่เฝ้ามองอสูรกินคนที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างไม่ละสายตา
“เตรียมตัวต่อสู้!”
แฟนนี่ร้องออกมา พร้อมกับคทาเวทมนตร์ที่ชูสูงขึ้น
…………………………………
ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>>
(0 votes) 0/10