I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Legend of the Great Saint ตอนที่ เด็กหนุ่มผู้ เถลไถล

| Legend of the Great Saint | 765 | 2357 วันที่แล้ว
ตอนต่อไป

ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิด

 

ภายใต้เนินเขาเล็กๆที่มีรูปร่างเหมือนวัวหมอบ  คือหมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่ง

 

“หลี่เอ๋อร์ รีบตื่นและรีบไปทำงานได้แล้ว!” เสียงบ่นที่ทำลายความเงียบสงบนี้มาจากหญิงชาวนาวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะถูกสาปให้มีเอวเหมือนถังน้ำ

 

บนกองหญ้าแห้ง มีชายหนุ่มคนนึงรูปร่างผอมที่พึ่งตื่นจากความฝันของเขา

“ฉันอยู่ที่ไหน”

 

เขามีความฝันแบบนั้นอีกแล้ว ในความฝัน เขาอาศัยอยู่ในเมืองที่มีอาคารที่สูงเสียดฟ้า ทุกๆวันเขาเล่นของเล่นที่เหมือนของวิเศษที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์และบนถนนก็มีสัตว์ประหลาดที่แปลกๆที่ทำจากเหล็กผลักกันและกระแทกกับคนอื่น

 

และวันหนึ่งเขาได้ใช้สัตว์ประหลาดแปลกๆตัวนึงที่ถูกเรียกว่า”BMW”

 

จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมา โอ้ใช่เขาข้ามมายังอีกโลกหนึ่ง

 

มันก็ผ่านมามากกว่าสิบปีแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกก่อนหน้าของเขามันดูเหมือนความฝันที่เลือนลาง

 

ยังไงก็ตามตอนนี้เขารู้สึกว่าคันเหมือนยุงกัดในขณะที่เขาสังเกตไปรอบๆเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใหญ่บางทีอาจจะไม่มีคนที่ข้ามโลกคนไหนที่น่าสังเวชเหมือนเขาในจักรวาลทั้งหมด

 

นับเวลาจริงๆดูแล้วมันอาจจะผ่านมาสิบห้าปีแล้ว!

 

พ่อแม่ของเขาในโลกนี้เป็นคนธรรมดาสามัญที่สุดในหมู่บ้าน วัวหมอบและทั้งคู่ก็ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เขายังเป็นเด็กน้อยอยู่ ปล่อยให้เขาถูกเลี้ยงดูโดยพี่ชายของเขา พี่ชายของเขาคือ หลี่เป็นคนโตส่วนเขาเป็นหลี่เอ๋อร์

 

หมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านที่ไม่ค่อยมีความซับซ้อนมากนักและชาวบ้านหลายต่อหลายชีวิตตลอดชีวิตของพวกเขาไม่ได้มีชื่อที่ดีนักขอบคุณความรู้ที่เขามีจากโลกก่อนหน้านี้ เขาได้ตั้งชื่อตามแบบของตัวเอง ชื่อว่า หลี่ ฉิงชาน แปลว่า ภูเขาสีเขียว

 

“ทำไมเมื่อตายต้องฝังที่แผ่นดินเกิด ไม่ว่าจะที่ไหนก็เป็นสถานที่ที่ดีเช่นกัน ลูกผู้ชายไม่ควรจะอยู่แค่ที่แผ่นดินเกิด แต่ควรทำตามความใฝ่ฝันออกเดินทางไปรอบโลก”แม้ว่าเขาจะข้ามไปยังโลกอื่นเขาแค่ต้องการมีชีวิตอยู่ไม่ได้เขาไม่ได้ต้องการมีชีวิตที่ดีกว่าในโลกก่อนหน้านี้ของเขาหรือมันจะเป็นความสูญปล่าวในชีวิตที่สองของเขาที่สวรรค์ได้ให้เขามา

 

 

เขานึกถึงวัยเด็กของเขา อารมณ์ของเขาก็พลันนิ่งลงจากความกลัวและความสับสน แต่ความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของโลกที่เขาข้ามมาก็จุดประกายขึ้นในอกของเขาแต่แล้วเขาก็พึ่งรู้ว่าท้องเขาหิวและเขาไม่มีอาหารที่จะกิน

 

ทั้งพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาเห็นเขาเหมือนเป็นภาระ พวกเขาโยนงานบ้านที่สกปรกที่เหนื่อยยากเหลือเกินให้เขาและพวกเขามักเหลือแต่อาหารที่แย่ๆไว้ให้เขา ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความรักในครอบครัวเลย

 

อายุของเขาน้อยไปและเขาไม่มีที่ที่จะไป สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการพยายามแสดงทัศนคติเหมือนเด็กอัจฉริยะ

 

แต่คนคิดว่าเขาถูกผีสิงและแม่มดของหมู่บ้านได้เทน้ำมนต์กรอกปากของเขาจนเต็มท้องและเขาไม่กล้าที่จะทำหน้าหยาบคายเลยตั้งแต่นั้นมา

 

 

ชาาวบ้านจึงเรียกเขาว่า หลี่เอ๋อร์ ชื่อหลี่ ฉิงชาน เป็นเพียงแค่เรื่องตลก

 

 

พี่สะใภ้ด่าทอเขาสักพักและเมื่อเขาทำเป็นไม่สนใจอะไรเธอโมโหในใจและไปหยิบไม้ไผ่มาแล้วตีไปตีเขาอย่างรุณแรง”เจ้ากระดูขี้เกียจกล้าลองดีเหรอ!!”

 

 

หลี่ ฉิงชาน กำลังคิดถึงชีวิตเก่าของเขาและความคิดของเขาก็ฟุ้งซ่านด้วยความวิตกกังวล จู่ๆเขาลุกขึ้นยืนและคว้าไม้ไผ่แล้วจ้องไปที่พี่สะใภ้ของเขาด้วยความขุ่นเคือง

 

 

ภรรยาใหญ่ของหลี่เห็นเด็กนั้นสูงกว่าเธอครึ่งศีรษะและเธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาบาง ”ทำตัวดีหนิหลี่เอ๋อร์ เราเลี้ยงดูเจ้ายอย่างดีมาตลอดแต่เจ้ายังกล้าที่ท้าทายข้า รอพี่ชายของเจ้าตื่นก่อนเถอะ จะได้โยนเจ้าออกไปและเจ้าจะไม่ได้อะไรกินเลย”เมื่อเธอพูดเสร็จเทอหันหลังและเดินออกไปอย่างเร็ว

หลังจากภรรยาพี่หลี่ ทิ้งหลี่ฉิงชานไว้  หลี่ ฉิงชาน ก็โยนไม้ไผ่แล้วถอนหายใจแรง เขาเดินไปข้างรางใส่อาหารสัตว์และคุยกับวัวแก่สีเขียว”พี่วัว ข้าโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่แล้วข้าไม่อยากทนอย่างนี้อีกต่อไปแล้วข้าไม่อยากเป็นส่วนนึงในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว”

พ่อแม่ของเขาเขาได้แบ่งแยกที่ ออกจากกันแต่บ้านและพื้นที่ฟาร์มถูกเอาไปโดยพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาแล้วทรัพย์สินที่เขามีตอนนี้คือวัวสีเขียวตัวนี้

ต้องขอบคุณวัวตัวนี้เขามักจะได้ทำงานกับเจ้าของที่ดินของเขาและได้ติดตามเจ้าของและได้รับของอาหารเพียงพอที่จะกิน

เขาไม่รู้ว่าเขาจะผอมแค่ไหนถ้าต้องแต่อยู่บ้านได้แต่กินข้าวเปลือกหรือหญ้าป่าเท่านั้นดังนั้นเขาไม่เคยเลี้ยงวัวเหมือนปศุสัตว์ทั่วไปและเขาเรียกมันอย่างสุภาพว่า”พี่วัว”

ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าหลี่สองสามารถอยู่ได้โดยไม่มีพี่ชาย แต่เขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้าไม่มีพี่วัว

วัวสีเขียวมีหนังเงางามอวบอ้วนและแข็งแรงเห็นได้ชัดว่า หลี่ ฉิงชานเสียเวลาและแรงไปมากขนาดไหนในการเลี้ยงดูแต่มันแต่มันก็แสดงให้เห็นสัญญาณของริ้วรอยและเขาข้างหนึ่งของมันถูกหัก เป็นรอยหักที่เรียบเนียนมากเหมือนถูกตัดด้วยดาบ

วัวสีเขียวลืมตาขึ้นและเฝ้าดู หลี่ ฉิงชาน ราวกับว่ามันสามารถเข้าใจอารมณ์ของมนุษย์ได้มันพยุงตัวเองและลุกขึ้นยืน

หลี่ ฉิงชาน ยิ้มกับตัวเองอย่างสบายใจก่อนที่จะเดินสบาย ๆ ไปยัง เนินเขาวัวหมอบ

ดวงดาวสว่างไสวเหนือคำบรรยายมันเป็นความสดใสที่ไม่มีในโลกอื่นเหมือนคาวบอยธรรมดาเป่าขลุ่ยที่มีเสียงแจ่มใสและทำนองเสียงเพลงที่ชัดเจน

เสียงเป่าขลุ่ยภายในหมอกก้องกังวานหมู่บ้านที่อยู่ด้านหลังเขาค่อยๆห่างไปทีละน้อยๆ

ต้นไม้ค่อนข้างน้อยที่เนินเขาวัวหมอบและมีหญ้าสีเขียวถูกวางไว้เหมือนที่นอน

หลี่ ฉิงชาน ยืมแสงจากทิศตะวันออกและเขาจ้องมองไปยังทางทิศตะวันตก แนวภูเขาเชื่อมต่อกันยาวไม่ขาดสายและลึกเข้าไปมีภูเขาใหญ่นับแสนมีข่าวลือว่าข้างในนั้นไม่ใช่มีแค่สัตว์ป่าแต่มีแม้วิญญาณและผีที่มักจะหลอกหลอนพวกเขาดังนั้นพวกนายพรานจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปลึกจนเกินไป

หลี่ ฉิงชาน ไม่เคยเห็นแผนที่ที่สมบูรณ์ในหมู่บ้านและเขาก็ไม่รู้เส้นทางในโลกนี้เขารู้แค่ว่ามีภูเขาที่สูงมากมายเหลือเกินและแม่น้ำกว้างใหญ่ไพศาลถึงแม้มันจะมีอันตรายอยู่ทุกที่แต่มันก็ยังคงเป็นใบโลกใหม่ที่รอให้เขาสำรวจ

หลี่ ฉิงชานได้ตัดสินใจแล้วที่จะไปและเขาก็ตบหลังวัวเขียวสองสามครั้ง”พี่วัวเจ้าก็อายุมากแล้วถ้าข้าขายเจ้าไปคนอื่นคงฆ่าเจ้าและเอาเนื้อไปกิน ท้องฟ้านั้นกว้างใหญ่ แผ่นดินก็กว้างใหญ่เช่นกันดังนั้นเราควรออกเดินทาง ถึงแม้จะมีสัตว์ป่าดุร้ายหลายตัวอยู่ในภูเขา เจ้าต้องระวัง “

ในเวลานี้สิ่งที่ฉลาดที่ควรทำคือการขายวัวสีเขียวและรวบรวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางบางส่วนเขาก็จะได้การรับรองใน เมืองอาทิตย์อัสดงหรือไม่เขาจะต้องนอนหิวตายอยู่ข้างถนนแต่เขาจะไม่ทำอย่างนั้น

ชาวนาทุกคนคงจะหัวเราะถ้าพวกเขาได้ยินเรื่องการกระทำเหมือนเด็ก ๆแบบนี้แต่นี่คือความตั้งใจของเขา

“เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ แล้วข้าจะทำยังไง”

“เราอาจจะออกเดินทางไปด้วยกันเป็นพันไมล์ แต่ถึงยังไงเราก็ต้องกล่าวคำบอกลากันอยู่ดี” หลี่ ฉิงชานตอบตามสัญชาตญาณแต่เสียงของเขาก็ลดน้อยลงทีละนิดเขาจ้องมามองที่วัวสีเขียวที่มีตากลมโตและรู้สึกเหมือนว่าขนทั่วตัวเขาลุก เขารีบถอยหลังหลายก้าว

”วิญญาณชั่วร้าย!”

วัวสีเขียวพูดว่า”ไม่ต้องกลัวข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”

อย่างไงก็ตามพวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว หลี่ ฉิงชาน เลยไม่ค่อยกลัว แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับภาพที่เห็นในตอนนี้ได้แต่หลังจากที่เขาได้คิดเกี่ยวกับสิ่งที่ผ่านมา เขาใจเย็นลงแต่ยังดูไม่มั่นใจพร้อมกับขมวดคิ้ว

“เจ้าคือพี่วัวของข้าจริงๆเหรอ”

วัวสีเขียวเห็นเขาใจเย็นลงอย่างรวดเร็วและพยักหัวของมันอย่างยกย่อง”สมควรกับที่มีภูมิปัญญาโดยธรรมชาติ”

“ภูมิปัญญาโดยธรรมชาติอะไร?” หลี่ ฉิงชานเริ่มกังวล เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขามาจากโลกอื่นเขาจำได้ว่าเขามักจะแกล้งทำเป็นชาวบ้านธรรมดา เขายังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะระวังวัวสีเขียวที่อยู่ข้างหน้าเขาและท่าทางของเขาไม่เท่ากับสถานะและอายุของเขา เขาไม่เคยคิดว่าวัวตัวนี้ได้เห็นมันทั้งหมด

“บางครั้งบางคนจะเก็บความทรงจำของชีวิตในอดีตของพวกเขาผ่านเส้นทางทั้งหกกลับมาเกิดใหม่ นี้เรียกได้อย่างแน่นอนว่าภูมิปัญญาโดยธรรมชาติ”

“ข้ารู้แล้ว” หลี่ ชิงชาน ผ่อนคลายเล็กน้อย เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้อยู่ แต่อย่างน้อยเรื่องที้เขาข้ามโลกมายังไม่ได้ถูกเปิดเผย”ข้าเคยคิดว่าโลกนี้จะมีสัตว์ประหลาดและวิญญาณชั่วร้ายจริงๆ ข้าเลี้ยงดูและดูแลเจ้ามาตั้ง 12 ปีแล้วทำไมเจ้าถึงไม่เคยพูด? “

“ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดมาก ข้าไม่ได้ถามเจ้าว่าเจ้ามาจากไหนเจ้าก็ไม่ได้ถามข้าว่าฉันมาจากไหน แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเจ้าเจ้าแค่รู้ว่าข้าจะให้อะไรเจ้าได้บ้างก็พอแล้ว”

“ให้ข้า….ให้อะไร?”

“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพลังอำนาจเหนือธรรมชาติไหม”

วัวสีเขียวไม่ได้รอคำตอบของ หลี่  ฉิงชาน และพูดต่อไปว่า”ที่เรียกว่าพลังเหนือธรรมชาตินั้นเป็นวิธีการของปีศาจและพระเจ้าที่รู้เรื่องทั้งหมดที่อยู่ใต้สวรรค์ เจ้าสามารถขยับภูเขา เติมทะเล คว้าเก็บดวงดาวและถือดวงจันทร์ เจ้าสามารถมีชีวิตได้นานตราบเท่าที่เจ้าต้องการและถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นอมตะเจ้าก็จะได้รับความเป็นอมตะ ได้ชื่อเสียง ความมั่งคั่งร่ำรวยเงินทองและผู้หญิงมากมาย  คิดว่าข้าล้อเล่นรึปล่าว”

“เหนือธรรมชาติ” คำคำนี้เป็นคำที่คนที่มีชีวิตทั้งหมดปรารถนา หลี่ ฉิงชาน เป็นหนึ่งในนั้น จะรู้ได้ไงว่าเขาไม่ได้หลอกลวง

ความรู้สึกลึก ๆ คือความไม่ชอบมาพากลเช่นว่า อยู่ๆคนที่ตาบอดมานานนับสิบปี จู่ๆก็ลืมตามองเห็นได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้ามันดูหน้าสนใจและเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกว่านี้ไม่ใช่เรื่องจริง

หลี่ ฉิงชาน ได้ข่มความตื้นเต้นไว้ในใจ”พี่วัว เจ้าต้องการที่จะสอนฉันเรื่องพลังเหนือธรรมชาติให้ข้า?”

วัวเขียวส่ายหัว”ตอนนี้เจ้าไม่มีคุณสมบัติแล้ว” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่อง”ถ้าเจ้าต้องการบ่มเพาะพลังเหนือธรรมชาติเจ้าต้องกินเนื้อก่อน”

“อะไรนะ?” หลี่ ฉิงชาน สงสัยว่าเขาได้ยินผิดหรือไม่ เขารู้สึกโกรธความไร้สาระเรื่องทักษะเหนือธรรมชาติที่สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาเติมทะเลรวบรวมดาวและดวงจันทร์มันไปเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาๆแบบนั้นได้ยัง

“ขั้นตอนแรกในการบ่มเพาะคือการ ปรับแต่งพลังและการผลิตพลัง ปราณ ปรับแต่งแก่นแท้ หยวน ในร่างกายให้เปลี่ยนเป็นพลังปราณ ด้วยหน้าเหลืองๆของเจ้าและร่างกายผอมแห้งเช่นนี้ เจ้าจะหาพลังหยวนที่ไหนมาปรับแต่ง?”

หลี่ ฉิงชาน ยิ้มอย่างขมขื่น คงไม่มีใครที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เช่าเขา ที่ได้แค่พยายามแบกถังน้ำก็เหนื่อยแล้ว จะไปพูดถึงเรื่องขยับภูเขาและเติมทะเล นั้นมันเรื่องไร้สาระ?

“ข้าขอถามหน่อยว่าจะหาเนื้อสัตว์มาจากไหน?” หลี่ ฉิงชาน จะไม่อยากกินเนื้อเหรอ? เมื่อเทียบกับยาอมตะลวงตาและสมุนไพรจิตวิญญาณรสชาติของเนื้อถูกฝั่งเข้าไปในหัวสมองของเขาทำให้เขาฝันถึงมันในเวลากลางคืนและเขาไม่ลืมที่จะจดจำความทรงจำนั้น

ตั้งแต่เด็กแล้วเขาไม่สามารถแม้แต่จะกินเมล็ดธัญพืชหยาบๆแล้วเขาจะหาเนื้อกินได้จากไหน?  เขาไม่สามารถห้ามใจตัวเองที่จ้องมองร่างกายของพี่วัวที่อ้วนท้วมสมบูรณ์ได้ ในจิตใต้สำนึกเขาค่อยๆเอามีดหั่นเข้าไปในหัวเอาเนื้อสันใน ซี่โครง เนื้อที่โบนและส่วนอื่นๆอีก ดวงตาของเขาส่องประกายแสงสีเขียวด้วยความอิจฉา

‘โป๊ก’

 

วัวสีเขียวตีหัวของเขา ”ไม่ต้องคิดอะไรเกี่ยวกับตัวของข้าเลย” และมันยกกีบเท้าและชี้ไปทางภูเขาที่ยิงใหญ่นับแสนทางทิศตะวันตก”เนื้ออยู่ตรงนั้น”

หลี่ ฉิงชาน ไม่ได้มีความสุขแต่เป็นความกลัวแทน มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเป็นนักล่าในโลกนี้หรือไม่ สัตว์ป่าบนภูเขาไม่ได้เป็นเรื่องแค่เรื่องเล่นๆ นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างตัวเป็นๆของสัตว์ป่า คือวัวสีเขียวยืนอยู่ตรงหน้าเขาตำนานเหล่านั้นที่เกี่ยวกับผีและปีศาจดูเหมือนไม่ใช่คำพูดหลอกเด็ก ถ้าเขาสุ่มสี่สุ่มห้าข้ามเส้นทางใดทางหนึ่ง เขาคงต้องเอาชีวิตที่น่าส่งสารของเขาไปทิ้งแน่ๆ

แต่วัวสีเขียวนั้นบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลและให้กลับบ้านไป จากนั้นก็มีลมหมุนเกิดขึ้นมาใต้กีบเท้ามันและจากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลี่ ฉิงชาน เดินคนเดียวลงไปตามเนินเขา ความตื้นเต้นในใจเข้ายังมีอยู่มันคงยากที่จะหายตื้นเต้น โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์และสวยงาม ถ้าเขาสามารถฝึกฝน เต๋าอมตะได้จริงๆ และเดินทะลุข้ามเขาสีเขียวมันคงไม่เสียชื่อที่เขาตั้งให้กับตัวเอง

หลี่ ฉิงชาน กลับมาที่บ้านของเขา พี่หลี่ของเขาได้ออกไปทุ่งนาแล้ว และมีเพียงพี่สะใภ้ของเขานั่งอยู่ที่ประตูและกินเมล็ดแตงโมเธอกลอกตาเมื่อเธอเห็นเขากลับมา โดยปกติเมื่อผู้ชายไปทำงานที่ทุ่งนาผู้หญิงจะทำงานบ้านหรือสานเสื้อผ้าเพื่อหารายได้เข้ากระเป๋า แต่เธอก็เป็นที่รู้จักในหมู่บ้านว่าเป็นคนขี้เกียจ เธอโยนงานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับ หลี่ ฉิงชานและเครื่องทอผ้าเธอก็ไม่เคยแม้แต่ที่จะแตะมัน

หลี่ ฉิงชาน แกล้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น เขาเดินตรงเข้าไปข้างในและเปิดฝาหม้ออาหาร ไม่ต้องพูดถึงอาหารจานร้อนๆหรือข้าวอุ่น ๆ มันไม่มีแม้แต่อาหารเย็นเหลือ

ภรรยาของพี่หลี่ พูดอย่างแผลงๆว่า”ครอบครัวของเราไม่เลี้ยงคนขี้เกียจ..ทำไมเจ้าไม่รีบพาวัวไปทำงานที่ บ้านพ่อบ้านหลิวหล่ะ?”จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ “แล้ววัวนั้นหล่ะ?”


 

มีคำผิดหรือมีอะไรติชมได้นะครับผม

ติดตามข้าวสารได้ที่เพจ  เลยครับ^^

ตอนต่อไป
comments