I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Legend of the Great Saint ตอนที่ 24 แม่จ๋าาา!!

| Legend of the Great Saint | 636 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

เสือป่วยสีเหลืองรู้ว่าจิตใจของเขาไม่เข้มแข็งพอและเขากล่าวต่อ”ดูเหมือนว่าทักษะดาบและหมัดของเจ้าอิสระและเปิดเผยเจ้าจะต้องเดินอยู่ในเส้นทางแห่งการต่อสู้เพียงผิวเผินเท่านั้น ทักษะวิชาขอบเจ้าดูเหมือนจะสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว ทว่าหากไม่ได้รับการเกื้อกูลจากทักษะชั้นยอดจากชั้นนอกสู่ใจกลางเมื่อถึงเวลาที่เจ้าก้าวเข้าถึงขอบเขตชั้นนอกและบ่มเพาะทักษะทั้งคู่ มันอาจจะยากที่เจ้าจะได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแรก ยิ่งการที่จะกลายเป็นเซียนโดยกำเนิดนั้นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้”

 

 

 

“ผู้เยี่ยมยุทธระดับแรก? เช่นนั้นข้าอยู่ที่ระดับใด แล้วเซียนโดยกำเนิดคืออะไร?”

 

 

 

คำถามต่างๆของหลี่ฉิงชานทำให้เสือป่วยสีเหลืองเชื่อคำพูดของเขาเกี่ยวกับเซียนที่ผ่านมาสอนทักษะให้เขา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรหากเขามีอาจาย์ที่เหมาะสม

 

 

 

“ฉิงชาน ความสามารถของเจ้ามันยังไม่พอที่จะไปถึงระดับสาม”

 

 

 

“นั้นเป็นผลที่ทำให้เจ้าระดับต่ำ”

 

 

 

“เจ้ายังนับว่ามีฝีมือเพราะเจ้าสามารถโค่นพวกคนเก็บโสมได้ เจ้ายังเด็กเจ้าไม่จำเป็นต้องท้อตราบใดที่เจ้าฝึกฝนอย่างถูกต้องเจ้าก็จะกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธระดับสามแล้วเจ้าจะสามารถออกไปวิ่งอาละวาดได้ฉิงชาน แน่นอนว่านี้จะไม่เป็นปัญหากับความสามารถของเจ้า”เสือป่วยสีเหลืองกลัวว่าคำพูดของเขาจะรุนแรงเกินไปและจะไปทำให้เขาหดหู่ดังนั้นเขาจึงปลอบโยนบ้าง แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเป้าหมายตั้งแต่แรกเริ่มที่วัวสีเขียวมอบกับให้หลี่ฉิงชานก็คือการอาละวาดไปให้ทั่วโลกมนุษย์ ราวกับทักษะวิชาที่เรียกว่ากำลังภายในเป็นเรื่องตลก

 

 

เซียนโดยกำเนิดนั้นอาศัยอยู่ในความลึกลับที่ลึกซึ้งกว่ามาก ขั้นแรกพวกเขาจะต้องเปิดเส้นพลังปราณในร่างกายทั้งหมดและทำลายประตูแห่งชีวิตและความตายเปลี่ยนความแข็งแกร่งภายในให้เป็นปราณแท้ พวกเขาสามารถที่จะโคจรมันภายในร่างกายและไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอุปสรรคใด ๆ อีกต่อไป เมื่อปราณแท้มีความแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง พวกเขาสามารถแม้แต่จะปล่อยมันออกมาจากร่างกายเพื่อไปทำร้ายผู้คนได้”

 

 

 

เดียวนะ…ดูเหมือนว่าข้าสามารถโคจรปราณในร่างกายได้แล้ว ข้าแค่ไม่สามารถปลดปล่อยมันออกมาได้ต้องเป็นเพราะมันยังมีปริมาณน้อยเกินไป

 

 

 

หลี่ฉิงชานเข้าใจทันทีว่าตั้งแต่เริ่มต้นเขาไม่เคยยืนอยู่เส้นเริ่มต้นเดียวกันเมื่อเทียบกับคนธรรมดาคนอื่นๆ เส้นทางที่เขาเดินต่อไปนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนวิชาทั่วไปไม่สามารถจินตนาการ

 

 

 

“ท่านหัวหน้านักล่า แน่นอนว่าข้าจะเป็นเซียนโดยกำเนิด”

 

 

 

เสือป่วยสีเหลืองกล่าวอย่างยกยก”มีความทะเยอทะยานที่ดี!”แต่การแสดงออกของเขากลับเหมือนแค่พูดๆไปเท่านั้น  เซียนโดยกำเนิด? ย้อนกลับไปเมื่อก่อน เมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้นไม่ใช่ว่าเขาก็ยังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่และความปราถนาอันสูงส่งแบบเดียวกัน? มันง่ายแค่ไหน

 

 

 

ราวกับว่าเขาเห็นตัวเองในสมัยก่อน” “หากเจ้าได้เป็นเซียนโดยกำเนิดจริงๆ ข้าจะให้สมญานามหัวหน้านักล่าแก่เจ้า”นี่ไม่ใช่การให้คำมั่นสัญญาแบบไม่ได้ตั้งใจ ที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องของหลี่ฉิงชานก็คือถึงแม้ว่าเขาจะได้กลายเป็นเซียนโดยกำเนิดจริงๆแต่ก็คงจะใช้เวลาหลายสิบปี เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาก็คือคนที่ถูกเรียกว่า”เซียนโดยกำเนิด”

 

 

 

หลี่ฉิงชานคิดบางอย่างออก”ท่านหัวหน้า ดูเหมือนว่าร่างกายของท่านจะดูไม่ค่อยดี”

 

 

 

“ข้าเกิดมาขี้โรคและอ่อนแอ เดิมที่หมอบอกว่าข้าจะไม่รอด แต่แม่ของข้าไม่เชื่อพวกเขาและพยายามช่วยข้า ข้ายังไม่เชื่อว่าข้าไม่สามารถเป็นคู่แข่งกับเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้านได้ดังนั้นข้าจึงได้ฝึกฝนทักษะวิชาของข้าอย่างหนักแต่พื้อฐานของข้านั้นอ่อนแอและในช่วงหลายปีที่ผ่านม้ข้าได้รับความทุกข์ทรมาณจากบาดแผลที่สะสมมานาน ข้าเกรงว่าข้าจะสามารถมีชีวิตได้อยู่อีกไม่นาน”

 

 

 

หลี่ฉิงชานรู้สึกชื่นชมชายที่อยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ แม้ไม่มีทักษะเหนือธรรมชาติหรือเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมก็ตามแต่ความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นแบบอย่างสำหรับเขา

 

 

 

“ไม่ต้องห่วงหัวหน้า ท่านเพียงแค่ต้องหาโสมวิญญาณ แน่นอนว่ามันจะสามารถรักษาท่านได้”

 

 

 

“อืมมม แม้ว่ามันจะยากที่จะหาได้ราวกับหมอกที่ล่องลอย แต่มันก็จะมีเส้นทางอยู่เสมอ  เราจะใช้โอกาสความวุ่นวายในปัจจุบันของหมู่บ้านราชาโสม เรื่มค้นหาในภูเขาวันนี้ เจ้าจะมาด้วยรึเปล่า?”

 

 

“สภาพร่างกายของข้ายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ข้าคงจะไม่สามารถช่วยอะไรได้”แน่นอนว่าหลี่ฉิงชานจะไม่ตกลงไป อีกฝ่ายเพียงแค่พูดไปเฉยๆเท่านั้นพวกเขาไม่ได้เชื่อใจเขาจริงๆ

 

 

 

“เอาล่ะเช่นนั้นรอจนกว่าแผลบนร่างกายของเจ้าจะหายเราค่อยไปสู้อีกครั้ง ข้าจะจัดคนสอนยิงธนูมาสอนเจ้า”เสือป่วยสีเหลืองตบไหล่เขาเบาๆ

 

 

 

หลังจากเสือป่วยเดินออกไป หลี่ฉิงชานก็ไปถามวัวสีเขียวทันที

 

 

 

วัวสีเขียวกล่าวดูถูกราวกับว่ามันเหนือกว่า”ระดับหนึ่งระดับสองอะไร? เราจำเป็นต้องจัดระดับของมดด้วยความแข็งแกร่ง?แต่โสมวิญญาณนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการบ่มเพาะของเจ้าถ้าเจ้าสามารถเอามันมาได้”

 

 

 

หลี่ฉิงชานได้แต่เพียงมองด้วยสายตาที่มีเป้าหมาย

 

 

 

“ในตอนนี้เจ้าก็สามารถเรียนรู้การล่าสัตว์และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้าอีกต่อไป ข้ารู้สึกดีมาก ในที่สุดข้าก็ได้พักผ่อนบ้าง นับจากนี้ไปเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี!”

 

 

 

เป็นไปตามคาด วัวสีเขียวเป็นเหมือนดังเช่นเดิมและแน่นอนว่าจะไม่ช่วยเขาอีกเช่นเดิม หลี่ฉิงชานยังไม่ได้วางแผนที่จะวางใจมัน ราวกับว่าเขากับเล่นอยู่กับหมู่บ้านทั้งสองและฉกฉวยอาหารมาจากปากของเสือ เขาก็มีความมั่นใจในตัวเองน้อยลง ส่วนมากอาจจะเป็นการเอาชีวิตน้อยๆของเขาไปทิ้งขว้างอย่างไร้เหตุผล เขาเพิ่งถอนหายใจสักสองสามครั้งและลบเรื่องนี้ออกจากใจ เขาเคี้ยวโสมและนั่งสมาธิ จากนั้นก็โคจรปราณจนหลับเข้าไปความลึกซึ้งยามราตรี ผีจากแผ่นไม้ที่ดูเหมือนควันสีเขียวได้สร้างรูปร่างกลายเป็นเด็กที่หล่อเหล่า เขามองไปที่หลี่ฉิงชานและดูเหมือนจะตัดสินใจ เขาขี่ลมยามราตรีและลอยไปที่ภูเขาพร้อมกับริมฝีปากที่ขาวซีดไร้เลือดกำลังพึมพำ  ถ้ามีคนที่ชำนาญในเรื่องการอ่านริมฝีปากได้เห็นพวกเขาจะรู้ทันที่ว่าคำพูดที่ซ้ำไปซ้ำมาคือคำว่า”โสมวิญาณ”

 

 

 

วัวสีเขียวลืมตามามองเพียงชั่วครู่จากนั้นก็หลับตาลงแล้วนอนหลับไปเช่นเดิม

 

 

 

เสี่ยวอานบินออกจากหมู่บ้านม้าบินเขาไปในเทือกเขาที่ราวกับลูกคลื่นมากมาย เขาทะลุผ่านต้นไม้ได้อย่างอิสระ แต่บางครั้งเขาต้องหลบลมภูเขาที่รุนแรงที่พัดเข้ามา เขาเห็นจุดแสงไฟที่อยู่ไกลๆและเมื่อเข้ามาใกล้เขาก็พบว่าเป็นคนของหมู่บ้านม้าที่กำลังถืออาวุธอยู่ในขณะที่นอนหลับพักผ่อนอยู่ข้างกองไฟ เสือป่วยสีเหลืองกำลังพูดคุยเบาๆกับน่าล่าหลายคนเกี่ยวกับเรื่องทักษะการต่อสู้ เสี่ยวอานบินวนไปวนมาไม่กี่รอบเพื่อฟังสักครู่จากนั้นก็ขี่ลมยามราตรีไปที่ยอดเขาโบราณสีขาว

 

 

 

เขาตรวจสอบแม่น้ำลำธารแต่ละสาย หินแต่ละก้อน แน่นอนความสนใจของเขาบางครั้งอาจถูกดึงดูดด้วยสัตว์ขนาดเล็กที่เขาพบในระหว่างทางและเขาจะลืมเป้าหมายเดิมของเขาแต่เขาก็สามารถที่จะดึงสติของตนกลับไปได้อย่างรวดเร็วและเริ่มค้นหาต่อ  ในหัวเขาคิดแต่เรื่องเดียวคือ’ข้าต้อง…ข้าต้องหาโสมวิญาณ ด้วยวิธีนี้ข้าจะสามารถช่วยเขาได้’

 

ในช่วงหลังเที่ยงคืน คนเก็บโสมเริ่มจู่โจมยามราตรี แต่พวกเขาทั้งหมดสวนกลับและถูกฆ่าตายโดยเสือป่วยสีเหลือซึ้งได้เตรียมตัวป้องกันมานานแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้พบโสมวิญญาณเช่นเดียวกับเสี่ยวอาน
 

 

เขาใช้เวลาที่เหลือก่อนพระอาทิตย์ขึ้นกลับมาที่หมู่บ้าน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนเพลียและเศร้าเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กเลย นอกจากนี้งานนี้ก็ดูโดดเดี่ยวมากสำหรับเขา เขาเคยรับรู้รสชาติของความโดดเดี่ยวมามากพอแล้ว แต่เมื่อเขามองไปที่ใบหน้าของหลี่ฉิงชานที่กำลังหลับอยู่ หัวใจของเขาพุ่งเต้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยแรงกระตุ้น จากนั้นเขาส่ายกำปั้นไปมาและพุ่งเจาะกลับเข้าไปในแผ่นไม้เพื่อหลับ

 

 

 

ในช่วงเช้าตรู่…..นักล่าชราที่ดูเข้มงวดก็เรียกหาหลี่ฉิงชาน”หัวหน้าบอกให้ข้ามาสอนเจ้ายิงธนู!”

 

 

 

หลี่ฉิงชานสังเกตเห็นว่าเท้าซ้ายของเขากะแผลกเล็กน้อย เขาเพียงแค่เหลือมองไปแว๊บเดียวจากนั้นก็กลับมายืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม ไม่คาดคิดว่านักล่าชราก็สังเกตุเห็นและกล่าวว่า”ข้าถูกกัดโดยหมาป่า ตามข้ามา!”

 

 

 

ทางด้านตะวันตกของหมู่บ้านเป็นพื้นที่โล่งซึ่งมีกลุ่มวัยรุ่นยืนรออยู่ คนที่อายุมากที่สุดมีอายุประมาณหลี่ฉิงชาน ในขณะที่คนที่อายุน้อยที่สุดนั้นยังคงมีน้ำมูกที่ห้อยย้อยลงมาจากจมูก แต่ทุกคนกำลังแบกธนูล่าสัตว์ไว้บนหลังและเมื่อพวกเขาจ้องมองไปที่หลี่ฉิงชานพวกเขาแสดงท่าทีระมัดระวังและดุร้าย

 

 

 

“ปู่ซาง เขาจะไปกับเราด้วย?”

 

 

 

ปู่พยักหน้าเบา ๆ และไม่ได้อธิบายอะไรมากแล้วกล่าวทันที”ดึงสายธนู!”

 

 

 

กลุ่มเด็กๆหยุดพูดทันที พวกเขาดึงสายธนูของพวกเขาและเล็งไปที่เป้าหมายที่อยู่ไกลๆ ปู่ซางแก้ไขท่าทางที่ละคนที่ละคนและอธิบายลักษณะสำคัญของการยิงธนู ทิ้งหลี่ฉิงชานไว้ด้านข้าง

 

 

 

หลี่ฉิงชานไม่รู้สึกเบื่อแต่ตั้งใจฟังอย่างละเอียดอยู่ข้างๆ เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ปู่ซางสั่งให้เด็กๆพักผ่อนและในที่สุดก็หันมาพูดกับหลี่ฉิงชาน”ขั้นแรกฝึกความแข็งแกร่งของเจ้า!”ก่อนที่จะชี้ไปที่แถวหินรูปกุญแจที่อยู่ด้านข้าง

 

 

 

หลี่ฉิงชานเดินไปคว้าหินรูปกุญแจ เมื่อเทียบกับวัวสีเขียว อาจารย์เช่นนี้ไม่ได้จริงจังกับชีวิตเจ้า ระดับความเย็นบนไหล่เช่นนี้ยังอยู่ในช่วงที่พอรับได้

 

 

 

ปู่ซางเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจ เขาไม่ค่อยชอบหลี่ฉิงชาน แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งของเสือป่วยสีเหลืองได้ ดั่งนั้นเขาจึงเจตนาที่จะต้อนรับอย่างเฉยเมยเช่นนี้ นอกจากนี้ยังสามารถนับได้ว่านี่เป็นการแก้ขัดที่เขาอารมณ์เสีย แต่เขาก็ไม่คิดว่าหลี่ฉิงชานจะไม่โกรธหรือหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อยซึ่งแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ เขาคิดว่า”ไม่น่าแปลกใจที่หัวหน้าชื่นชอบเขา”

 

 

 

“เจ้าหนู เจ้ามาจากไหน?” เด็กกลุ่มนี้ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้วและเดินมาข้างหน้าใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโมโห

 

 

 

“หมู่บ้านวัวหมอบ”

 

 

“ฮืมมมม เป็นเพียงแค่ชาวนา แน่นอนว่าเจ้าคงมีความแข็งแรงของวัวนิดหน่อย เราได้ยินมาว่าเจ้าเอาวัวมาด้วย เราไม่ต้องการวัวที่นี้ แค่ฆ่ามันละเอาเนื้อมากินซะ!”

 

 

 

เขาคงไม่สามารถขอให้หลี่ฉิงชานออมมือให้เทียบเท่ากับระดับของพวกเขาได้แต่เขาก็คงไม่ปล่อยให้คำดูถูกนี้ปล่อยผ่านไป เขาใสความแข็งแกร่งของเขาลงไปในแขนทั้งสองข้างและโยนหินสองก้อนที่หนักหลายสิบปอนลอยขึ้นไปในอากาศ

 

 

 

“แม่จ๋า!!!”กลุ่มเด็ก ๆ ได้กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางพร้อมกับใบหน้าที่ตกใจกลัว เมื่อหินหนักหลายสิบปอนตกลงมามันไม่ได้แตกแต่มันสามารถกระแทกหัวคนให้เปิดออกได้

 

 

 

ในตอนที่หินรูปกุญแจกำลังตกลงมา หลี่ฉิงชานไม่ได้หลบหรือแอบ เขากลับเน้นความสนใจทั้งหมดของเขาและการสังเกตจังหวะเวลาแทน  เขาคว้าหินรูปกุญแจได้ภายในครั้งเดียวจากนั้นเขาหมุนตัวเพื่อกระจายแรงปะทะ เขายิ้มไปด้วยในขณะที่มองไปทางพวกนั้น

 

 

 

เด็กทั้งกลุ่มที่จ้องดูต่างเหวอและกลืนน้ำลายไปตามๆกัน นั้นจะต้องมีความแข็งแกร่งเท่าใด ส่วนใหญ่ในกลุ่มของพวกเขาสามารถยกหินทั้งสองก้อนได้แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะโยนให้สูงได้ขนาดนั้นไม่ต้องพูดถึงการคว้าจับมันในตอนที่ตกลงมา

 

 

 

หลี่ฉิงชานไม่ได้สนใจจะเอาคืนพวกเขาแล้วและกล่าวด้วยรอยยิ้ม”ปู่ซาง ข้ายังต้องฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งอีกหรือ?”

 


 

อึ้งไปสิ!!

 

 

ฝากไลคเพจด้วยนะค้าบบบ ครับ^^

 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments