ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปคลื่นสัตว์อสูรหายไปอย่างรวดเร็ว ที่ชายขอบของป่าวายุทมิฬเหลือสัตว์อสูรระดับพลังปราณและสัตว์อสูรระดับสูงเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ซากศพของสัตว์อสูรเท่านั้น ยังมีซากศพของเหล่าศิษย์นิกายหยุ่นไห่ที่เข้าต่อสู้กับคลื่นสัตว์อสูร มีลำธารเลือดมากมายในสมรภูมิรบ ฉากนี้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและโหดร้ายของสงคราม
คลื่นสัตว์อสูรระลอกนี้ส่วนมากมีแต่สัตว์อสูรที่อ่อนแอ ถ้าหากว่าเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้ ไม่รู้ว่านิกายจะต้องเสียสูญเสียไปอีกเท่าไร?
ที่เนินเขายังคงมีศิษย์จากนิกายหยุนไห่อีกจำนวนมาก ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์ธรรมดาที่เข้าต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับพลังปราณ พวกเขาใช้การต่อสู้ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อพัฒนาทักษะพร้อมกับรวบรวมวัตถุดิบล้ำค่า
“ฮ่าๆๆ นั่นมันสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณ พยายามขัดขวางมันไว้ ข้าจะไปฆ่ามัน”
บางคนเห็นศิษย์ธรรมดานิกายหยุนไห่ 2 คนกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณ ตรงหน้าของพวกเขาคืออสูรแรดที่ดูน่ากลัว
ตรงกลางระหว่างพวกเขากับอสูรแรด มีซากศพของสัตว์อสูรมากมาย ศิษย์ธรรมดาทั้ง 2 คนดูเหมือนว่าจะไม่สนใจพวกมัน พวกเขาจดจ่ออยู่กับอสูรแรดที่อยู่ด้านหน้าเท่านั้น เพราะวัตถุดิบที่จะได้จากมันมีค่ามหาศาล
“อสูรแรดตัวนี้แข็งแกร่งมากและที่น่ากลัวที่สุดคือพลังป้องกันของมัน เจ้าคิดว่าพวกเราสามารถฆ่ามันได้หรือไม่?” ชายหนุ่มร่างผอมบางกล่าว นามของเขาคือ พั่วจวิน เขาจ้องมองอสูรแรดด้วยสายตาที่ดุร้าย
“อย่าได้กังวลพั่วจวิน หรือเจ้าไม่เชื่อใจข้า?”
ชายร่างผอมนามพั่วจวินทำได้เพียงยิ้มให้กับศิษย์อีกคน ดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจในความสามารถของตัวเองจริงๆ
“คนเดียวที่ข้าเชื่อใจมีเพียงตัวข้าเท่านั้น” พั่วจวินกล่าว ในเวลาเดียวกันเขาก็คว้าเชือกหวาย 2 เส้นและเขวี้ยงไปที่อสูรแรดเพื่อล่ามมันให้อยู่กับที่
“กร๊ากกกกกกกกก….. ” อสูรแรดกลายเป็นเกรี้ยวกราดและพยายามวิ่งไปรอบๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ ทำให้มันยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ พั่วจวินถูกทำร้ายโดยอสูรแรดแต่เขาก็ยังสงบอยู่ เขาพยายามควบคุมเชือกหวายอย่างมั่นคงเพื่อตลึงอสูรแรดให้อยู่กับที่ พั่วจวินจำเป็นต้องผนึกการเคลื่อนไหวของมันไว้
“ตอนนี้แหละ เอาเลย!” พั่วจวินตะโกน โดยที่ไม่ให้เสียเวลาสหายของเขาเข้าโจมตีอสูรแรดในทันที
อสูรแรดใช้เท้าของมันกระทืบลงไปบนพื้นด้วยน้ำหนักมหาศาลทำให้เกิดฝุ่นควันมากมายในอากาศ มันกำลังบ้าคลั่งอย่างแท้จริง
สหายของพั่วจวินโจมตีออกด้วยฝ่ามือทั้ง 2 ไปที่อสูรแรด อสูรแรดแผดเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา หนึ่งการโจมตีก็เพียงพอให้อสูรแรดตกตายในทันที
“พั่วจวิน เป็นยังไงล่ะ? ไม่เลวใช่ไหมที่ร่วมมือกับข้า?” ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งถามขณะยิ้ม ในตอนนั้น พั่วจวินได้ก้าวไปข้างหน้าและเริ่มนำชิ้นส่วนมีค่าออกมาจากศพ
“ด้วยความสามารถและจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งพอที่จะจัดการกับบางคนได้ในทันที” หลินเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่คิดเมื่อเห็นพั่วจวินใช้เชือกหวาย เห็นได้ชัดว่านั่นคือจิตวิญญาณของเขา มันดูคล้ายกับของม่อเสีย แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของม่อเสียกับความแข็งแกร่งของพั่วจวินไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
“และข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้” หลินเฟิงเหลือบมองไปที่ชายอีกคน
หลินเฟิงยิ้ม เขาเดินตรงไปยังชายหนุ่ม 2 คนที่กำลังรวบรวมชิ้นส่วนอันมีค่า
“ใครน่ะ?”
ในตอนนั้น พั่วจวินรีบหันไปด้านหลัง พลังปราณที่แข็งแกร่งระเบิดออกจากร่างกายและเคลื่อนตัวไปหาหลินเฟิง
“หืมม?”
หลินเฟิงประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าพั่วจวินจะตื่นตระหนกขนาดนี้ เขาโจมตีทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีบางคนเข้าใกล้
หลินเฟิงตอบสนองอย่างรวดเร็ว ปราณดาบที่แข็งแกร่งพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา มันทำให้พั่วจวินหายใจไม่ออกเมื่อต้องปะทะกับแรงกดดันที่ทรงพลัง
“พั่วจวินหยุด เขาเป็นสหายของข้า!”
ศิษย์ที่แข็งแกร่งรีบกล่าวอย่างรวดเร็วเมื่อเขาหันหลังและชายหนุ่มตรงหน้า
ทันใดนั้น พั่วจวินก็เรียกเชือกหวายกลับมาและพลังปราณที่ราวกับกำลังบีบคอเขาก็หายไปเช่นกัน เขายังคงตื่นกลัวและเฝ้ามองหลินเฟิงอย่างใกล้ชิด
“ชายคนนั้น แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ” พั่วจวินคิด
“ฮ่าๆ หลินเฟิงในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว ข้าออกค้นหาเจ้ามากกว่า 10 ครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าไปอยู่ที่ไหน ข้าคิดว่าเจ้าจะจากนิกายหยุนไห่ไปตลอดกาลเสียแล้ว…”
กลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มที่่แข็งแกร่งคือสหายของหลินเฟิง : หานหมาน
“ข้าเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม ” หานหมาน เจ้าในตอนนี้ถึงกับสังหารสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณได้แล้ว… ความก้าวหน้าของเจ้าน่ากลัวยิ่งนัก!”
ในตอนที่หลินเฟิงกลับไปยังเมืองหยางโจว ในตอนนั้นหานหมานอยู่เพียงแค่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 เท่านั้น แต่ในเวลาสั้นๆหานหมานสามารถทะลวงสู้ขอบเขตจิตวิญญาณได้แล้ว หลินเฟิงประหลาดใจอย่างมาก แน่นอนว่าเขารู้สึกมีความสุขกับความก้าวหน้าของหานหมาน เขาไม่ได้มีเพื่อนที่เชื่อใจได้มากมายนัก และหานหมานก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ฮ่าๆ ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้นที่ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณได้” หานหมานกล่าวขณะส่ายหัว ” โอ้ แล้วเจ้าล่ะหลินเฟิง? เจ้าเคยแข็งแกร่งกว่าข้ามาก ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ระดับไหนแล้ว?”
“ข้าก็แค่ระดับค่าเฉลี่ยของศิษย์น่ะ” หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หลินเฟิงกำลังจ้องมองไปยังสหายของหานหมาน พั่วจวินผู้ซึ่งมีใบหน้าที่เย็นชา ดูเหมือนกับว่าพั่วจวินพร้อมที่จะโจมตีหลินเฟิงหากเขาเป็นตัวอันตราย หากมันเกิดขึ้นคงจะสร้างความลำบากใจให้หานหมานอยู่ไม่น้อย
“โอ้ ข้าเกือบลืมที่จะแนะนำพวกเจ้าทั้ง 2 หลินเฟิงนี่คือพั่วจวิน เขาแข็งแกร่งและรอบคอบอย่างมากแต่เขาก็เงียบขรึมตลอดเวลา ไม่เหมือนกับพวกศิษย์ธรรมดาที่คิดว่าตัวเองดีที่สุดเพราะแค่มีรายชื่อติดในอันดับ พั่วจวินแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก “
หานหมานยิ้มขณะกล่าวแนะนำพวกเขา
“พั่วจวิน นี่คือหลินเฟิง เขาเปรียบเสมือนพี่น้องสำหรับข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นสหายที่ดีกับเขาได้เช่นกัน”
“ข้าจะเป็นคนแรกที่จะรับชิ้นส่วนล้ำค่าที่พวกเราเพิ่งหามาได้”
พั่วจวินกล่าวอย่างไม่แยแส จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและนำกริชออกมาชำแหละร่างของสัตว์อสูรเพื่อเก็บเกี่ยวชิ้นส่วนล้ำค่าและนำไปแลกเปลี่ยนที่นิกาย
“หลินเฟิงไม่ต้องกังวลพั่วจวินก็เป็นคนเช่นนี้แหละ เขาค่อนข้างจะเย็นชาแต่ก็เป็นคนดีมาก”
หลินเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจแต่ก็ยังคงยิ้ม พั่วจวินและหลินเฟิงไม่ได้เป็นสหายกันดังนั้นจึงไม่สาคัญว่าพั่วจวินจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเขาหรือไม่ เขาไม่จำเป็นต้องสนใจพฤติกรรมของคนแปลกหน้า
“หานหมาน ทุกคนเริ่มจากไปแล้ว แล้วทำไมเจ้าถึงยังต่อสู้อยู่ที่นี่?”
“ศิษย์หลายคนจากไปเพราะการทดสอบศิษย์ภายใน แต่พวกเราคิดว่าควรจะรวบรวมวัตถุดิบมีค่าให้มากกว่านี้เพื่อนำไปแลกเปลี่ยนที่นิกาย มีเพียงพวกเราสองคนที่เป็นนักสู้ขอบเขตจิตวิญญาณที่ยังอยู่ในบริเวณนี้ นอกนั้นเป็นศิษย์ที่ยังอยู่ขอบเขตพลังปราณ “
“เจ้ายังไม่พร้อมสำหรับเข้าทดสอบศิษย์ภายใน?”
หลินเฟิงมึนงงและช่วยไม่ได้ที่จะถาม
“แน่นอน ข้าสามารถเข้าร่วมได้ แต่ข้าก็ยังพอมีเวลาดังนั้นข้ายังอยากรวบรวมความมั่งคั่งให้มากกว่านี้ ฮ่าๆ” หานหมานยังคงเป็นคนเดิม เขาเป็นคนยิ้มง่ายและคิดบวกอยู่เสมอ คนเช่นนี้ซื่อสัตย์อย่างมาก พวกเขาไม่ใช่คนประเภทมีความคิดชั่วร้ายในใจและรับมือได้ง่าย
” พั่วจวิน ข้าคิดว่าแถวนี้คงไม่มีอะไรที่มีค่าอีกแล้ว”
หานหมานกล่าวขณะจ้องมองไปยังพั่งจวิน
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
พั่วจวินพยักหน้า เขานหยิบกระเป๋าที่เต็มไปด้วยของมีค่าและยืนขึ้น
“หลินเฟิง เจ้าเองก็ควรไปกับพวกเรา” หานหมานกล่าวและยังถามหลินเฟิง ” หลินเฟิง มานี่ แล้วบอกข้า ความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ระดับไหนกันแน่?”
หลินเฟิงไตรตรองอยู่ชั่วครู่และส่ายหัว เขาไม่สามารถระบุความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างแน่ชัด บางทีเขาอาจจะต้องต่อสู้กับใครบางคนที่บรรลุขั้นที่ 3 ขอบเขตจิตวิญญาณเพื่อที่จะสามารถบอกระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันอย่างถูกต้อง
………………….
“เจ้านี่สนุกกับการทำตัวลึกลับเสียจริง… และยังคงมีความลับอีกมากกับข้า เจ้าสามารถต่อกรกับอสูรแรดได้ด้วยตัวคนเดียวหรือไม่?” หานหมานถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ต่อกรกับอสูรแรดด้วยตัวคนเดียว?” พั่วจวินคิดเมื่อได้ยินคำถามของหานหมาน ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงคือระดับจิตวิญญาณอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ปราณดาบที่ทรงพลังของหลินเฟิงทำให้เขาถึงกับหายใจไม่ออกและสร้างแรงกดดันมกาศาลกดทับร่างกายของเขา พั่วจวินจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนหากต้องต่อสู้กับหลินเฟิงแม้เขาจะยังไม่ได้เอาจริง พั่วจวินไม่สามารถระบุความแข็งแกร่งที่แน่นอนของชายหนุ่มได้ แม้ว่าพลังของกันของอสูรแรดจะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหากหลินเฟิงต้องการสังหารมันด้วยดาบของเขา
“ข้าสามารถจัดการมันได้” หลินเฟิงกล่าวขณะในนิ้วถูจมูกของเขา จัดการกับอสูรแรด? เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าก็สามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่จำเป็นต้องเอาจริง
“ฮ่าๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองก็บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว คราวนี้เราสามคนจะต้องผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์ภายใน หลังจากที่พวกเราทำงานอย่างหนักพวกเราจะได้กลายเป็นเสาหลักของนิกายหยุนไห่” หานหมานกล่าวด้วยรอยย้ม
“ทำงานหนักเพื่อนิกาย? ใครเป็นคนตัดสินใจ?” พั่วจวินถามอย่างไม่เกรงใจ เขาคิดว่าหานหมานยังไร้เดียงสาเกินไป
“พวกเราควรจะให้หลินเฟิงตัดสินใจ เข้าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงและมีศักยภาพมากกว่าข้า แม้ว่าเขาอาจจะอ่อนแอกว่าข้าในตอนนี้ แต่เขาจะต้องก้าวข้ามข้าในภายหลัง เขาเคยช่วยชีวิตข้าไว้ สิ่งที่เขาพูดมักจะเชื่อถือได้” หานหมานกล่าวด้วยความเชื่อมั่น
“แล้วข้าล่ะ?” พั่งจวินถาม
“เจ้าและข้าเองก็แข็งแกร่ง แต่ข้าเลือกที่จะฟังหลินเฟิง เจ้าเองก็ควรทำเช่นเดียวกัน” หานหมานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง หลินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก ชายคนนี้ช่างไร้เดียงสาและความคิดของเขาดูเรียบง่าย พั่วจวินจะเชื่อมั่นในคำพูดของคนเช่นนี้ได้อย่างไร?