ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปที่ผ่านมา…ชายแก่และตระกูลของเขานั้นอยู่อย่างแสนลำบากถึงขั้นจนตรอกเลยทีเดียว มันยากเข็ญมากจนมิเหลือทรัพย์สินใดๆในบ้านที่เขาจะสามารถนำมาขายเพื่อประทังชีวิตได้อีก
ซึ่งสิ่งมีค่าชิ้นสุดท้ายที่มีเหลือนั้นก็คือ อัญมณีจิตหิมะสลาตัน ชายแก่เขาไม่รู้หรอกว่าของสิ่งนี้มันใช้งานยังไงแต่ก็ลองๆนำมาขายดู จนเวลาผ่านไปเป็นสิบๆวันก็หาคนที่สนใจซื้อมันไปครอบครองได้ไม่ ชายแก่ผู้นี้มีหลานตัวน้อยอีกสองชีวิตที่ต่างหิวโหยและนั่งรอคอยความหวังอยู่ที่บ้าน
ซึ่งเขาเองก็มืดแปดด้านไม่รู้จะทำยังไงให้หลานทั้งสองได้อิ่มท้อง ในเมื่อสถานการณ์มันช่างฝืดเคืองแสนลำบากเยี่ยงนี้
เดิมทีเขาเคยคิดว่าเขาคงจะสามารถแลกเปลี่ยนอัญมณีชิ้นนี้ได้อย่างมากก็ได้แค่เพียงเสบียงอาหารซักสองสามกระสอบเท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นที่น่าพอใจมากแล้วสำหรับตัวเขา
แต่เขาก็ไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนว่าเนียหลี่ (ผู้แสนประเสริฐดั่งพ่อเทพบุตรสุดสายป่าน) ผู้นี้จะมอบเสบียงอาหารมากมายเช่นนี้ให้แก่เขาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับอัญมณีชิ้นนี้
“ท่านตา แม้ว่าข้าจะแลกเปลี่ยนสิ่งของชิ้นนี้กับท่านด้วยเสบียงอาหารทั้งหมดนี้ก็เถอะ ด้วยคุณค่าของมัน, ข้าก็ยังคงได้กำไรและได้เปรียบท่านอยู่ หากท่านต้องการร้องขอสิ่งใดเพิ่มเติมอีกก็จงบอกมา”
‘เนียหลี่’กล่าว สำหรับตัว’เนียหลี่’ เขายังคงต้องการยื่นเสนอสิ่งมีค่าอื่นๆอีกหลายๆอย่างให้แก่ชายแก่ แต่เขาก็ตระหนักแก่ใจว่า หากเขามอบสิ่งมีค่าให้แก่ใครบางคนมากจนเกินไป มันจะเป็นทุกขลาภเหมือนชักภัยพิบัติเข้าสู่บ้านชายแก่และคนในครอบครัวของเขาแทนเสีย
“ข้าไม่รู้เลยว่าสิ่งของชิ้นนี้จะสามารถแลกเปลี่ยนเสบียงอาหารได้มากมายเช่นนี้ เทพบนสวรรค์เมตตาข้าแล้ว.. ข้าไม่มีสิ่งใดร้องขอจากท่านอีก..นายน้อย”
ชายแก่ตอบและคารวะลงไปอีกหลายครั้ง เด็กหนุ่มร่างบอบบางสองคนเดินเข้ามาด้านข้างของชายแก่
“ต้านิ๋ว เอ้อหนิ๋ว! รีบเข้า…คุกเข่าคารวะผู้มีพระคุณเร็ว!”
ชายแก่เอ่ยบอกเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างเร่งรีบ เด็กหนุ่มทั้งสองไม่พูดอะไรแล้วเริ่มคุกเข่าคารวะ
จากภาพตรงหน้า ‘เนียหลี่’รู้สึกเศร้าสลดในใจยิ่งนัก เขาจึงนำเสบียงอาหารออกมาอีก5กระสอบบวกกับเนื้อสัตว์อีกจำนวนนึงวางลงบนร้านค้า แล้วจากไปพร้อมกับอัญมณีจิตหิมะสลาตันที่เขาเก็บไว้ในแหวนเก็บของ
เห็นเสบียงอาหารที่กองเป็นภูเขาเหล่ากาตรงหน้า ชายแก่ก็หลั่งน้ำตาออกมาพรากๆดั่งสายห่าฝน ตัวเขาสั่นเทาเฉกเช่นเดียวกับเสียงเปล่งออกมาอย่างสั่นเครือ สวรรค์โปรดประทานพรให้ผู้มีพระคุณของข้าท่านนี้ด้วยเถิด!
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้คนขายของรายอื่นๆมองดูกองเสบียงอาหารที่ชายแก่ได้รับด้วยความริษยา แต่อย่างไร พวกเขาก็มิหาญกล้าทำการอันใด ทั้งหมดก็เพราะตลาดแลกเปลี่ยนแห่งนี้ถูกบริหารดูแลโดยตระกูลอัคคีสวรรค์ เหตุนี้พวกเขาจึงมิกล้าก่อเรื่องอันใด ณ ที่แห่งนี้
หลังจากตระเวนไปรอบๆเมืองอยู่พักใหญ่ ‘ต้วนเจี้ยน’ได้ทำการแลกเปลี่ยนระหว่างเสบียงอาหารกับหินศิลาโลหิตและหินวิญญาณมังกรมาได้เป็นจำนวนมากมายโดยไม่ได้ต่อรองอะไรมากมายนัก“เก็บหินวิญญาณมังกรเหล่านี้เอาไว้”
‘เนียหลี่’หยิบหินวิญญาณมังกรมาจำนวนนึงแล้วส่งพวกมันไปให้’ต้วนเจี้ยน’
“หินวิญญาณมังกรมันมีประโยชน์อย่างยวดยิ่งสำหรับคนผู้ซึ่งมีเลือดมังกรอยู่ในร่างกายเช่นเจ้า มันจะช่วยเพิ่มพูนวิญญาณให้เจ้าและหากข้ามีโอกาส ข้าจะหาจิตอสูรเผ่ามังกรให้เจ้าด้วย มันจะทำให้เจ้าเป็นร่างทรงอสูรได้โดยสมบูรณ์เสียที”
จิตอสูรเผ่ามังกรนั้นมันหายากเอามากๆ แต่อย่างไร ‘เนียหลี่’หามีทางเลือกอื่นไม่ เนื่องจากเพราะว่าองค์ประกอบร่างกายของ’ต้วนเจี้ยน’นั้นบ่งชี้ว่าร่างกายของเขานั้นเหมาะสมกับเพียงแค่อสูรวิญญาณเผ่ามังกรเท่านั้น
“ขอบคุณขอรับนายท่าน”
‘ต้วนเจี้ยน’เอ่ยตอบด้วยความเคารพ
‘เนียหลี่’ปล้นสินค้าดีๆในท้องตลาด โดยการต่อราคาซื้อขายแลกเปลี่ยนไปตามร้านค้ารายทางจนได้ของดีๆมามากพอดู พวกเขาค่อยๆเข้าใกล้จนในที่สุดก็มาถึงร้านค้าขนาดใหญ่ ด้านบนของร้านแขวนตัวอักษรไว้ว่า อัคคีสวรรค์ ณ ร้านแห่งนี้มีลูกค้ามากมายหลายประเภทเดินเข้าๆออกๆกันขวักไขว่
ด้วยแผนการผุดขึ้นมาให้หัวอย่างฉับพลัน เนียหลี่จึงพูดขึ้นว่า
“เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
‘เนียหลี่’มีอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตระกูลอัคคีสวรรค์ ว่าหากถ้าตระกูลอัคคีสวรรค์มีความเป็นธรรมเช่นที่’ต้วนเจี้ยน’ได้เคยบอกไว้ บางทีเขาอาจจะสามารถคบหาสร้างความสัมพันธ์ไว้กับตระกูลนี้ได้
ร้านค้าแห่งนี้มีทั้งหมด7ชั้น ชั้นแรกประกอบไปด้วยสินค้าพื้นๆที่สามารถหาได้โดยทั่วไปอาทิเช่น สมุนไพร, แร่, อาวุธ และของอื่นๆ แต่ก็หามีสินค้าใดในชั้นแรกที่จะกระตุ้นความสนใจของเนียหลี่ได้ ดังนั้นเนียหลี่และต้วนเจี้ยนจึงเดินต่อไป และขึ้นไปยังชั้นสอง ที่ชั้นสองประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ วิธีเคล็ดลับบ่มเพาะพลังและหนังสือตำรา
เดินดูของขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงชั้นห้า สิ่งของต่างๆก็ยังดูเฉยๆในสายตาของเนียหลี่ แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ดูเข้าตา แต่ก็หามีชิ้นใดไม่ที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้จริงๆ
ณ ชั้นหก เนี่ยหลีก็หยุดลงตรงหน้าดาบขนาดใหญ่ยักษ์เล่มหนึ่ง ดาบเล่มนี้สีดำและจะสามารถปล่อยเพลิงดำพร้อมแผ่พัดไอความร้อนเข้มข้นออกมาได้เป็นครั้งคราว
เห็น’เนียหลี’หยุดยืนยู่ตรงหน้าดาบขนาดใหญ่เล่มนั้น ชายวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วนก็เดินเข้ามา เขามาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า
“ตีขึ้นด้วยโลหะอัคคีดำ คมกริบ สามารถตัดเหล็กได้เหมือนตัดหยวก พร้อมกันนี้ ยังถูกฝังไว้ด้วยผลึกเพลิงอัคคี บรรจุอัดแน่นไว้ด้วยพลังคุณสมบัติธาตุไฟและฤทธิ์แห่งเปลวเพลิงที่สามารถแผดเผาศัตรูของท่านได้ เพียงแค่การฟันลงไปฉับเดียวเท่านั้น ลูกค้าที่เคารพท่านตาถึงอะไรเช่นนี้”
“ดาบเล่มนี้ราคาเท่าไหร่?”
“เรายอมรับการแลกเปลี่ยนเฉพาะระหว่างสิ่งของกับสิ่งของเท่านั้น ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับท่านว่าจะเสนอสิ่งใดสำหรับการแลกเปลี่ยน”
ชายกลางคนพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
‘เนียหลี่’ไตร่ตรองอยู่ซักพัก สิ่งที่เขามีเก็บอยู่มากที่สุดตอนนี้ก็น่าจะเป็นยาทิพย์ ดังนั้นเขาจึงหยิบเม็ดยาประสานวิญญาณโยนไปให้ชายร่างอ้วนและพูดขึ้นว่า
“มันพอจะแลกเปลี่ยนได้ไหม?”
ก่อนหน้านี้ เม็ดยาทิพย์ที่เนี่ยหลี่กะจะนำออกมาใช้แลกเปลี่ยน คือแค่เพียงาหล่อเลี้ยงวิญญาณเท่านั้น แต่ตอนนี้, เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับดาบเล่มใหญ่เล่มนี้ เนียหลี่จำเป็นต้องนำยาประสานวิญญาณซึ่งมีมูลค่ามากกว่าาหล่อเลี้ยงวิญญาณออกมาเพื่อใช้ต่อรอง
ชายอ้วนวัยกลางคนรับยาทิพย์เหล่านั้นแล้วลองสูดดมดู ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างแล้วกล่าวขึ้นว่า
“ของดีๆ นี่มันต้องเป็นยาประสานวิญญาณเป็นแน่ ในช่วงยุคมืด นักปรุงยามีจำนวนลดน้อยถอยลงไปเป็นอย่างมาก และตอนนี้พวกนักปรุงยาก็มีเหลืออยู่ไม่มากนัก นักปรุงยาที่สามารถปรุงยาประสานวิญญาณได้ก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนเพียงแค่สูดดมก็สามารถบ่งบอกได้ว่านี่คือยาประสานวิญญาณ เขาต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเป็นแน่
ชายร่างอ้วนไตร่ตรองอยู่ซักพักก็พูดขึ้น
“จำนวนเพียงแค่นี้เกรงว่าคงไม่เพียงพอสำหรับการแลกกับดาบเพลิงดำเล่มนี้หรอก อย่างน้อยท่านต้องมียาประสานวิญญาณซัก200เม็ดถึงจะคู่ควรกับมูลค่าของดาบเล่มนี้”
‘เนียหลี่’เองก็ไม่คิดว่ายาประสานวิญญาณจำนวนเท่าที่หยิบออกมามันจะพอเพียงกับการแลกเปลี่ยนดาบเพลิงดำหรอก จำนวนแค่200เม็ดตามที่ชายอ้วนร้องขอมา มันยังน้อยกว่าที่’เนียหลี่’ประเมินเอาไว้มากนัก ในใจ’เนียหลี่’ เขาคาดคะเนว่าเขาอาจต้องใช้ถึง1000เม็ดเสียด้วยซ้ำ
“นี่ยาประสานวิญญาณ200เม็ด!”
‘เนียหลี่’หยิบยาประสานวิญญาณออกมา2ขวดแล้วโยนส่งให้ชายอ้วนวัยกลางคน
ชายอ้วนไม่คิดว่า’เนียหลี่’จะไม่ขวนขวายรองราคาใดๆ แถมโยนยาประสานวิญญาณ200เม็ดมาเพื่อตกลงตอบรับการแลกเปลี่ยน ยาประสานวิญญาณ200เม็ดนี้จะสามารถสร้างผู้เชี่ยวชาญให้ตระกูลอัคคีสวรรค์ได้อีกหลายคนเลยทีเดียว ด้วยยาประสานวิญญาณ เหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับซิลเวอร์5ดาวและโกลด์5ดาวก็จะมีโอกาสสูงขึ้นมากที่จะบรรลุด่านเข้าสู่ระดับต่อไปได้
ยาทิพย์จะสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้เพียงแค่100ปีเป็นอย่างมาก จากนั้นมันก็จะไม่สามารถทำประโยชน์ใดๆได้อีก มิหนำซ้ำจำนวนนักปรุงยายังมีจำนวนเหลืออยู่น้อยนัก เพราะฉะนั้นตระกูลต่างในโลกมิตินี้จึงมีปัญหาขาดแคลนยาทิพย์อย่างรุนแรงโดยเฉพาะยาทิพย์คุณภาพดีอย่างยาประสานวิญญาณ
สำหรับดาบเพลิงดำ เกือบจะทุกคนที่หลบหนีลี้ภัยมายังโลกแห่งนี้ พวกเขาก็ล้วนนำแหวนเก็บของติดตัวกันมามากมายคนละหลายๆวง ซึ่งภายในแหวนแต่ละวงนั้นก็เต็มไปด้วยสมบัติชั้นยอดที่ตกทอดสืบต่อกันมา ซึ่งดาบเพลิงดำนั้นถูกจัดเป็นแค่วัตถุธรรมดาๆเท่านั้น
‘เนียหลี่’หยิบดาบเพลิงดำขึ้นมาแล้วโยนส่งมันให้ต้วนเจี้ยน
“เอาดาบนี่ไป มันเป็นของเจ้า”
เนื่องจากดาบเพลิงดำนั้นเหมาะสมเข้ากับต้วนเจี้ยนผู้ซึ่งมีสายเลือดมังกรดำเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้น’เนียหลี่’คงไม่เลือกแลกเปลี่ยนมันมา ทั้งๆที่ยังมีสมบัติที่น่าสนใจเข้าตากรรมการอยู่อีกหลายชิ้น
เมื่อ’ต้วนเจี้ยน’ได้รับดาบเล่นนั้นมา เขาตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเขาก็มองไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม(เชิงขอบคุณ)และตื้นตัน(คือประมาณว่าเนียหลี่ส่งดาบแล้วก็หันหลังเดินต่อไป)
หลังจากคบหาดูใจ(เอ้ย!..นิสัย) กับ’ต้วนเจี้ยน’มาเป็นเวลานาน ‘เนียหลี่’รู้สึกได้ว่า’ต้วนเจี้ยน’นั้นเป็นคนดีประเภทที่รู้จักบุญคุณและพร้อมตอบแทนคุณแก่เขาได้เสมอ เพราะเหตุนี้’เนียหลี่’จึงยิ่งใจกว้างและมีความเมตตาแก่ต้วนเจียนเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ชายอ้วนวัยกลางคนรับยาทิพย์แล้ว เขาก็เดินขนานข้างตาม’เนียหลี่’ไปเรื่อยพร้อมรอยยิ้มแป้นบนใบหน้า จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“ขออภัยนะท่าน ข้าขอถามอะไรหน่อยเถิด ท่านเป็นนักปรุงยาหรือ? ”
‘เนียหลี่’เหลือบมามองชายอ้วนและพยักหน้าเล็กน้อย
“อื้ม..ใช่แล้ว”
ดวงตาของชายอ้วนกลางคนก็เบิกกว้างขึ้นทันทีและเขาก็ดูถ่อมตัวขึ้น
“ข้าชื่อหลี่ฟู๋ ข้าจะขอทราบนามของท่านได้หรือไม่ว่าท่านมาจากตระกูลไหน”
“ข้าไม่ได้อยู่ในตระกูลใด สำหรับชื่อของข้าๆเชื่อว่าท่านไม่น่าจะเคยรู้จักหรือเคยได้ยินมาก่อน”
‘เนียหลี่’ตอบพร้อมเหลือบมอง’หลี่ฟู๋’นิดๆ (ประมาณว่าไม่ใช่คนแถวนี้อ่ะ บอกไปก็ไม่รู้จักอยู่ดี)
‘หลี่ฟู๋’หาได้ใส่ใจกับทัศนคติของ’เนี่ยหลี่’ที่แสดงออกมาไม่ เพราะโอกาสที่นักปรุงยาจะปรากฏตัวมาให้เห็นสักครั้งนึงนั้น มันเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้น้อยมากๆจนยากสุดแสนจะจินตนาการเลยทีเดียว
ดังนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆที่เนียหลี่จะทำตัวดูหยิ่งเล็กๆ ‘หลี่ฟู๋’โค้งคำนับ’เนียหลี่’เล็กน้อยและพูดขึ้น
“ท่านนักปรุงยา ตระกูลอัคคีสวรรค์ของเราตั้งตาคอยมานานที่จะมีโอกาสได้จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยา ถ้าท่านสนใจจะเข้าร่วมกับตระกูลอัคคีสวรรค์ของเรา ข้าสามารถนำข้อเสนอข้อเรียกร้องของท่านไปบอกแก่หัวหน้าตระกูลของเราได้นะ”
“ข้าไม่ปรารถนาการผูกมัดใดๆ ดังนั้นข้าจะไม่เข้าร่วมกับตระกูลของท่านหรอก แต่อย่างไรก็ตามการร่วมมือกันระหว่างข้ากับตระกูลท่านยังคงพอมีโอกาสเป็นไปได้อยู่”
โดยปรกติแล้ว ‘เนียหลี่’จะไม่เพิกเฉยคำขอข้อเสนอของใครแบบนี้ (แบบหยิ่งๆแบบนี้อ่ะครับ) เหตุผลที่ทำไมเขาจึงใช้ยาประสานวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับดาบเพลิงดำก็เพราะเขามีแผนอะไรบางอย่างในใจ แต่เขาก็ไม่นึกว่าปลา (หลี่ฟู๋) จะกินเหยื่อง่ายๆแบบนี้
“ร่วมมือ? ไม่มีปัญหา ข้าขอถามหน่อยว่าเราจะร่วมมือกันได้อย่างไรล่ะ ทางข้าสามารถจัดหาวัตถุดิบการปรุงยาจำนวนมากมายให้ท่านได้นะ”
ในมุมมองของ’หลี่ฟู๋’ สิ่งที่นักปรุงยาขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งก็มักจะเป็นวัตถุดิบ
‘เนียหลี่’เหลือบมองหลี่ฟู๋แล้วพูดว่า
“ข้าหาได้ขาดแคลนวัตถุดิบไม่ สำหรับเรื่องที่ว่าเราจะร่วมมือกันได้อย่างไรข้าเองก็ยังไม่ได้คิด ที่มาวันนี้, ข้ามาเพื่อเดินเล่นเยี่ยมชมร้านค้าและจับจ่ายหาซื้ออะไรที่น่าสนใจนิดๆหน่อยเท่านั้น”
หลังจากได้ยินที่’เนียหลี่’พูด แววตาของหลี่ฟู๋ก็ฉายแววว่าเขารู้สึกผิดหวัง ‘เนียหลี่’ไม่ได้ขาดแคลนวัตถุดิบใดๆแถมเขาก็ยังไม่ได้คิดถึงหนทางที่สามารถเป็นการร่วมมือระหว่างกันไว้เลยด้วย บางทีเนียหลี่เขาอาจจพูดให้’หลี่ฟู๋’ตื่นเต้นดีใจเล่นๆก็เป็นได้
‘เนียหลี่’เดินเล่นทอดน่องต่อไปเรื่อยๆรายทาง แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งของชิ้นไหนอีกที่ดึงดูดความสนใจของเนียหลี่ไปได้ พวกเขาจึงเดินขึ้นไปชั้นบนจนในที่สุดก็ถึงชั้นเจ็ด ที่ชั้นเจ็ดการรักษาการณ์มีอยู่อย่างแน่นหนา พร้อมทั้งมียามติดอาวุธครบมือเฝ้าอยู่หน้าของทุกๆชิ้น
โดยทั่วไปแล้ว หากไม่ใช่เป็นคนที่มีสถานะพิเศษใดๆก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาที่ชั้นนี้ได้ อย่างไรก็ตาม จากเหตุที่’เนียหลี่’เป็นนักปรุงยา ‘หลี่ฟู๋’จึงมิได้ขัดขวางเขาแต่อย่างใด
สิ่งของที่ชั้นเจ็ดนั้นย่อมมีมูลค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับของที่อยู่ที่ชั้นหก โดยทั่วไปแล้วสิ่งของ ณ ชั้นเจ็ดจะเป็นสมบัติที่ตกทอดผ่านยุดมืดมาได้ ของหลายชิ้นบนชั้นนี้น่าสนใจจนสามารถทำให้’เนียหลี่’หัวใจเต้นระทึก ตึกตึก ได้เลยทีเดียว
เมื่อ’เนียหลี่’เดินตรวจสอบดูสมบัติ ‘หลี่ฟู๋’จึงเดินปลีกตัวออกไปอย่างช้าๆ
‘เนียหลี่’สามารถสังเกตเห็นถึงการกระทำของ’หลี่ฟู๋’ได้อย่างแน่นอน(เดินปลีกตัวออกไป) แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาจึงเดินเล่นดูของต่อไป ในเมื่อเขาเดินขึ้นจนมาถึงชั้นเจ็ดนี้แล้ว หากเขาไม่ได้ของติดไม้ติดมือไปซักชิ้นสองชิ้น มันก็คงไม่ต่างอะไรจากการเดินเข้าสู่ภูเขาขุมทรัพย์ แล้วดันซื่อบื้อเดินออกมามือเปล่า (เสียชื่อพระเอกของเราหมด…หึหึ) จากนั้น’เนียหลี่’ก็ชายตาจนไปหยุดที่ม้วนจารึก
ม้วนจารึกนี้มันต้องบรรจุเคล็ดวิชาที่หายสาบสูญไว้ภายในเป็นแน่แท้ลองนับๆดูก็พบว่ามันมีอยู่ทั้งหมด7ม้วน
“น้องชาย เจ้าสนใจม้วนหนังสือพวกนี้หรือ?”
ชายหนุ่มแต่งตัวดูดีเดินเข้ามายืนข้างๆ’เนียหลี่’ จากที่ดูๆแล้วเขาน่าจะอายุอานามประมาณ16-17ปี เขาสวมชุดผ้าไหมทำให้เขาดูโออ่ามีราศี
ชายหนุ่มคนนี้น่าจะถูกหลี่ฟู๋เรียกมาเพื่อคอยดูแล’เนียหลี่’ ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลอัคคีสวรรค์! (หมายถึงหลี่ฟู๋หรือเด็กหนุ่ม เริ่มงง)
“ใช่แล้ว ข้าสนใจมันยิ่งนัก”
‘เนียหลี่’ตอบพร้อมพยักหน้า โดยเขาไม่ได้บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงคำถาม
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กๆพร้อมพยักหน้า (สงสัยโล่งอกที่ไม่เจอฤทธิ์ความเยอะลีลาแยะของพระเอกเรา…555+) แล้วกล่าวต่อไป
“ม้วนจารึกเหล่านี้เป็นของชั้นเลิศทีเดียวแหละ แต่ถึงกระนั้น, ม้วนหนังสือเหล่านี้ก็ถูกตกทอดส่งผ่านมาตั้งแต่ช่วงยุคมืด ซึ่งเลือดสัตว์อสูรที่ใช้เขียนก็ได้จางจนเกือบเลือนหายไปหมดแล้ว ครั้งหนึ่งมีคนเคยลองพยายามจะใช้งานมันดู แต่ก็ไร้ผล ข้าว่านะ…ม้วนจารึกเหล่านี้กลายเป็นของที่ไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์ไปเสียแล้วล่ะ”
ม้วนจารึกที่ถูกส่งผ่านต่อลงมาตั้งแต่ยุดมืดและก็ยังผ่านช่วงเวลาต่างๆมาอีกยาวนาน มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่สามารถใช้งานได้อีก แต่ยังไงก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือ ภายในม้วนจารึกนั้นมันถูกจารึกไว้ด้วยเลือดของสัตว์อสูรระดับตำนานซึ่งเพราะเหตุนี้มันคงไม่เลือนหายไปได้ง่ายๆเป็นแน่
ดังนั้นเพียงแค่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรมันนิดหน่อย ม้วนจารึกเหล่านี้ก็จะสามารถเปล่งแสงได้อีก ซึ่งหมายถึงว่ามันจะสามารถนำมาใช้งานได้อีกครั้ง
“ในเมื่อมันใช้งานไม่ได้แล้ว ทำไมท่านไม่ขายพวกมันให้กับข้าล่ะ? ข้าจะได้นำมันกลับไปเพื่อใช้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับมัน? ท่านคิดเห็นเช่นนั้นไหม?”
‘เนียหลี่’พูดถามแล้วแย้มรอยยิ้ม แค่เพราะมันไม่สามารถใช้งานได้กับคนอื่นๆมันก็ไม่ได้หมายถึงว่ามันจะไม่สามารถใช้งานได้เมื่อยู่ในมือเขา
(เอาจริงๆนะ เป็นผู้แปล ผู้แปลจะขอมาฟรีๆเลย *0*)(To Be Continue)
น้อยใจช่วงนี้เพจดราม่าบ่อย แถมมีคนสปอย ดังนั้นงดแปล8ชั่วโมง *w*
(เอาเวลาไปนอนน่ะ อย่าคิดมาก อิอิ)แปลโดย: IDeaPaeTonG นะแจ๊ะ…
ที่มา: