ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปสาขาหลักของสมาคมทมิฬสร้างขึ้นจากหิน แม้ว่าจะดูทรงพลังมาก แต่ในเมืองศิลาดำแล้ว ไม่นับว่าเตะตานัก
‘หลงชา’และ’กุยชา’ กลับมาถึงสาขาหลักของสมาคมทมิฬ
“หลงชา พวกเรากับตระกูลศักดิ์สิทธิ์ถูกเจ้าเอี้ยฮั่นหลอกงั้นหรือ?เอี้ยเซิ่งก็ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังเป็นเหตุให้เสิ่นฮอง และตระกูลศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่าทิ้ง นี่นับว่าเป็นการเดินหมากลับที่ไม่เลวทีเดียว”
‘กุยชา’พูดอย่างขุ่นเคือง
“หากข้ารู้แต่แรกคงฆ่าเด็กนั่นทิ้งไปแล้ว ตอนนี้มันกลับหนีไปได้ เพียงเรื่องนี้ก็ทำให้ข้าขุ่นแค้นแทบระเบิดแล้ว”
‘หลงชา’ส่ายหัวกล่าวว่า
“เอี้ยฮั่นไม่ได้โกหก มันต้องวางยาพิษเอี้ยเซิ่งได้แล้วแน่ เพียงแค่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะรอดมาได้เท่านั้น บางทีมันอาจถูกใครบางคนช่วยชีวิตเอาไว้”
‘หลงชา’นึกถึงเด็กที่อยู่กลางค่ายกลหมื่นอสูร เมื่อสามารถวางค่ายกลที่ทรงพลังขนาดนั้น ถ้าจะสามารถช่วยชีวิต’เอี้ยเซิ่ง’ได้ด้วยก็ไม่นับว่าน่าแปลกใจ
‘กุยชา’ขมวดคิ้วถามว่า
“หากเอี้ยฮั่นทรยศเมืองกลอรี่จริง หากมันปล่อยข้อมูลเรื่องเมืองกลอรี่ให้ขุมกำลังอื่นในเมืองศิลาดำรู้ล่ะก็ นั่นหมายความว่า….ข้าเกรงว่าเราคงจะต้องถูกท่านจอมมารลงโทษแล้ว”
“ท่านจอมมารยังคงปิดด่านฝึกตนอยู่ เราไม่อาจไปขัดจังหวะท่านได้ ที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงหยุดรอดูสถานการณ์ไปก่อนเท่านั้น”
‘หลงชา’พูดอย่างเคร่งเครียด เมืองกลอรี่เป็นเพียงแพะอ้วน ต่อให้สมาคมทมิฬไม่ได้ครอบครอง ก็อย่าหวังว่าผู้อื่นจะได้ครอบครอง
“หลงชา เราได้รับรายงานว่าเอี้ยฮั่นเข้าร่วมตระกูลอู่กุยแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรต่อดี?”
‘กุยชา’ถาม พลางมองไปยัง’หลงชา’
‘หลงชา’ขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เมื่อเอี้ยฮั่นเข้าร่วมตระกูลอู่กุย มันจะต้องบอกเรื่องเส้นทางลับแน่ แม้ว่าตระกูลอู่กุยจะมียอดฝีมือระดับเซียนถึงสามคน แต่พวกมันทั้งสามคนคงไม่ออกโรงด้วยตัวเอง ทางเมืองกลอรี่เองก็ไม่ได้รับมือได้ง่ายๆ ค่ายกลหมื่นอสูรจะทำให้ตระกูลอู่กุยกลืนเมืองกลอรี่ได้ยากยิ่งขึ้น เราทำได้เพียงดูอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เท่านั้น”
พอได้ยินที่เขาพูด ‘กุยชา’ก็ลืมตากลมกว้าง นี่นับว่านั่งบนภูผาชมดูพยัคฆ์ต่อสู้กัน นับว่าเป็นความคิดที่ดี (T/L: Engแปลว่า ตั้๊กแตนแอบตามจั๊กจั่น มีภัยกรายศีรษะยังไม่สำนึก)
“เราสามารถแบ่งคนไปจับตามองความเคลื่อนไหวของตระกูลอู่กุยได้ จะได้ฉวยโอกาสนี้ปิดด่านรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บด้วย”
‘หลงชา’พูดอย่างเคร่งขรึม หากเมืองกลอรี่ถูกตระกูลอู่กุยครอบครองได้ก็นับว่าเสียของอย่างยิ่ง
“ข้าจะไปเตรียมการในบัดดล”
‘กุยชา’พยักหน้าตอบ ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ หากจอมมารออกมาจากการปิดด่านฝึกตนแล้วล่ะก็ อย่างตระกูลอู่กุยจะทำอะไรได้? แม้แต่บรรพจารย์ระดับเซียนทั้งสามยังทำอะไรจอมมารไม่ได้เลย
ยอดฝีมือระดับเซียน ความจริงแล้วมีพลังเพียงชั้นตำนานระดับสูงสุด เพียงแต่ว่าพวกมันสามารถใช้พลังแห่งสัจธรรมได้บ้างในระดับหนึ่งเท่านั้น จึงเปรียบได้ว่าพวกมันห่างกับเทพวิญญาณเพียงครึ่งขั้น เมื่อใดที่พวกมันสามารถครอบครองพลังแห่งสัจธรรมได้ทั้งหมด จึงจะเรียกได้ว่าพวกมันได้ก้าวไปถึงระดับเทพวิญญาณแล้ว
ในโลกนรกานต์นี้ มียอดฝีมือระดับเซียนอยู่หลายคน ทว่า ตราบใดที่เทพวิญญาณยังไม่สูญสลายไปจนสูญเสียการควบคุมพลังแห่งสัจธรรมแล้วล่ะก็ ยอดฝีมือเหล่านี้ก็ยังไม่อาจควบคุมสัจธรรมทั้งหมดและก้าวไปสู่ระดับเทพวิญญาณได้ เรียกได้ว่าความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเทพวิญญาณนั้นหายากมาก
เมืองศิลาดำส่องประกายเย็นยะเยือกออกมาทุกที่
ในโลกนรกานต์นี้ สัจธรรมแห่งนรกานต์มีอยู่ทุกที่ เป็นบรรยากาศที่เย็นยะเยือกกว่าสัจธรรมแห่งความมืดเสียอีก
“ช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าไม่คิดเลยว่า ความแข็งแกร่งของเจ้านรกานต์จะเพิ่มขึ้นถึงพียงนี้ พริบตาที่ข้าเข้ามาในนี้ ข้าสามารถสัมผัสพลังของสัจธรรมแห่งนรกานต์ได้ ไม่คิดเลยว่าโลกนรกานต์ทั้งหมดนี้คือเขตแดนของเขา”
‘ยู่หยาน’ส่งเสียงผ่านลมปราณจากในแขนเสื้อคุยกับ’เนี่ยหลี่’
ยอดฝีมือในโลกนรกานต์มีมากมายเกินไป ทันทีที่’ยู่หยาน’เข้ามาในเมืองศิลาดำ นางก็ไม่สามารถแสดงตัวได้อีก
โลกนรกานต์ทั้งหมดคือเขตแดนของเจ้านรกานต์? ‘เนี่ยหลี่’ใคร่ครวญคำพูดนี้อยู่ครู่หนึ่ง เจ้านรกานต์นี่มีพลังอยู่ในระดับใดกัน อาจบางทีคงเป็นระดับชะตาฟ้า?
บนถนนในเมืองศิลาดำ ‘เนี่ยหลี่’สวมผ้าคลุมสีดำ เดินอย่างเงียบกริบไปตามเส้นทาง พลางสำรวจรอบๆ
เขาไม่คิดเลยว่าจะมีสถานที่ซึ่งรวมเอาเผ่าพันธุ์ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน แต่ละเผ่าพันธุ์ดูไม่เหมือนกันเลย ที่ผ่านมาก็เจอทั้งมนุษย์ถ้ำ ดาร์คเอลฟ์ โกเลม และมนุษย์หางสัตว์ แต่ละคนดำรงชีวิตอย่างมนุษย์
พวกนั้นตะโกนแข่งกันทำการค้า ทั้งซื้อและขายของทุกประเภท สร้างความครึกครื้นให้เมืองศิลาดำ
ขณะที่เดินผ่านร้านเหล้าแห่งหนึ่งก็ได้ยินพวกโกเลมพูดคุยกัน
โกเลมพวกนั้นแทะเล็มหินผลึกราวกับกำลังกัดถั่วเหลือง เศษผลึกกระจายไปทั่วตอนที่มันส่งเสียงออกมา พวกมันพูดภาษามนุษย์ได้
“เจ้าได้ยินเรื่องนี้หรือยัง?เผ่าภูติโลหิตกับตระกูลตราหยกเพิ่งสู้กันไปสดๆ ร้อนๆ แถมตระกูลตราหยกมีผู้รับเคราะห์ไปไม่น้อยเลย”
“พวกมันจะสู้กันทำไมนักหนานะ?ถ้าทั้งสองฝ่ายทำตัวดีต่อกัน โลกคงสดใสขึ้นเยอะ”
หนึ่งในโกเลมเพศหญิงส่งเสียงแหลมแปลกประหลาด
เสียงนั่นทำเอา’เนี่ยหลี่’ขนหัวลุกทีเดียว มันเคยได้ยินแต่เสียงของโกเลมเพศชาย แม้ว่าจะหยาบกระด้างไปบ้าง แต่ก็ยังพอรับได้
“ว่ากันว่ายอดฝีมือของทั้งสองฝ่ายเข้าไปในแดนมรณะเก้าชั้นแล้วพบลายแทงสมบัติเข้าที่ชั้นแรก จึงต่อสู้แย่งชิงกัน”
“ลายแทงขุมทรัพย์ของแดนมรณะเก้าชั้น?ว่าแล้วเชียว แค่เข้าไปในแดนมรณะเก้าชั้นก็นับว่าก้าวขาลงโลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อตระกูลตราหยกกล้าต่อกรกับเผ่าภูติโลหิต ก็เท่ากับหาที่ตายแล้ว พวกเผ่ามนุษย์นี่ตีค่าตัวเองสูงเกินจริง พวกมันมายังโลกนรกานต์ของเราไม่กี่พันปี แต่กลับลืมไปว่าใครใหญ่”
“ใครใหญ่?เผ่าภูติโลหิตงั้นรึ?”
“ใครบอก เผ่าโกเลมต่างหาก!!”
หลังจากแอบฟังโกเลมคุยกัน ‘เนี่ยหลี่’ต้องลอบยินดี เพราะในโลกนรกานต์แห่งนี้ สมาคมทมิฬไม่ใช่ขุมกำลังของมนุษย์แห่งเดียว อย่างน้อยก็ยังมีตระกูลตราหยกอีกแห่ง
‘เนี่ยหลี่’สั่งสุรามาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ รสร้อนแรงไหลลงไปตามลำคอ กลิ่นกำมะถันทำให้รสชาติแย่ถึงขนาดดื่มต่อไม่ลง ‘เนี่ยหลี่’จึงหยิบขวดสุราที่ติดตัวไว้ออกมาเทลงถ้วยตัวเอง
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าตระกูลอู่กุยเพิ่งรับตัวสมาชิกใหม่ แถมเป็นช่างจารึกอาคมด้วย สามารถสร้างลายอาคมชั้นต้นได้ คราวนี้ตระกูลอู่กุยนับว่าได้กำไรไม่น้อย ทั้งโลกนรกานต์มีช่างจารึกอาคมเพียงหกคนเท่านั้น”
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อจารึกลายอาคมชั้นต้นลงบนอาวุธ จะสามารถเพิ่มพลังให้อาวุธหลายเท่าตัว”
“แน่อยู่แล้ว ช่างจารึกอาคมนับว่าหายากมาก ช่างจารึกอาคมชั้นสูง ท่านเจ้าโหย่วเอี้ยมีค่าเทียบเท่าเมืองทั้งเมืองเลย”
โกเลมหลายตนพากันพูดคุยเสียงดัง
ช่างจารึกลายอาคมระดับต้น?
‘เนี่ยหลี่’ขมวดคิ้ว อย่างเขานับเป็นช่างจารึกลายอาคมระดับใด? คงไม่ต่ำกว่าชั้นสูงหรอกจริงมั้ย?
ความสัมพันธ์ของขุมกำลังในโลกนรกานต์นี้มีความซับซ้อนมาก ดูเหมือนจะมีผู้ทรงอำนาจอยู่ที่นี่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้านรกานต์ผู้ลึกลับ แต่ดูเหมือนสำหรับที่นี่ช่างจารึกอาคมจะค่อนข้างโด่งดังพอตัวทีเดียว
ขณะที่’เนี่ยหลี่’เติมสุราใส่ถ้วย ก็มีชายในชุดคลุมสามคนที่เดินอยู่บนถนนผ่านมันไป พริบตาที่พวกเขาเห็น’เนี่ยหลี่’ กลับมองไปที่เขาอย่างช่วยไม่ได้ คนนำหน้าดูจะจับพิรุธบางประการได้ เพราะดวงตาของเขาเปิดกว้างและตัดสินใจเดินมาอยู่ด้านหลัง’เนี่ยหลี่’
“น้องชาย….ยาราไนก๊ะ”
อ๊ะล้อเล่น
(T/L: ต่อไปนี้ของจริงและ)
“น้องชาย เจ้าดูจะไม่ใช่คนในเมืองศิลาดำนะ”
หนึ่งในคนสวมชุดคลุมนั่งลงด้านข้าง’เนี่ยหลี่’ ในขณะที่อีกสองคนที่เหลือยืนอยู่ข้างหลังคนที่นั่งลงอย่างเงียบๆ
“โห?ท่านทราบได้อย่างไร?”
‘เนี่ยหลี่’กวาดตามองกลุ่มผู้มาใหม่ เขาเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี ระดับพลังประมาณชั้นแบล็กโกลด์
“ข้าพอจะคุ้นเคยกับยอดฝีมือในเมืองศิลาดำอยู่บ้าง เมื่อน้องชายกล้าเดินในเมืองนี้ตามลำพัง คาดว่าระดับพลังของน้องชายคงไม่ต่ำกว่าชั้นโกลด์ ไม่อย่างนั้นน้องชายคงถูกฆ่าทิ้งไปนานแล้ว ข้าจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักเด็กที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้า ดังนั้น คำอธิบายเดียวคือเจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองนี้แต่แรก”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดต่อว่า
“ข้ามาจากตระกูลตราหยก มีชื่อว่า ลั่วเจี้ยน ไม่ทราบข้าควรเรียกน้องชายว่ากระไร”
“เนี่ยหลี่”
‘เนี่ยหลี่’พูดหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง
“ตระกูลตราหยกของเรารวบรวมยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ในเมืองศิลาดำเอาไว้ แม้ว่าเราจะต้องตาย เราก็จะพยายามขยับขยายที่ยืนให้พวกเราเผ่ามนุษย์มีโอกาสรอด ให้ลูกหลานของเรามีที่อยู่ เมื่อน้องชายเนี่ยหลี่มาถึงเมืองศิลาดำแล้ว ไม่ทราบว่าต้องการเข้าร่วมกับตระกูลตราหยกหรือไม่?”
‘ลั่วเจี้ยน’เชื้อเชิญ’เนี่ยหลี่’อย่างอบอุ่น
“โห?ตระกูลตราหยก?”
‘เนี่ยหลี่’ใคร่ครวญดู เขาเพิ่งได้ยินผู้คนพูดถึงตระกูลตราหยกมาหมาดๆ และดูจะเป็นขุมกำลังที่มีขนาดใหญ่ในเมืองศิลาดำ นิ้วของ’เนี่ยหลี่’เคาะโต๊ะเบาๆ อย่างใช้ความคิด หากจุดมุ่งหมายของตระกูลตราคือการขยายพื้นที่อาศัยให้เผ่ามนุษย์ เช่นนั้นพวกเขาสมควรมีผลประโยชน์ร่วมกันกับเมืองกลอรี่ได้
หลังจาก’เนี่ยหลี่’คิดด้วยความรอบคอบ เขาก็ตอบว่า
“จะให้ข้าเข้าร่วมกับตระกูลตราหยกนั้นไม่มีปัญหาอันใด หากทว่าข้าไม่ต้องการมีข้อผูกมัดใดๆ”
“สมาชิกฝ่ายนอกของตระกูลเรา หาได้มีข้อผูกมัดใดไม่ มีเพียงสมาชิกฝ่ายในจึงจะอยู่ภายใต้กฎของตระกูล”
ทันใดนั้น จมูกของ’ลั่วเจี้ยน’พลันขยายกว้าง สูดหายใจราวกับได้กลิ่นที่น่าโหยหา สีหน้าตื่นตะลึงปรากฎขึ้นบนใบหน้าแล้วพูดว่า
“กลิ่นสุราหอมยิ่ง”
พอได้ฟังที่’ลั่วเจี้ยน’พูด ‘เนี่ยหลี่’ก็เทสุราใส่ถ้วย แล้ววางลงตรงหน้าเขา
‘ลั่วเจี้ยน’ไม่เกรงใจ ยกถ้วยขึ้นดิ่มรวดเดียวแล้วหัวเราะเสียงดัง
“สุราดี ข้าไม่เคยดื่มสุรารสชาติเช่นนี้มาก่อนเลย เทียบกับสุราในเมืองศิลาดำนี้แล้ว ไม่ว่าจะที่ไหนในเมืองนี้ก็เป็นขยะทั้งนั้น นี่เป็นสุดยอดสุราอย่างแท้จริง”
ได้ยินที่’ลั่วเจี้ยน’พูด ‘เนี่ยหลี่’ก็ได้แต่ยิ้มรับ สุราที่’ลั่วเจี้ยน’ดื่มนับเป็นสินค้าทั่วไปที่หาซื้อไม่ยาก แต่หากเทียบกับสุราในเมืองศิลาดำนี้แล้ว ถือว่าเป็นสุราชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย หากมีคนนำสุราจากเมือศิลาดำไปยังเมืองกลอรี่ เชื่อว่าแม้แต่สัตว์อสูรยังไม่รับประทาน
“เช่นนั้นข้าจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกฝ่ายนอกของตระกูลตราหยก”
‘เนี่ยหลี่’ยิ้ม ในเมื่อไม่มีข้อจำกัดใด ก็ไม่มีปัญหา เขายังอยากรู้ระดับความแข็งแกร่งของตระกูลตราหยกอยู่
คงจะเดาได้ว่า’เนี่ยหลี่’คิดอะไร ‘ลั่วเจี้ยน’จึงยิ้มแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า
“ในตระกูลของเรามียอดฝีมือระดับเซียนอยู่สองท่าน ตระกูลเราจัดเป็นลำดับที่สามในหมู่ขั้วอำนาจต่างๆ ของเมืองศิลาดำ ทว่า…”
บนหน้าของ’ลั่วเจี้ยน’มีแววหดหู่ที่ปรากฎวูบแล้วหายวับ จึงพูดต่อว่า
“ก่อนหน้านี้ พวกเรามีข้อขัดแย้งกับเผ่าภูติโลหิต ดังนั้นหากเข้าร่วมกับตระกูลของเราต้องบอกก่อนว่ามีอันตรายไม่น้อย ข้าต้องบอกเจ้าก่อน”
‘ลั่วเจี้ยน’ดูจะเป็นคนซื่อสัตย์ใช้ได้ทีเดียว
“เผ่าภูติโลหิตเป็นขุมกำลังเช่นใด?”
‘เนี่ยหลี่’ถาม
“เผ่าภูติโลหิต เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองศิลาดำ แข็งแกร่งกว่าแม้แต่ตระกูลอู่กุย พวกมันมียอดฝีมือระดับเซียนห้าคน พวกมันต้องการชิงชิ้นส่วนแผนที่ที่ตระกูลตราหยกเราได้มาจากแดนมรณะเก้าชั้น พวกเราย่อมไม่ทำตามคำสั่งของมันง่ายๆ”
“ชิ้นส่วนแผนที่?”
‘เนี่ยหลี่’เริ่มอยากรู้อยากเห็น
จบตอน
ที่มา :