ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ฮึ่ม. ข้ากำลังพูดอยู่กับชูเฟิง ข้าไม่ได้ถามเจ้าเจ้าไม่ต้องพูดมาก “
‘เจี่ย ฉิงหมิง’
“มันเป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างเด็กๆ หากคนหนึ่งด้อยกว่าอีกคนหนึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าจะยื่นมือเข้าไปสอดทำไม เจี่ย ฉิงหมิง”
ในตอนนั้น มีเสียงดังมาจากทางฝูงชน เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับแม่น้ำที่กำลังไหล แต่ก็ดังเหมือนกับฟ้าร้อง เจ้าของเสียงต้องเป็นคนที่อยู่ในระดับ อาณาจักรสวรรค์วิญญาณแน่นอนเจ้าของเสียงนั้น เป็นคนที่มาจากนิกายโลกวิญญาณและ เป็นชายหนุ่มรูปหล่อท่าทางอ่อนโยน เขาเดินมาในขณะที่ถือพัดขนนกแนบหน้าอก มันทำให้เขาดูเป็นคนมีฐานะยิ่ง
“พี่ใหญ่ จงหยู”
‘กู โบ๋’ พูดด้วยน้ำเสียงดีใจหลังจากเห็นชายหนุ่มคนนั้น
“สู่ จงหยู๋ อัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายโลกวิญญาณอย่างนั้นหรือ!”
ในตอนนั้นหลายๆคนมองบุคคลที่มาใหม่ด้วยสายตาที่ยอมรับในความแข็งแกร่งของเขา และเป็นที่รู้กันว่าคนรุ่นเยาว์ของนิกายโลกวิญญาณนั้นไม่กินเส้นกับคนรุ่นเยาว์จากตระกูลเจี้ย ซักเท่าไหร่’เจี่ย ฉิงหมิง’ และ ‘สู จงหยู’ นั้นเป็น ศัตรูคู่แค้นกันมาหลายปี ทุกครั้งที่ทั้ง2ได้พบกันนั้นจะมีการขัดแย้งกันเกิดขึ้นทุกครั้ง
ดังนั้นเมื่อเห็นทั้ง 2 เผชิญหน้ากันผู้คนทั่วไปจึงรู้ทันทีว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น
“สู่ จงหยู๋ ทำไมเจ้าต้องมาสอดเรื่องของคนอื่น”
‘เจี่ย ฉิงหมิง’ หันไปถาม ‘สู่ จงหยู๋’ ด้วยสายตาโหดเหี้ยม
“เจี่ย ฉิงหมิง ชูเฟิงและกู๋ โบ่ เป็นสมาชิกของนิกายโลกวิญญาณของข้า ด้วยเหตุผลนี้เจ้าจะมาหาว่าข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นไม่ได้แล้วนะ”
‘สู่ จงหยู’ ยิ้มและพูด คำพูดของ ‘สู จงหยู’นั้นมีการเยาะเย้ยแฝงไปด้วย
“ดี งั้นข้าขอดูหน่อยว่าเจ้าจะปกป้องพวกเขายังไง.”
‘เจี่ย ฉิงหมิง’ พูดจบ ก็ปล่อยออร่าสีแดงออกมาจากร่างกายของเขาเห็นได้ชัดว่า ยุทธภัณฑ์ชั้นยอดของ’เจี่ย ฉิงหมิง’ นั้น เร็วขึ้นและน่ากลัวกว่าตอนที่ปะทะกับ’มู่หรง ยู๋’ เพราะ’เจี่ย ฉิงหมิง’ต้องการที่จะจัดการกับ ‘สู จงหยู’ ให้ได้อย่างรวดเร็ว
หากเขาสามารถจัดการ ‘สู จงหยู’ ได้ นิกายโลกวิญญาณก็เหมือนเสียศิษย์ที่เป็นหน้าเป็นตาของนิกายไป
“เจี่ย ฉิงหมิง ดูเหมือนว่า เจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าด้วยพลังของเจ้าได้อย่างนั้นสินะ จึงได้ใช้พลังของยุทธภัณฑ์ชั้นยอดเข้าช่วย อย่างไรก็ตามเจ้าคิดผิดไปอย่างนึงนะ ไม่ใช่เจ้าคนเดียวหรอกนะที่จะมียุทธภัณฑ์ชั้นยอดน่ะ “
‘สู จงหยู’ที่ต้องเผชิญหน้ากับออร่าสีแดงที่โจมตีมายังเขา เขาเพียงยิ้มและกระทำบางอย่างจากนั้นก็มีแสงสีทองพุ่งออกมาจากตัวเขา แสงสีทองนั้นพุ่งออกมาราวกับเป็นแสงที่มาจากพระอาทิตย์ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อแสงสีทองนั้นผู้ออกมาก็มีเสียงบางอย่างคำรามออกมาด้วย
เสียงคำรามนั้นคล้ายเสียงคำรามของมังกร จู่ๆก็มีมังกรปรากฏตัวออกมาจากแสงสีทองนั้น
* ตุ้ม*
แสงสีทองและออร่าสีแดงนั้นได้ปะทะกัน พื้นดินที่อยู่ใต้เท้าพวกเขาเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย พลังที่น่ากลัวนี้เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างยุทธภัณฑ์ชั้นยอดทั้ง 2
“ยุทธภัณฑ์ชั้นยอด มันคือยุทธภัณฑ์ชั้นยอดจริงๆ ทำไมนิกายโลกวิญญาณถึงมียุทธภัณฑ์ชั้นยอดล่ะ”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของ’เจี่ย ฉิงหมิง’เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหนักเพราะเขาจำได้ว่าสมาคมโลกวิญญาณนั้นไม่มียุทธภัณฑ์ชั้นยอดไว้ในครอบครองเลย
“นั่นคือยุทธภัณฑ์ชั้นยอด ของราชวงศ์เจียง เกราะมังกรทอง นิกายโลกวิญญาณแลกมันด้วยทรัพย์สินมหาศาล เหตุผลที่ทำเช่นนั้นคือ นิกายไม่ต้องการให้ สู จงหยู พ่ายแพ้ต่อ เจี้ย ฉิงหมิงที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน “
‘กู โป๋’กระซิบกับ’ชู เฟิง’
“โอ้?”
‘ชูเฟิง’อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ การที่จะซื้อยุทธภัณฑ์ชั้นยอดจากราชวงศ์เจียงได้ มันทำให้เห็นว่านิกายโลกวิญญาณนั้นมีความมั่งคั่งไม่น้อย
“สู จงหยูมียุทธภัณฑ์ชั้นยอด ข้าไม่คิดเลยว่านิกายโลกวิญญาณจะซ่อนยุทธภัณฑ์ชั้นยอด ชิ้นนี้ไว้ “
“ข้าเคยได้ยินว่า เจี่ย ฉิงหมิงนั้นเคยปะทะกับสูจงหยูด้วยพลังของเขา เขาต้องการใช้พลังของตัวเองในการเอาชนะสู จงหยูแต่มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะผลแพ้ชนะนั้นไม่แน่นอนได้สลับกันแพ้ชนะอยู่หลายครั้ง “
“และตอนนี้พวกเขาทั้งสองมียุทธภัณฑ์ชั้นยอด หมายความว่าผลที่เกิดขึ้นก็น่าจะทำนองเดียวกัน และตอนนี้ก็เป็นการปะทะของ 2 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป 9 อาณาจักร ระหว่างสู จงหยู และ เจี่ย ฉิงหมิงใครจะเป็นเอาชัยไปกันนะ”
ดั่งที่ฝูงชนได้พูดไว้ ความสามารถทั้ง2นั้นพอพอกัน เทคนิคการบ่มเพาะ ก็คล้ายๆกัน ผลการต่อสู้ของพวกเขานั้นอยากที่จะบอกได้เพราะพวกเขานั้นอยู่ในระดับเดียวกันอย่างแท้จริงในตอนนี้ทั้ง2นั้นทุ่มกำลังเต็มที่ในการใช้ยุทธภัณฑ์ชั้นยอด เพื่อที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามของตัวเขา
ในตอนนั้น ออร่าสีแดงก็มารวมตัวกันบนเสื้อของ ‘เจี้ย ฉิงหมิง’และได้ควบตัวแน่นจนกลายเป็นชุดเกราะ ชุดเกราะนั้นให้ความรู้สึกน่าขนลุกและน่ากลัวมากเพราะสีที่แดงเหมือนเลือดของมันแต่ทาง ‘สู จงหยู’ ก็ไม่น้อยหน้า แสงสีทองไม่ได้อ่อนแอลงเล็กน้อง แต่ว่าในจุดศูนย์กลางของแสงนั้นเห็นเป็นร่างของ’สู จงหยู’ที่สวมชุดเกราะสีทองและบนเกราะนั้นมีลวดลายเป็นมังกรอยู่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความน่าเกรงขามอย่างมาก
การต่อสู้ของทั้ง2นั้นทำให้เกิดรอยแตกบนพื้นดินโดยทั้ง2เป็นจุดศูนย์กลาง และรอยแตกได้กระจายออกไป ในตอนนั้น’ชูเฟิว’ และคนอื่นๆ แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญอาวุโสบางคนก็ถูกบีบให้ถอยออกไปด้วยพลังของยุทธภัณฑ์ชั้นยอด
“ท่าไม่ดีแล้ว พลังของยุทธภัณฑ์ชั้นยอดช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ถ้าปล่อยพวกเขาต่อสู้นานกว่านี้ข้ากลัวว่ายอดเขาแห่งนี้พังทลายลง “
ผู้อาวุโสจากนครอันทรงเกียรติ พูดด้วยน้ำเสียงกังวลทันใดนั้นบนท้องฟ้าพลันเกิดบางอย่าง พวกเขาเงยหน้าขึ้นและต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพลังที่ไม่ได้เป็นของยุทธภัณฑ์ชั้นยอดกำลังควบตัวแน่นอยู่บนอากาศและมีคนยืนอยู่บนนั้นร่างกายของของคนคนนั้นถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
เสื้อผ้าของเขานั้นโบกสะบัดอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับมือของเขาที่ขยับอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เขาได้พูดบางอย่างว่า
“อันทรงเกียรติ”
“นภา”
“เบิก!”
“หัตถ์!”
หัตถ์ เบิก ฟ้า ผ่าพิภพ!!! อะไรทำนองนี้หรือเปล่า
ทันใดนั้นหลังจากที่พูดจบร่างของเขาก็กลายเป็นแสงพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและพุ่งใส่ตรงกลางระหว่าง ‘เจี้ย ฉิงหมิง’ และ ‘สู จงหยู’
ตู้ม
หลังจากที่บุคคลนั้นพุ่งลงมาสู่ดินทำให้เกิดพลังมหาศาลแพร่กระจายออกไปพลังนั้นราวกับจะทำให้ท้องฟ้าสะเทือนและแผ่นดินแยกออกจากกันได้ในตอนนั้นชูเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็โดนพลังนี้โถมเข้าใส่อย่างรุนแรง
ความรุนแรงของพลังนี้แรงมากราวกับสามารถแยกร่างกายเขาออกเป็นชิ้นๆได้แต่โชคดีที่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในภายในฝูงชน ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มนั้นรีบออกมาด้านหน้าฝูงชนและวางรูปแบบวิญญาณด้วยพลังของผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดคลุมฟ้า
เพื่อป้องกันการบาดเจ็บให้ฝูงชนไว้ได้
ปล. ไอคำพูดมันคืออะไรก็งงเหมือนกัน หวังว่าจะมีเฉลยในตอนหน้านะ ผมก็แปลไปอ่านไปตามๆกันแหละ5555 ไม่ได้อ่านนำไปก่อน
ปล2. กลับไปอ่านปล.1 ใหม่
แปลโดยคุณ#
ที่มา: