ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปตอนที่ 6 : ซั่วหนิงปิงผู้เลอโฉม
เมืองหลวงที่ใหญ่โต ทำให้บนท้องถนนดูคับแคบอย่างเห็นได้ชัด ผู้หญิงที่นี่ใส่เสื้อผ้าแปลก ๆ สำหรับสายตาของหลานหลิงยามมองพวกน้อง แถมมีผู้หญิงบางคนเอาผ้ามาคลุมหน้าคลุมให้เห็นแต่ตาเพียงสองดวงอีกด้วย
โดยบ้านเรือนหรือสถานที่ต่าง ๆ มีอยู่ค่อนข้างเยอะ ทุกอย่างใกล้ถนนไปหมดคล้ายกับตึกแถวเสียจริง ๆ
กลิ่นหอมของเครื่องหอมทั้งผู้หญิงและผู้ชายปะปนกันเต็มท้องถนน ผสมกับกลิ่นสมุนไพรและเครื่องเทศต่าง ๆ ที่วางขายบนท้องถนนเต็มไปหมด ช่างเป็นกลิ่นรวมกันที่แปลกมาก
เย่จิงยื่อย่นจมูกและพูดออกมา “เมืองหลวงจื่อนี่เหม็นจริง ๆ”
หลานหลิงมองไปรอบ ๆ หน้าต่าง ภาพที่เขาเห็นคือภาพระหว่างเมืองจีนผสมกับโลกทางฝั่งตะวันตกอย่างอเมริกา ลอนดอนหรืออะไรพวกนี้ แถบไม่อยากเชื่อเลยว่าภาพพวกนี้ไม่เคยปรากฏในภาพยนต์ไหนมาก่อนแน่ ๆ
ถึงแม้ว่ารถที่เขานั่งมาจะไม่ต่างจากรถเกวียนธรรมดา ทว่ายามผู้คนเห็นต่างอดมองมันไม่ได้
“นั่นมันรถของนายหญิงตระกูลซั่วนี่? นางกลับมาแล้วงั้นหรือ?” ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านนอกพูดด้วยความประหลาดใจ
หลานหลิงยกม่านที่คุมหน้าต่างตัวรถขึ้น ด้วยหน้าตาที่ถูกเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วนั้น เมื่อเปิดหน้าตาออกมา ผู้คนที่เห็นต่างก็ตกใจด้วยท่าทีตื่นเต้น “นั่นนายน้อย…นายน้อยเขากลับมาแล้ว..”
สถานที่ที่เขาผ่านคือช่องแคบเล็ก ๆ ราวกับเป็นเขตซ่องสุมเหล่าอิสตรีโสเภณี
ผู้หญิงผู้นั้นถกกระโปรงแล้ววิ่งขึ้นมาบนลานที่รถกำลังขยับ
“นายน้อย นายน้อยกลับมาแล้วงั้นหรือ พวกเราคิดถึงนายน้อยเหลือเกิน…”
ผู้หญิงอีกหลายคนต่างรีบทำความเคารพหลานหลิงด้วยความปิติยินดีที่ได้พบ หลานหลิงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทันที สงสัยว่าอดีตซั่วหลุนนั้นต้องเป็นแขกที่มาสถานที่แถวนี้บ่อยแน่ ๆ เช่นนั้นพวกเหล่าโสเภณีคงไม่ตื่นเต้นเช่นนี้แน่
เย่จิงยื่อทำหน้ากระอักกระอ่วมที่จะพูด “นายน้อยของเราในอดีตนั้น เขาชอบมาแถวนี้บ่อย ๆ พวกผู้หญิงพวกนี้เลยค่อนข้างชอบใจนายน้อย เพราะนายน้อยจ่ายเงินหนักกับที่แห่งนี้บ่อย”
ชั่วขณะนั้น หลานหลิงเมื่อได้ฟังถึงกับตะลึงเลยทีเดียว ในช่วงที่อยู่โลกเก่า เขาเป็นพวกที่รักษาความรักใจเดียวมาตลอด แทบไม่อยากจะเชื่อว่าโชคชะตาจะผลักให้มาอยู่ในร่างของซั่วหลุนชายผู้มากรัก นี่เป็นปัญหาที่ยากจริง ๆ สำหรับหลานหลิง
เย่จิงยื่อรีบยกแส้และฟาดใส่ไปที่ม้าให้มันวิ่งเร็วขึ้นเพื่อหนีจากซ่องแถวนี้
………………………..
เขตเทียนสุ่ย (ขออนุญาตเปลี่ยนจากเทียนโซวเป็นสุ่ย) นั้นเรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงที่มีตระกูลทรงอำนาจคอยควบคุมกิจการภายในอาณาจักรอยู่ หลังออกจากซ่องไปได้ สภาพอากาศเริ่มเปลี่ยนไป มีกลิ่นหอมน่ารื่นรมย์มากยิ่งขึ้น แถวถนนกลับกว้างขวางกว่าเดิมที่เคยอยู่แถวเขตนั้น มีคนหลายคนควบม้าไปมาไม่เบียดซึ่งกันและกัน
ถนนถูกปูด้วยหินสีฟ้าและรายรอบไปด้วยผนังขนาดยาวและสูงเป็นส่วนใหญ่ เบื้องหลังกำแพงเหล่านั้นเป็นที่ของตระกูลที่มีอำนาจ
เนื่องจากถนนกว้างขึ้นและเต็มไปด้วยผู้คน จิงยื่อควบม้าช้าลงทำให้เห็นทิวทัศน์ได้มากขึ้นจากในตัวรถ จากนั้นนางก็หยุดควบม้าทันที
“เกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ? เรามาถึงแล้วใช่หรือไม่?” หลานหลิงถาม
เย่จิงยื่อกระโดดลงจากม้าและพูดกับหลานหลิงเบา ๆ “รีบลงมาเร็วเข้า แล้วทำความเคารพเร็ว!”
หลานหลิงรีบลงจากรถทันทีและยืนอยู่ข้าง ๆ จิงยื่อตรงริมถนนแล้วเขาก็งอตัวเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นรถคันหนึ่งหยุดลงและคนที่อยู่ในรถก็ลงมา
หลานหลิงประหลาดใจ คนผู้นี้เป็นใคร เหตุใดถึงต้องทำความเคารพด้วย? คนของราชวงค์งั้นหรือ?
หลังจากที่คนผู้นั้นลงมา กลิ่นหอมแปลก ๆ พลันลอยมาแตะจมูกของหลานหลิง มันเป้นกลิ่นบาง ๆ ทว่าส่งกลิ่นหอมได้ชัดเจน จากนั้นหลานหลิงเห็นคนสี่คนที่เดินมากลางถนน
สี่คนนั้นมีเสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะ ทั่วทั้งหน้าถูกปิดบัง มีเพียงดวงตาสองดวงเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น บ่งบอกได้ว่าหุ่นของนางพวกนั้นทรงเสน่ห์น่าชื่นชมยิ่งนัก หลานหลิงเพียงดวงตาก็รับรู้ได้เลยว่า ยามที่มองดวงตา มันสามารถทำให้จิตใจของมนุษย์สงบลงได้
แม่นางทั้งสี่เดินไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าพวกนางลอยผ่านไปต่อหน้าทุกคน แม้ว่าจะทำให้ถนนทั้งถนนเงียบไปก็ตาม
เมื่อพวกนางจากไปแล้ว ทุกคนต่างทำตัวตามปกติเช่นเดิม
หลังจากหลานหลิงเข้าไปในรถม้าแล้ว เขาอยากรู้ว่าพวกนั้นเป็นใครเพียงแต่ไม่กล้าที่จะถาม
“พวกนั้นคือทูตเหมันต์ของวิหารมังกรศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเป็นคนส่งสารจากพระเจ้าในโลกนี้ ไม่ว่าเจ้าจะพบเขาที่ใด เจ้าต้องยืนอยู่ข้างถนนและก้มหัวให้พวกเขาผ่านไปก่อน เจ้ามิอาจมองสบตาของพวกนางหรือเปล่งวาจาใด ๆ ออกมาได้” เย่จิงยื่อกล่าว
“เข้าใจแล้ว” หลานหลิงพยักหน้า คำว่าวิหารมังกรศักดิ์สิทธิ์ถูกสลักลงในใจของเขา เขาคิดว่าบางทีอาจจะเป็นกลุ่มที่คล้ายกับศาสนาของโลกที่สำคัญอย่างหนึ่งก็ได้
พวกเขาควบม้าไปจนถึงตัวเมืองด้านใน ภายในหนึ่งชั่วโมง เมื่อถึงแล้วก็หยุดควบม้าทันที เย่จิงยื่อกล่าว “นายน้อยถึงบ้านแล้วเจ้าค่ะ”
หัวใจของหลานหลิงเต้นอย่างรวดเร็ว เขาตื่นเต้นมากๆ เขาไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนเลยทั้งชีวิตของเขา
เขาเปิดประตูรถและจ้องไปยังที่ที่เขามาถึง
…………………………………
ประตูทางเข้าทำจากหยก พื้นที่ข้างในกว้างขวางและดูฟุ่มเฟือนยิ่งนัก จริง ๆ แล้วนี่เป็นแค่ทางเข้าบ้านเพียงเท่านั้น
สองประตูหน้ามีหินรูปสิงโตวางไว้ก่อนประตู ตั้งไว้เพื่อเป็นสิริมงคล ส่วนป้ายชื่อตระกูลหลอมด้วยทองคำ
กำแพงรอบ ๆ มีสีเขียว ความสูงของมันสูง 4 ถึง 5 เมตรได้ ไม่อาจมองเห็นถึงข้างในได้เลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงต้นไม้ที่ผุดมาเหนือกำแพงเท่านั้น
หลานหลิง เขาเกิดมาในสถานะชนชั้นกลางในโลกเก่า อาศัยอยู่ในบ้านเก่า ๆ จนอายุเกือบ 20 ปี ที่ที่เขามานี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบ้านจริง ๆ มันมีพื้นที่เหลือเฟือเยอะมาก ๆ มากเสียจนเขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี
พอมองดี ๆ ป้ายที่หน้าประตูของเขานั้นเริ่มลอกออกไปบ้าง แถมต้นไม้ก็เริ่มยาวไม่ได้ถูกตัดแต่งใด ๆ ขณะที่ประตูหน้าเริ่มปิดลง พอปิดลงกลับไม่ได้ยินเสียงจากสถานที่ที่อยู่ข้างในเลยแม้แต่น้อย คฤหาสน์ขนาดใหญ่แห่งนี้ ช่างให้ความรู้สึกไม่น่ารื่นรมย์เลยจริง ๆ
“นายน้อยโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานนายหญิงก่อน” เย่จิงยื่อกล่าว
ในความเป็นจริง เย่จิงยื่อเป็นกังวลอย่างมาก เพราะการที่ให้หลานหลิงปลอมตัวเป็นนายน้อยตระกูลซั่วเช่นนี้ เป็นความคิดของนาง นายหญิงน้อยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แม้ว่านายหญิงน้อยจะถือว่านางเปรียบดั่งพี่สาว และนายหญิงน้อยคือผู้ที่นางยกย่องให้เป็นนายอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ที่หัวหน้าตระกูลยังอยู่ หัวหน้าเขามักนอนป่วยอยู่ที่เตียงประจำ ส่วนนายน้อยนั้นชอบกระล่อนไปทั่วจึงไม่อาจพบเห็นได้บ่อยนัก มีเพียงนายหญิงน้อยเท่านั้นที่นางเห็นและชื่นชมอย่างแท้จริง
การปล่อยให้หลานหลิงปลอมตัวเป็นซั่นหลุนเช่นนี้ นายหญิงน้อยคงไม่เห็นด้วยแน่ ๆ บางทีอาจทำให้ตระกูลล่มสลายได้ทันที แถมนางยังกลัวความผิดที่นางตัดสินใจบู่มบ่ามอีกด้วย ต่อให้หลานหลิงยิ้มเพื่อให้นางคลายกังวล ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้
เพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ทำให้เย่จิงยื่อยิ้มเจื่อน ๆ ได้ก็ยังดี นางหายใจเข้าลึกๆ และเดินไปที่ประตู นางเอื้อมมือไปเคาะมัน
“นายของตระกูลไม่สะดวกที่จะรับแขกใด ๆ ทั้งนั้น ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติเอ่ยนามไว้ แล้วค่อยมาเยี่ยมเยือนในวันหลังเถิด” เสียงคนมีอายุดังมาจากข้างใน
“พ่อบ้าน ข้ากลับมาแล้ว” เย่จิงยื่อพูด
มีเสียงกระทบกระทั่งเกิดขึ้นภายในห้อง เสียงชายชราสั่นไหวและถามกับจิงยื่อว่า “เย่จิงยื่อ..นายน้อยล่ะ นายน้อย”
เย่จิงยื่อไม่ตอบ นางเดินเข้าไปในตัวบ้านทันที
แม้ว่าคนรับใช้ผู้นั้นจะทำข้าวของพังเพราะความตื่นตระหนกเมื่อกี้ แต่เย่จิงยื่อหาได้สนใจมันไม่
พวกเขาเป็นกังวลกันมาก กลัวว่านายน้อยของเขาจะกลับมาหรือไม่ ไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งหมดเคารพนายน้อย หากแต่นายน้อยไม่กลับมาที่ตระกูลและควบคุมเมืองเทียนสุ่ยแล้ว ตระกูลซั่วคงล้มสลายแน่นอน
………………………………………………..
แน่นอนว่าลูกสาวเจ้าเมืองตระกูลซั่วผู้คุมเมืองเทียนสุ่ยนั้น มีหรือจะไม่ธรรมดา ซั่วหนิงปิง ความงามของนางเป็นที่รู้กันในอาณาจักร แม้แต่เจ้าหญิงยังยากที่จะประจันกับนาง
ก่อนหน้านี่ด้วยวัยอายุ 13 ปีของนาง มีงานเลี้ยงเกิดขึ้นในวัง กษัตริย์ของอาณาจักรอย่างจื่อเบี๋ยนยังต้องตกตะลึงกับความงามของนาง ความงามของนางเปรียบได้ดั่งนางฟ้าลงมาจุติก็ไม่ปาน…
ฉายาของซั่วหนิงปิงคือภูตแห่งสวงสวรรค์ ฉายาของนางเป็นที่รู้จักกันทั้งอาณาจักร ในด้านความงามของนาง
ซั่วหนิงปิงยืนอยู่ด้านหน้าของเย่จิงยื่อ นางสวมชุดสีขาว ผมของนางเป็นบรอน ๆ แสดงให้เห็นว่านางแต่งงานแล้ว มีผ้าสีขาวพันรอบ ๆ ตัวนาง หมายถึงนางกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้แก่พ่อของนาง
หน้าของนางซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด แต่ความงามของนางมิได้ลดละแต่อย่างใด ด้วยเสน่ห์ของหนิงปิง ทำให้เยจิงยื่อกลืนน้ำลายไปสามอึกเลยทีเดียว
“เย่จิงยื่อ เจ้ากลับมาแล้วงั้นหรือ?” นายหญิงน้อยได้พูด เสียงของนางแหบพร่า เพราะนางต้องร้องไห้เกือบตลอดเวลา
เย่จิงยื่อปิดประตูแล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตุว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ก่อนที่จะไปกระซิบให้นายหญิงน้อยของนางได้รู้ “นายหญิงน้อย หากข้าพูดเรื่องใดไป ขอท่านโปรดอย่าทำเสียงใด ๆ ออกมาและอย่าปล่อยให้คนอื่นได้ยิน”
หน้าอันงดงามของซั่วหนิงปิงเปลี่ยนไปในทันที นางพยักหน้าเป็นการตอบรับ
“นายน้อยตระกูลซั่วตายแล้ว เราพบร่างของเขาในหุบเขาอสูรสวรรค์”
หนิงปิงทันทีที่ได้ยิน นางถึงหลั่งน้ำตาออกมา นางเอามือกุมปากเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกมา เวลานี้นางทรงตัวยืนไม่ได้จริง ๆ จึงต้องนั่งลงบนเก้าอี้
เพียงเวลาสั้น ๆ นางถึงกับเสียสมาชิกในครอบครัวไปถึงสองคน แถมทั้งสองคนต่างเป็นบุคคลที่นางรักมาก
“นายน้อยตระกูลซั่วได้เสียชีวิตแล้ว หากการตายของเขาล่วงรู้ไปถึงหูของราชวงศ์ เมืองเทียนสุ่ยคงตกเป็นของราชวงศ์แน่ ๆ ประวัติอันยาวนาน 200 กว่าปีคงล่มสลายลงไป” จิงยื่อได้กล่าว
ซั่วหนิงปิงร้องไห้อย่างไม่มีท่าจะหยุด “ข้าบอกเขาหลายครั้งแล้ว ข้าบอกหลุนไว้แล้วว่าอย่าไปตื้อองค์หญิงจื่อหนิงให้มาก ไม่เช่นนั้นตระกูลซั่วอาจประสบปัญหาในภายหลังได้”
เย่จิงยื่อถอนหายใจหนัก นางเข้าใจบุคลิกของนายน้อยดีว่าเป็นคนเช่นไร นายน้อยไม่เกรงกลัวใคร เขาคือผู้ที่มากด้วยความรัก สิ่งที่เขากลัวมีเพียงพี่สาวของเขา คือหนิงปิงผู้นี้ เพราะเวลาหนิงปิงโกรธ ในสายตาของเขา นางคืออสูรร้ายดี ๆนี่เอง
“นายหญิง ทว่าข้าหาวิธีที่จะรักษาตระกูลซั่วเอาไว้ได้อยู่” เย่จิงยื่อยืนตัวตรงแล้วคุกเข่าลงในทันที “ทว่าครั้งนี้ข้าตัดสินใจกระทันหันจนเกินไป หากจะกล่าวโทษ ความผิดครั้งนี้ขอให้ลงโทษข้าแต่เพียงผู้เดียว”
“ลุกขึ้นแล้วพูดมาเถิด” หนิงปิงกล่าว
“ข้าหาคนที่จะสวมรอยเป็นนายน้อยตระกูลซั่วได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครจับได้แน่ ข้ามั่นใจ” เย่จิงยื่อยังไม่ยืนขึ้น ยังคงคุกเข่าเพื่อรับทราบในสิ่งที่ตนทำ มันคือการกระทำที่อุกอาจเกินไปหน่อย “หากนายหญิงน้อยคิดจะลงโทษข้า ขอให้ลงโทษเลยทันที”
ซั่วหนิงปิงตกใจมาก ไม่กล้ามองไปที่เย่จิงยื่อเลยแม้แต่น้อย