I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Martial God Asura ตอนที่ 469 – คำขอของ ชูเฟิง

| Martial God Asura | 2540 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

“เจ้าหนุ่ม รีบวางรูปแบบเคลื่อนย้าย และส่งยาพิษนั่นมาให้ข้า ข้าจะกินมัน”

สัตว์ยักษ์ กล่าวพลางยิ้มบางๆ มันไม่ได้สนใจอีกแล้วว่า ยาพิษนั่นจะฆ่ามันหรือเปล่า

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘ชูเฟิง’ จึงรีบวางรูปแบบเคลื่อนย้ายทันที ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการทำงานนั้น หัวใจของเขาก็สั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น เพราะรูปแบบเคลื่อนย้ายนั้น ไม่ใช่รูปแบบที่ผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณระดับชุดคลุมสีฟ้าจะทำได้

ดังนั้น ‘ชูเฟิง’ จึงเชื่ออย่างสนิทใจกับคำกล่าวของ ‘ต้านต้าน’ ว่า สัตว์ยักษ์นั้น เป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณระดับชุดคลุมสีม่วง

และผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณระดับชุดคลุมสีม่วงก็สามารถช่วยเหลือ ‘ซูรู่’ และ ‘ซูเหม่ย’ ได้ อีกทั้งยังอาจนะสามารถคือนขีพให้กับ ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า นี่หมายความว่า การทำงานอย่างหนักของ ‘ชูเฟิง’ จะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน

หลังจากเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ‘ชูเฟิง’ ก็วางรูปแบบเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์ และส่งยาพิษที่ ‘ต้านต้าน’ เอาออกมาให้แก่สัตว์ยักษ์ หลังจากนั้น ใบหน้าของ ‘ชูเฟิง’ ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะว่า เมื่อสัตว์ยักษ์กินยาพิษนั่นเข้าไป มันกลับตะโกนออกมาว่า “อร่อย !!” ด้วยใบหน้าที่ร่าเริง

“เอาล่ะ !! ข้าได้ทำตามที่พวกเจ้าเรียกร้องแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าก็ทำตามข้า เจ้าเปิดใช้งานรูปแบบอำนานพลังวิญญาณ เพื่อประสานงานร่วมกับรูปแบบอำนาจพลังวิญญาณของข้า หลังจากนี้สิบวัน ข้าก็จะสามาาถออกจากที่นี่ได้”

สัตว์ยักษ์ กล่าวหลังจากกินยาพิษเข้าไป

“ผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องจะขอร้อง”

‘ชูเฟิง’ กล่าว

“เจ้าหนุ่ม กล่าวความต้องการของเจ้าออกมา การที่เจ้าช่วยข้าให้ได้รับอิสรภาพ เท่ากับว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า หากเรื่องที่เจ้าต้องการ ข้าสามารถทำมันได้ ข้าก็จะทำมัน”

สัตว์ยักษ์ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา มันกล่าวออกมาพร้อมกับลูบไปที่หน้าอก และศรีษะของมัน

หลังจากนั้น ‘ชูเฟิง’ ก็กล่าวคำขอของเขาออกมา นั่นคือการช่วยเหลือนิกายโลกวิญญาณให้ได้รับชัยชนะ และการช่วยเหลือ ‘ซูรู่’ และ ‘ซูเหม่ย’

ส่วนเรื่องช่วยเหลือ ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า นั้น เนื่องจากเขาต้องการให้ ‘ชูเฟิง’ ช่วยเหลือ ดังนั้น หากเขายังไม่ได้อนุญาต ‘ชูเฟิง’ จึงไม่ได้กล่าวขอร้องออกไป

สัตว์ยักษ์ได้ตอบตกลง ‘ชูเฟิง’ อย่างไม่ลังเล นี่นทำให้ ‘ชูเฟิง’ มีความรู้สึกที่ดีต่อสัตว์ยักษ์มากขึ้น

หลังจากได้รับคำยืนยันแล้วนั้น ‘ชูเฟิง’ จึงเปิดการทำงานรูปแบบอำนาจพลังวิญญาณของเขา เพื่อประสานงานกับรูปแบบอำนานพลังวิญญาณของสัตว์ยักษ์ มันยังคงต้องใช้เวลาอย่างมากในความสำเร็จระยะสั้น แต่มากสึดก็ไม่เกินสิบวันเท่านั้น

ความจริงนั้น เมื่อเทียบเวบาที่สัตว์ยักษ์ถูกขังในนี้กว่าร้อยปี เวลาแค่สิบวันนั้น ไม่ได้มากมายสำหรับมันแม้แต่น้อย

แต่ในขณะนี้ ได้เกิดสงครามระหว่างสองมหาอำนาจ มันเป็นสงครามที่สามาาถทำให้ทั้ฝโลกต้องสั่นสะเทือน ผลแพ้ชนะ อาจจะปรากฏได้ภายในชั่วพริบตาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม โชคยังดีที่ อัจฉริยะทั้งสองของสองมหาอำนาจ คือ ‘เจี่ย ฉือ’ และ ‘กู๋ เทียนเซิน’ ไม่ได้ทุ่มพลังทั้งหมดลงไปในสงคราม พวกเขายังคงเฝ้ามองเหล่าทายาทของพวกเขาเข้าห้ำหั่นกัน

ในทุกๆ ครั้งที่เหล่าทายาทของพวกเขาไม่อาจต้านรับได้ และต้องล่าถอยเข้าสู่อันตราย พวกเขาทั้งสองคนจะกระจายอำนาจพลังของพวกเขาเข้าช่วยเหลือ และหยุดการต่อสู้ เหตุนี้เองจึงทำให้ผู้ที่ตายลงมีจำนวนน้อยอย่างมาก

ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็ทำให้ผู้คนมากมายให้ความเคารพนับถือมากขึ้น ไม่เพียงแต่คฝามแข็งแกร่งของพวกเขา ที่สามารถบดขยี้ศัตรูได้อย่างราบคาบ แต่พวกเขายังสามารถปกป้องคนของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งนี่ไม่ใบ่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สงครามครั้งนี้ จึงไม่อาจเรียกว่าสงครามได้เต็มปากนัก เนื่องด้วยจำนวนคนที่ล้มตาม และอาคารที่พังทลาย หรือแม้แต่พื้นที่ของสงครามนั้นน้อยมาก

แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่อาจคงอยู่ได้นานนัก เพราะด้วยประสมการณ์ทางการสงครามของ ‘กู๋ เทียนเซิน’ นั้นน้อยกว่า จึงทำให้นิกายโลกวิญญาณเริ่มจะได้รับผลเสียเพิ่มมากขึ้น

***** ตูมมมมม *****

ในขณะนั้น ได้มีระเบิดเกิดขึ้นกลางท้องฟ้ายามราตรี มันสว่างจ้าจนทำให้พื้นดินที่มืดมิดกลับมาสว่างอย่างชัดเจน

ในเวลาเดียวกันกับที่มีเสียฝระเบิดดังขั้นนั้น ได้มัวัตถุบางอย่างตกลงมาจากท้องฟ้า กระแทกเข้ากับพื้นแผ่นดินจนสั่นสะเทือน กลุ่มควันพลันลอยคละคลุ้งขึ้นมาในทันที

“ท่านบรรพบุรุษ !!”

ในขณะนั้น สมาชิกของกิลด์โลกวิญญาณรู้ได้ทันทีว่า ผู้ที่สามารถทำให้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่นี้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสองยอดอัจฉริยะ ‘เจี่ย ฉือ’ และ ‘กู๋ เทียนเซิน’ และคนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าก็คือ ‘กู๋ เทียนเซิน’

“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไร !!”

‘กู๋ เทียนเซิน’ ลุกขึ้นยืน และกล่าวออกมาอย่าราบเรียบ จากนั้นเขาก็กลายเป็นลำแสง พุ่งทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า และหยุดอยู่กลางอากาศ

‘กู๋ เทียนเซิน’ ในขณะนั้น เสื้อผ้าของเขายังคงขาวสะอาด ไม่มีแม้แต่ไรฝุ่นที่จับตามเสื้อผ้า อีกทั้งไม่มีแม้แต่ร่องรอยของอาการบาดเจ็บปรากฏออกมาแม้แต่น้อย

เมื่อเห็น ‘กู๋ เทียนเซิน’ ไม่มีอะไรผิดปกติ สมาขิกของนิกายโลกวิญญาณก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะ ‘กู๋ เทียนเซิน’ คือกำลังหลักของพวกเขา ภายใต้สงครามในหลายวันที่ผ่านมานั้น พวกเขารอดมาได้เพราะ ‘กู๋ เทียนเซิน’ หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา แน่นอนว่าทุกคนที่เป็นสมาชิกของนิกายโลกวิญญาณจะต้องตายอย่างแน่นอน

เมื่อเทียบความผ่อนคลายในจิตใจของสมาชิกนิกายโลกวิญญาณแล้วนั้น ผู้นำนิกายโลกวิญญาณคนปัจจุบัน และเหล่าผู้อาวุโสกลับมีความวิตกกังวลอยู่ภายในหัวใจของพวกเขา

เพราะพวกเขารู้ดีว่า ออร่าของ ‘กู๋ เทียนเซิน’ นั้น อ่อนแรงลงไป มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เขากำลังได้รับบาดเจ็บ และกำลังได้รับความทรมานจากบาดแผลภายในร่างกายของเขา ที่เขาต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรนั้น เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้เหล่าวสมาขิกของนิกายโลกวิญญาณต้องเสียขวัญกำลังใจไป สุดท้าย ถ้าพวกเขาสามารถรับรู้ได้ แล้วทำไม ‘เจี่ย ฉือ’ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ได้

“กู๋ เทียนเซิน เจ้าอ่อนแอลงไปนะ ในคืนนี้ นิกายโลกวิญญาณจะต้องถูกทำลาย แม้แต่เจ้าก็ไม่อาจรอดพ้นคืนนี้ไปได้”

‘เจี่ย ฉือ’ หัวเราะออกมาเสียงดัง ด้วยความเย้ยหยัน

“เจี่ย ฉือ อย่าได้ลำพองมากไปนัก ตราบใดที่ข้า กู๋ เทียนเซิน ยังอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรกับนิกายโลกวิญญาณของข้าอย่างเด็ดขาด”

‘กู๋ เทียนเซิน’ สูดหายใจเข้าอย่างเยือกเย็น พร้อมกับปลดปล่อยพลังขั้นแดนสวรรค์ออกมา พลันบรรยากาศรอบตัวของเขาก็บิดตัวอย่างรุนแรง จนในที่สุดก็แตกออก จนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น

จากนั้นร่างกายของ ‘กู๋ เทียนเซิน’ ก็กลายเป็นประกายแสง และพุงเข้าใส่ ‘เจี่ย ฉือ’ ราวกับดาวตกสีแดง

“น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าเจ้าจะทุ่มพละงทั้งหมดโจมตีข้า แต่เจ้าก็ไม่อาจอำชนะข้าได้”

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ ‘กู๋ เทียนเซิน’ พุ่งโจมตีใส่ ‘เจี่ย ฉือ’ อย่างรวดเร็วนั้น ‘เจี่ย ฉือ’ กลับไม่มีได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย บนใบหน้าของเขายังคงประดับไผด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างเด่นชัด

..

แปลโดยคุณ#

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments