ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ชูเฟิง ปู่ของข้าได้พูดไว้ว่า ชายแดนภูมิภาคทะเลตะวันออก ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของโลกนี้ เหตุผลที่มันถูกเรียกว่า ภูมิภาคทะเลตะวันออกก็เพราะ ยังมี ภูมิภาคทะเลเหนือ ใต้ และตะวันตก อยู่อีก “
“และในใจกลาง ของภูมิภาคทั้ง4นั้น มีดินแดนลึกลับที่ถูกเรียกว่า เป็นสวรรค์ของผู้ฝึกตน อัจฉริยะทุกคนล้วนต้องการเข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น “
“ในดินแดนลึกลับนั้นปู่ข้าได้บอกไว้ว่า กายศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่ได้หายากเลยเพราะดินแดนนั้นมีอัจฉริยะทั่วทั้งโลกรวมตัวกัน และที่แห่งนั้นเป็นประเภทแบบว่า ผู้ชนะคือถูกผู้แพ้คือผิด เป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ “
” ข้อมูลของสถานที่ที่เรียกว่าดินแดนลึกลับนั้น แม้แต่ปู่ของข้าก็ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะท่านไม่เคยก้าวเข้าไปในที่แห่งนั้น “
“สถานที่นั้นเป็นเหมือนตำนาน เพราะที่แห่งนั้นไม่สามารถเข้าไปได้ตามต้องการ แต่ปู่ของข้าบอกไว้ว่า มีแต่ผู้เชี่ยวชาญในระดับสูงมากเท่านั้นที่สามารถเข้าไปยังที่แห่งนั้นได้ “
“ชูเฟิง โลกนี้นั้นใหญ่มาก ใหญ่เกินกว่าที่เราจะคิด นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ก็มีมากมาย “
“ในทวีปเก้าอาณาจักรที่เราอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับ หมู่บ้านบนภูเขารกร้าง คนภายนอกจึงไม่อยากที่จะเข้ามา แต่คนที่นี่นั้นเหมือนกับเป็นคนที่พึงพอใจในอะไรๆได้ง่ายมาก พวกเขาพอใจที่จะอยู่ในดินแดนเล็กๆแห่งนี้ “
” ดังนั้นเราไม่สามารถเดินอย่างสง่าผ่าเผยและบอกด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นคนจากทวีปนี้ได้ “
“อย่างพวกเราที่มีร่างกายที่แสนพิเศษแบบนี้ก็เหมือนกับว่าเป็นขยะที่มีพรสวรรค์เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีใครมายกย่องเราหรือเกรงกลัวเราเลยนอกจากคนในทวีปแห่งนี้ที่เดิมแล้วพวกเขานั้นไม่สามารถก้าวเข้าไปสู่ในระดับที่จะสู้กับโลกภายนอก “
“เจ้าและข้ามีชะตาที่ต้องออกจากโลกแห่งนี้ และไม่เพียงก้าวเข้าไปยัง ภูมิภาคทะเลตะวันออกเท่านั้น พวกเรายังต้องเข้าไปสู่ดินแดนลึกลับที่เป็นเหมือนตำนานด้วย “
“เราไม่ควรถูกเรียกว่าอัจฉริยะในที่แห่งนี้ เพราะเห็นว่าพวกเรานั้นเป็นความหวังของทวีป ด้วยความสามารถกระจอกๆของพวกเขา พวกเราไม่ควรถูกเรียกว่าอัจฉริยะ แต่เราควรถูกเรียกว่าพระเจ้า “
“สิ่งที่เราต้องทำคือไม่เพียงเป็นอัจฉริยะในสายตาพวกเขา แต่พวกเราต้องเป็นอัจฉริยะใน ภูมิภาคทะเลตะวันออก แม้ว่าที่นั่นจะเป็นศูนย์รวมของอัจฉริยะหลายทวีปในภูมิภาคทะเลตะวันออก แต่พวกเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขา หลังจากที่เราเข้าไปที่นั่นแล้วเราจะพบคนที่มีความแข็งแกร่งในทุกๆที่ “
‘จื่อ หลิง’พูด ในตอนนั้น อารมณ์ชูเฟิงซับซ้อนมาก เลือดในร่างกายของเขาเหมือนถูกต้มและเขารู้สึกว่าเหมือนกำลังโดนปิ้งอยู่บนเตาถ่าน แม้ว่า ‘ต้านต้าน’ จะเคยเตือนเขาแล้วว่าที่นี่นั้นเป็นแค่พื้นที่เล็กในโลก และภายนอกนั้นยังมีโลกที่กว้างใหญ่และมีบุคคลที่เกินกว่า’ชูเฟิง’จะคิด
ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็ยังคงมองอยู่ภายในแค่ ทวีปเก้าอาณาจักรนี้ แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของ ‘จื่อ หลิง’
‘ชูเฟิง’จึงคิดได้และตระหนักได้ว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้อีกมาก ในทวีปของเขา เขาถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะที่มีพลังท้าทายสวรรค์ แต่สายตาจากคนภายนอกเขาอาจจะเป็นขยะ ในตอนนั้น’ชูเฟิง’เหมือนได้รับการจุดประกาย
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเขาควรจะมุ่งหน้าไปทางไหน เขายังคงต้องการกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะในทวีปเก้าอาณาจักรนี้มันคงไม่พอสำหรับเขา เป้าหมายในตอนนี้ของเขานั้นไม่เพียงแค่ภูมิภาคทะเลตะวันออกที่มี่ผู้เชี่ยวชาญอยู่ทุกที่ แต่มันเป็นศูนย์กลางของโลกที่มี อัจฉริยะอยู่เพียบ เป็นดินแดนลึกลับที่มีแต่อัจฉริยะเท่านั้นที่สามารถยืนอยู่ได้
“ถ้า จื่อ หลิงมาจาก ภูมิภาคทะเลตะวันออก แล้วตัวข้าล่ะข้ามาจากไหน”
“พ่อแม่ของข้า ครอบครัวของข้า พวกท่านอยู๋ที่ไหนกัน พวกท่านยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ “
‘ชูเฟิง’มองขึ้นไปบนฟ้า และในใจของเขานั้นอยากออกจากทวีปนี้แล้วมุ่งสู่ดินแดนใหม่เต็มทีแล้ว
“เอาล่ะ ชูเฟิงได้เวลาแล้ว พวกเราไปสำนักเทพอัคคีกัน หลังจากที่ไปล่อเจ้าสำนักออกมา พวกเราจะเข้าไปปล้นทุกอย่างจากสำนักนั้น และให้บทเรียน ต่อการกระทำที่แสนโหดร้ายของพวกมัน “
ในตอนนั้น ‘จื่อ หลิง’ พูด และยิ้ม
“อืม มันถึงเวลาที่จะให้พวกเขาได้ชดใช้แล้ว “
เมื่อได้ยินคำพูดของ’จื่อ หลิง’
‘ชูเฟิง’จึงยิ้มแล้วพูดออกมา หลังจากนั้น ‘จื่อ หลิง’ ก็ใช้ยอดยุทธภัณฑ์ของเธอ วิ่งกลับไปยังสำนักเทพอัคคีกับ’ชูเฟิง’อย่างรวดเร็ว เมื่อ’ชูเฟิง’ และ’จื่อ หลิง’ กลับไปยังสำนักเทพอัคคี ผู้อาวุโสที่กลับมาแจ้งข่าวก็ยังมาไม่ถึง พวกเขาทั้ง2 ต้องรอเป็นเวลา2 วันก่อนที่ ผู้อาวุโสคนนั้นจะกลับมาถึง
สำนักเทพอัคคี เมื่อ’ชูเฟิง’ และ’จื่อ หลิง’ รู้ว่าผู้อาวุโสกับมาแจ้งข่าวให้เจ้าสำนักเทพอัคคีแล้วเจ้าสำนักเทพอัคคีจึงรีบเคลื่อนไหวทันที จากนั้นเจ้าสำนัก เทพอัคคีก็บินออกไป และด้านหลังเขามีผู้เชี่ยวชาญระดับอาณาจักรสวรรค์ 11 คนตามออกไปด้วยและผู้อาวุโสที่มาแจ้งข่าวก็อยู่ในกลุ่มนั้นเหมือนกัน
หลังจากพวกเขาออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ณฺที่ไม่คาคคิด พวก’ชูเฟิง’จึงรออีกครึ่งและหลังจากครึ่งวันนั้น เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักเทพอัคคียังไม่กลับมาพวกเขาจึงแอบลอบเข้าไปยังสุสานเป็นอันดับแรก
สุสานของสำนักเทพอัคคีนั้นกว้างใหญ่มาก โดยปกติแล้วหลุมศพนั้นจะอยู่ใต้ดิน แต่ที่นี่ครึ่งหนึ่งอยุ่บนดินส่วนอีกครึ่งถูกฝังอยู่ใต้ดิน หลุมศพที่อยู่เหนือพื้นดินนั้นเหมือนตำหนักขนาดใหญ่ภายนอกตำหนักนั้นมีกำแพงสูงล้อมอยู่ ภาพรวมของสถานที่แห่งนี้เหมือนเมืองร้าง
และตรงประตูเมืองมีข้อความอยู่ ข้อความนั้นเขียนว่า: ” ที่ฝังศพ เทพอัคคี”
ในตอนหน้าของประตูนั้น มีศิษย์หลัก2 คนยืนอยู่ ศิษย์หลัก 2 คนนั้นอยู่ในระดับแก่นแท้วิญญาณ พวกเขายืนตรงแด่วเหมือนหอกถูกตั้งไว้ และไม่ขยับเขยื้อนเลย ‘ชูเฟิง’ และ ‘จื่อ หลิง’ ไม่เพียงรู้ว่า พวกเขาเป็นผู้เฝ้าหลุมศพเท่านั้น
แต่นั่นบอกได้ว่าหลุมฝังศพนี้มีค่ามากแค่ไหนสำหรับสำนักแห่งนี้ เพราะพวกเขานั้น ใช้ศิษย์หลักกว่า พันคน ในการป้องกันสถานที่แห่งนี้ ศิษย์หลักที่เฝ้าอยู่ในที่แห่งนี้ เกือบทั้งหมดมีพลังในระดับแก่นแท้วิญญาณ
และที่เหลือนั้นอยู๋ในระดับสูงสุดของเขากำเนิดวิญญาณ นอกจากนี้ ยังมีผู้อาวุโสอีกประมาณร้อยคน การบ่มเพาะของพวกเขานั้นสูงมาก พวกเขานั้นแทบจะอยู๋ในจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้วิญญาณ ส่วนใหญ๋พวกเขาอยู่ใน ระดับ 7 และมีบางคนอยู่ในระดับ 9 นอกเหนือจากคนเฝ้าหลุมพวกนี้แล้ว
ในหลุมศพเทพอัคคีนั้นยังมีกลไกแทบทุกรูปแบบอยู่ข้างในนั้น มีแม้กระทั่งระฆังที่สำหรับแจ้งเตือนถึงผู้บุกรุก ไม่ว่าผู้บุกรุกจะเข้าไปในสถานที่นี้ยังไงถ้าพวกเขาถูกพบพวกเขาจะทำให้ระฆังนั้นทำงานทันที
และนั่นทำให้คนจากสำนักเทพอัคคีจะเข้ามาช่วยพวกเขา ดังนั้นเพื่อให้แนบเนียนที่สุด ภารกิจ’ชูเฟิง’ และ ‘จื่อหลิง’ นั้นไม่จำเป็นต้องฆ่าทุกคนในที่แห่งนี้พวกเขาต้องฆ่าเพียงแค่คนที่จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนเท่านั้น เพื่อไม่ให้เขาสั่นระฆังเรียกกำลังเสริมได้
ที่มา: