I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Martial God Asura ตอนที่ 429 – เข้าใจ

| Martial God Asura | 2540 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

“ไม่ว่าเจ้าจะพูดยังไงก็ตาม แต่คนที่มีพลังทางสายเลือดนั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่การทะลวงขั้นพลัง เมื่อเทียบกับข้า มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับพวกเขา เพราะด้วยพละงของสายเลือด พวกเขาจึงเป็นอัจฉริยะตั้งแต่กำเนิด”

“ท่านปู่เคยเล่าเกี่ยวกับผู้ที่มีพลังทางสายเลือด ท่านบอกว่าหากพลังทางสายเลือดเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่ง พวกเขาจะมีความสามารถที่มากกว่ากายศักดิ์สิทธิ์มากนัก”

“เพราะถึงแม้กายศักดิ์สิทธิ์จะได้รับพรสวรรค์บางอย่าง แต่ในการทะลวงขั้นพลังยังคงเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับผู้มีพลังทางสายเลือดนั้น มันไม่ใช่เรื่องยาก”

‘จื่อ หลิง’ กล่าวอธิบายอย่างจริงจัง เรื่องกายศักดิ์สิทธิ์และพลังทางสายเลือด

“ฮ่าๆ ไร้สาระ…..พลังทางสายเลือดแต่กำเนิดเช่นนั้นรึ เห็นได้ชัดว่าแสงพวกนี้พุ่งเข้าใส่ร่างกายของเจ้า มันอาจเป็นไปได้ว่าเจ้าเป็นผู้มีพลังทางสายเลือดแต่กำเนิด”

ในเวลานั้น ‘ต้านต้าน’ ก็กล่าวอย่างเย้ยหยันออกมา

“ถูกต้อง !! ต้านต้าน เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง แม้ว่าตามคำกล่าวของ จือ หลิง จะตรงกับสถานการณ์ในตอนนี้ของข้า แต่มีอย่างหนึ่งที่แตกต่างออกไป นางกล่าวว่า ผู้มีพลังทางสายเลือดนั้น จะมีมาแต่กำเนิด และพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะตั้งแต่แรก”

“แต่สำหรับข้ามันไม่ใช่ ก่อนที่ข้าจะอายุสิบปี ข้าก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดา และเมื่อข้าได้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มา ข้าถึงได้เปลี่ยนแปลงไป”

‘ชูเฟิง’ พึมพำกับตัวเอง เขายังไม่สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ตอนนี้ของเขาได้

“ชูเฟิง เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าพลังทางสายเลือดของเจ้าคืออะไร”

ในขณะนั้น ‘จื่อ หลิง’ ก็กล่าวถามออกมา แววตาของนางเต็มไปด้วยความโหยหาในคำตอบ

“…………ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน และข้าก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจถึงมันได้”

‘ชูเฟิง’ กล่าวตอบอย่างจนปัญญา

“ข้าเชื่อที่เจ้าพูด”

‘จื่อ หลิง’ กล่าวพลางยิ้มบาง นางไม่ได้ถามอะไรอีก นางกระโดดลงจากโรงศพ และหันมองไปรอบๆ พร้อมกล่าวกับ ‘ชูเฟิง’ ว่า

“ทรัพยากรการบ่มเพาะพลังทั้งหมดจะเป็นของเจ้า แต่แหล่งอำนาจพลังวิญญาณจะเป็นของข้า”

“นี่…………”

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้ ‘ชูเฟิง’ ก็ตกอยู่ภายใต้ความสับสน เพราะ ‘ต้านต้าน’ ยังคงต้องการเพิ่มระดับพลังของนาง และแหล่งอำนาจพลังวิญญาณเหล่านี้ก็จำเป็นสำหรับนาง

ที่ด้านหน้าของเขา มันคือแหล่งอำนาจพลังวิญญาณที่สมบูรณ์ของเหล่าผู้เชี่ยวชาญ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าพวกเขาจะโชคดีได้พบกับมันอีกหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม ‘จื่อ หลิง’ ได้ยกทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังให้แก่เขา หากเขายังไม่แย่งแหล่งอำนาจพลังวิญญาณจากนาง เขาย่อมรู้สึกไม่ดี แต่หากว่าเขาไม่เอาแหล่งอำนาจพละงวิญญาณเหล่านั้น ก็จะรู้สึกผิดต่อ ‘ต้านต้าน’ ในตอนนี้ ‘ชูเฟิง’ ตกอยู่สถานการณ์ที่ยากลำบาก

“หนึ่งก็เมียน้อย อีกหนึ่งก็ว่าที่เมียหลวง เฮ้อ……!! โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ “

“ข้าตกลง !!”

ทันใดนั้น ‘ชูเฟิง’ ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้น โดยการที่เขาจะเอาทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังครึ่งหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และแหล่งอำนาจพละงวิญญาณครึ่งหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ของ ‘ต้านต้าน’

“เจ้าบ้า !! อย่าได้คิดเช่นนั้นอีก ให้แหล่งอำนาจพละงวิญญาณแก่นางไปทั้งหมดนั่นแหละ ข้าไม่ต้องการแหล่งเพียงน้อยนอดเหล่านี้ สิ่งสำคัญตอนนี้ คือการบ่มเพาะพลังวิญญาณของเจ้า เจ้าไม่อยากช่วย ซูรู่ และ ซูเหม่ย แล้วเช่นนั้นรึ”

ในสถานการณ์ที่ ‘ชูเฟิง’ กำลังลำบากใจอยู่นั้น เสียงของ ‘ต้านต้าน’ ก็ดังขึ้นมา

“ต้านต้าน……ข้า”

ในเวลานั้น ‘ชูเฟิง’ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นภายในจิตใจของเขา เพราะเขาสามารถเข้าใจความคิดของ ‘ต้านต้าน’ ได้อย่างดี

ความจริงนั้น ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการแหล่งอำนานพลังวิญญาณ แต่ที่นางกล่าวเช่นนั้นออกมา เพราะว่านางต้องการเสียสละตนเอง เพื่อไม่ให้ ‘ชูเฟิง’ ลำบากใจ จึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจต่อแหล่งอำนานพลังวิญญาณเหล่านี้

“เอาหล่ะ อย่ามัวพูดมาก หากเจ้าแข็งแกร่งขึ้น เจ้าค่อยหาแหล่งอำนานพละงวิญญาณมาให้ข้า ตอนนี้เจ้ารีบไปรวบรวมทรัพยากรเหล่านั้นได้แล้ว”

แม้ว่าคำพูดของนางจะดูป่าเถื่อน แต่ความจริงแล้วนั้น นางเป็นคนที่น่ารัก และน่าเอ็นดูอย่างมาก

“อืมม..”

‘ชูเฟิง’ พยักหน้ารับพร้อมกับก้าวเดินออกไป เขานำถุงจักรวาลของเขาออกมา และเริ่มเก็บทรัพยากรการบ่มเพาะพลังที่อยู่บนพื้นจำนวนมากนั่นอย่างรวดเร็ว

ทรัพยากรเหล่านั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล โดยเฉพาะอน่างยิ่งลูกแก้ววิญญาณ ‘ชูเฟิง’ เก็บรวบรวมพวกมันทั้งหมด โดยเน้นไปที่ลูกแก้วแก่นวิญญาณ

“เรียบร้อย !!”

เมื่อเขาเก็บลูกแก้วแก่นวิญญาณลูกสุดท้ายลงถุงจักรวาล เขาก็พบว่า ‘จื่อ หลิง’ นั่งอยู่บนป้ายหลุมศพ นางกำลังแกว่งขาขาวราวหิมะ พร้อมกับมองมาที่เขา

ในตอนนั้น แววตาของ ‘ชูเฟิง’ เป็นประกาย รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา ขณะที่เขากล่าวออกมาว่า

“สีชมพู…”

“อะไรสีชมพู !!”

หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวนั้น ‘จื่อ หลิง’ ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เมื่อนางเห็นรอยยิ้มอย่างหื่นกระหายของ ‘ชูเฟิง’ นางก็เข้าใจในทันที

นางรีบรวบขาของนาง พร้อมกับกระโดดลงจากป้ายหลุมศพอย่างรวดเร็ว และตะโกนอแกมาว่า

“ไอ้ลามก !!”

“ข้า…..ข้าไม่เห็นอะไรนะ”

เมื่อเห็นว่าถูกจับได้ ‘ชูเฟิง’ รีบเอามือขึ้นมาปิดตาของเขาอย่างรวดเร็ว

“เจ้า !!……..”

ทันทีนั้น ‘จื่อ หลิง’ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางผายมือของนางออก หมายที่จะตบ ‘ชูเฟิง’ แต่จู่ๆ นางก็ลดมือของนางลง และกล่าวออกมาว่า

“แหล่งอำนาจพลังวิญญาณทั้ง 21 ดวงนี้ อยู่ในขั้นแดนสวรรค์ ข้าได้ดูดกลืนไปสิบเอ็ดดวง อีกสิบดวงเป็นของเจ้า”

“จื่อ หลิง เจ้า……….”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ‘ชูเฟิง’ ตกตะลึงอย่างมาก เขาไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้

“อย่าได้กล่าวอะไรออกมาอีก เพราะทั้งหมดนี่ก็เป็นของเจ้าและของข้า รีบๆ ไปดูดซับแหล่งอำนานพลังวิญญาณเหล่านั้นซะ ข้ารู้ว่าอสูรวิญญาณของเจ้ายังต้องการอำนานพลังวิญญาณอีกมาก ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ดูดซับพลังวิญญาณทุกๆ ครั้ง หลังจากที่เจ้าสังหารคนหรอก”

‘จื่อ หลิง’ กล่าว

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘ชูเฟิง’ ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก หัวใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความอบอุ่น เขารีบก้าวตรงไปที่โรงศพ ที่ถูกเปิดไว้โดย ‘จื่อ หลิง’ และรีบช่วย ‘ต้านต้าน’ ดูดซับแหล่งอำนาจพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว

“โอ้วววว ชูเฟิง ต้องบอกเลยว่า ภรรยาในอนาคตของเจ้า ช่างเข้าใจเจ้าเป็นอย่างดี”

“ไม่เลวเลยจริงๆ ข้าค่อนข้างชอบนาง”

หลังจากดูดซับแหล่งอำนาจพละงวิญญาณทั้งสิบดวงเสร็จ พลังวิญญาณของ ‘ต้านต้าน’ ก็ก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ด ขั้นแก่นวิญญาณ นางมีพลังห่างจาก ‘ชูเฟิง’ หนึ่งระดับ นั่นทำให้นางพึงพอใจอย่างมาก

“แม่นาง….เจ้าช่างคิดเหมือนข้าจริงๆ เห็นทีว่าข้าจะต้องพิจารณารับเจ้าเป็นภรรยาของข้าในอนาคตแล้วซิ”

‘ชูเฟิง’ กล่าวพลางหัวเราะออกมา

“เจ้ากล้ารึ !! หากดจ้ากล้ามีความคิดเช่นนั้นกับข้าอีก มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง”

‘ต้านต้าน’ กล่าวเย้ยหยัน

“ชูเฟิง พวกเราจะทำเช่นไรต่อ เราจะปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ หรือว่าจะทำเช่นไร”

‘จื่อ หลิง’ กล่าวถาม

“เราจะจัดระเบียบนิดหน่อย เราจะทำลายซากศพเหล่านี้ และโยนพวกเขาออกไป”

‘ชูเฟิง’ กล่าวอย่างเย็นชา และเริ่มทำตามที่เขากล่าว

‘ชูเฟิง’ ทำลายศพของบรรพบุรุษของสำนักเทพอัคคี และโยนโลงศพของพวกเขาออกมาอย่างาวดเร็ว

‘ชูเฟิง’ และ ‘จื่อ หลิง’ เริ่มทำลายสุสานบรรพชนอย่างเมามันส์ จากสภาพที่ดูเป็นระเบียบก่อนหน้านี้ ในตอนนี้นั้น พวกมันถูกทำลายตนไม่อาจจำสภาพเดิมได้แม้แต่น้อย

.. #

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments