ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป” พลังระดับนี้มัน!!!! “
เห็นภูเขาสั่นสะเทือนและค่อยๆพัง ยุบลงไป กลายเป็นฝุ่นควันลอยฝุ้งไปทั่วทุกสารทิศ แม้แต่ภายนอกของเทือกเขายังได้รับผลกระทบจากพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด ‘ชูเฟิง’ จึงตกใจอย่างมาก
เขาได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายในจิตใจ โชคดีที่พื้นที่โดยรอบเทือกเขามังกรฟ้านั้นถูกทำลายด้วยน้ำมือของหุบเขาเทพกระบี่จึงไม่มีใครอาศัยอยู่อยู่เขตของเทือกเขามังกรฟ้า ไม่งั้นคนจำนวนมากคงล้มตายอีกไม่ใช่น้อย
” พลังแค่นี้เทียบกับตอนที่อยู่หุบเขาเทพกระบี่ไม่ได้เลยสักนิด!!! “
ในตอนนั้น เสียงก็ดังเข้ามาภายในหูของ ‘ชูเฟิง’ เมื่อเขาเปิดตาดวงก็พบว่า ‘จาง เทียนยี่’ กำลังพูดกับตัวเอง
ตอนนั้นเฉพาะ ‘ชูเฟิง’ เท่านั้นที่สามารถยิ้มได้ เพราะในวันนั้นเมื่อพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้น ‘ชูเฟิง’ นั้นสูญเสียสติสัมปชัญญะ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ถึงพลังทำลายล้างของตัวเองในวันนั้น
ในความเป็นจริง จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้กลับไปดูสภาพของหุบเขาเทพกระบี่ เขาจึงไม่เคยเห็นพลังทำลายของตัวเอง มีแค่สิ่งที่ได้ยินจากปาก ‘จื่อหลิง’ ‘จาง เทียนยี่’ และ ‘ต้านต้าน’ เท่านั้น
* ตูมมมม *
ทันในนั้นก็มีเสียงระเบิดดังอึกทึกทั่วเทือกเขามังกรฟ้า หลังจากควันหนาได้กระจายออก ‘ชูเฟิง’และคนอื่นๆก็ พบว่าพื้นที่ของสุสานพันกระดูกถล่มลงมา จนกลายเป็นภูเขาขนาดเล็ก
ตอนนั้น เขาได้ขมวดคิ้ว แม้ว่าสุสานพันกระดูกจะตั้งอยู่ใต้ดิน ดังนั้นเป็นไปได้ยากที่มันจะถล่มเข้าไปถึงส่วนลึก แต่สุสานพันกระดูกคงไม่ได้มีสภาพเช่นเดิม
ณ ตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเทือกเขามังกรฟ้า นั้นแสดงว่า ราชันย์วานรกำลังต่อสู้กับไข่มุกทั้งสอง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่รุนแรง จนทำให้เทือกเขามังกรฟ้าได้รับผลกระทบ ไม่เพียงแค่นั้นแม้แต่บริเวณใกล้เคียงเองก็เช่นเดียวกัน
การต่อสู้ที่ดุเดือด ดำเนินมาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน ในที่สุด เที่ยงของวันถัดมาเสียงการต่อสู้ก็ค่อยๆสงบลง ดังในอดีต แต่เทือกเขามังกรฟ้ามีสภาพไม่เดิมกับเมื่อก่อน
ก่อนหน้านี้ที่ถูกพวกหุบเขาเทพกระบี่บุกทำลาย และตอนนี้ก็ยังได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ระหว่างราชันย์วานรและมุกทั้ง 2 แม้ปัจจุบันเทือกเขามังกรฟ้าจะกว่างใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ลาดชันเหมือนเมื่อก่อน
จำนวนยอดเขานั้นลดลง ภายในไม่กี่ลี้ ได้มีที่ราบปรากฏ แม้ว่าเทิอกเขามังกรฟ้าจะดูไม่แข็งแรง แต่ในความเป็นจริงมันเหมาะอย่างมากสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และยังเหมาะสำหรับการสร้างสำนักขึ่นใหม่ เพราะมีพื้นที่ราบจากที่ภูเขาถล่ม
แต่ ‘ชูเฟิง’และคนอื่นๆไม่ได้มีกระจิตกระใจที่จะมานั่งชื่นชมภูเขาหัวโล้น พวกเขากังวลเกียวกับความปลอดภัยของ ราชันย์วานร ‘ซูเหม่ย’ และ’ซูรู่’ มากยิ่งกว่า ซึ่งพวกเขาไม่รู้ว่ามุกอัคคีและมุกน้ำแข็งจะถูกผนึกสมบูรณ์แล้วหรือยัง
ยังไงก็ตาม ไม่มีใครกล้าที่จะลงไป เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าภายในสุสานพันกระดูกจะมีอันตรายรออยู่หรอไม่
” ทำไมมันเงียบไปล่ะ พวกเขาจะเป็นปลอดภัยหรือเปล่า งั้นเดี่ยวข้าจะลงไปดู “
ในที่สุด ‘ชูเฟิง’ ก็พุ่งลงไป กลายเป็นเส้นแสงผ่าก้อนเมฆ ไปยังทางสุสานพันกระดูก
” ชูเฟิง รอข้าด้วย !! “
‘จื่อหลิง’รีบพุ่งตามชูเฟิงไป
” ศิษย์พี่จาง พาเราลงไปด้วย เราพร้อมจะร่วมเป็นร่วมตามกับศิษย์น้องชูเฟิง . “
ในเวลาเดียวกัน , สาวกของสำนักมังกรฟ้าและคนอื่นๆโยนสายตาจ้องมองพวก’ชูเฟิง’ พร้อมกับขอร้อง ‘จาง เทียนยี่’ .
” ท่านเจ้าสำนักนี้ . . . . . . !!! “
ตอนนั้น ‘จาง เทียนยี่’ อยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะตัดสินใจ ในที่สุดเขาก็โยนสายตาฉิ้งไปหา เจ้าสำนักมังกรสีฟ้า ‘หลี่ จางฉิง’
” เห้อ เทียนยี่ , พาพวกเราทั้งหมดไปเถอะ , บรรพบุรุษรุ่นแรกก็ยังอยู่ เราไม่สามารถทนอยู่เฉยๆเพื่อปลอดภัยของเราเองได้หรอก “
‘หลี จางฉิง’ กล่าว
” ตามใจท่านพวกท่าน!!! “
‘จาง เทียนยี่’ ไม่ลังเลอีกต่อไป เขานำคนของสำนักมังกรสีฟ้าโรงและตระกูลชูทั้งหมดลงมาด้านล่าง
แม้ว่าการเพาะปลูกในปัจจุบันของเขาจะเหนือกว่า ‘หลี่ จางฉิง’ จนที่ว่าต่างกันราวกับฟ้ากับเหวหากจะเปรียบเทียบ แต่ไม่ว่ายังไง ‘หลี่ จางฉิง’ ก็ยังเป็นเจ้าสำนัก เมื่อก่อนเขาก็ยังเคยช่วย ‘จาง เทียนยี่’ไว้ไม่น้อย ดังนั้น ‘จาง เทียนยี่’ และ ‘ชูเฟิง’ ต่างก็นับถือ ‘หลี่ จางฉิง’ จึงยอมเชื่อฟังคำสั่งเขา
ในขณะที่ฝูงชนลงมา ‘ชูเฟิง’ก็เปิดทางเข้าเข้าสุสานพันกระดูก ในขณะที่เต็มไปด้วยความรู้สึกกดดัน แต่ยังไงพวกเขาก็ยังคงเดินเข้าไปในสุสานพันกระดูก
” สวรรค์ นี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว “
ทันทีที่เข้ามาภายในสุสานพันกระดูกเกือบจะแทบทุกคนต่างมีสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ แม้แต่ ‘ชูเฟิง’ ‘จื่อ หลิง’ และ ‘จาง เทียนยี่’ ที่เคยประสบกับเหตุการณ์ต่างๆมากมายมา ยังถึงกับขมวดคิ้วแน่นและยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจตลอดเวลา
มันเป็นเพราะภายในสุสานพันกระดูกทางที่จะเข้าไปยังสุสานจักรพรรดิ มันเป็นสถานที่ที่ผู้ก่อตั้งมังกรฟ้าที่อยู่จุดสูงสุดสร้างรูปแบบฯเอาไว้ ในระดับที่จัดว่าสุดแสนจะประทับใจ แม้แต่เป็น ‘ชูเฟิง’ ‘จือหลิง’ หรือ ‘จาง เทียนยี่’ พวกเขาก็ไม่สามารถทำลายได้
แต่บนนั้น กับมีรอยร้าวปรากฏขึ้นบริเวณผนังทางเข้าสุสาน หินกลิ้งระเกรื่อนระกร่านอยู่ที่พื้นนับไม่ถ้วน จนเต็มพื้น ภายในที่พวกเคยใช้อยู่อาศัย เปลี่ยนแปลงไปจนแทบจะจำสภาพเดิมไม่ได้
แต่ ‘ชูเฟิง’ ตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขารีบเดินลึกเข้าไปในสุสานด้วยความรู้สึกที่ตรึงเครียด
ในที่สุด ‘ชูเฟิง’ และคนอื่นๆ ก็ก้าวมาถึงที่ราชันย์วานร ‘ซูรู่’ และ ‘ซูเหม่ย’ ประทับ
ผนังและพื้นตอนนั้นถูกทำลาย สิ่งรอบๆตัวของพื้นที่โดยรอบ เต็มไปด้วยรอยเผาไหม้ อีกทั้งพื้นที่อีกส่วนก็ยังเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็ง
ในปัจจุบันราชันย์วานรล้มลงอยู่ใจกลางของระหว่างพื้นที่ทั้งสอง เสื้อผ้าพิเศษของเขาเกือบจะทั้งหมดขาดกระจุยกระจาย แม้แต่ขนยังมีรอยถูกไฟลวก และคราบน้ำแข็งที่เกาะจับ ใบหน้าของเขาซีดเป็นกระดาษ หากมองดีๆจะเห็นเลือดไหลออกที่มุมปาก เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดสาหัส
แต่โชคยังดีที่ราชันย์วานรยังมีชีวิตอยู่ ข้างหลังเขาก็มีรูปแบบอำนาจสีม่วงวางอยู่สองอัน ภายในนั้นคือ ‘ซูรู่’ และ ‘ซูเหม่ย’ นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังมี ชีวิตอยู่
” พี่ลิง เป็นอะไรไม๊ ? “
ตอนนั้น ‘ชูเฟิง’วิ่งเข้าไปดูอาการอย่างรวดเร็ว ภายในหัวใจของเขาทั้งเจ็บปวด และก็ขอบคุณ
เพราะฉากตรงหน้าเขา ได้บอก ‘ชูเฟิง’ทุกอย่าง หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดนั้นจบลง ราชันย์วานรเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ เขานั้นได้ทำสำเร็จในการผนึกมุกอัคคีและมุกน้ำแข็งภายในร่างของ’ซูรู่’ และ ‘ซูเหม่ย’ อีกทั้งสองคนก็ยังปลอดภัย
แต่เนื่องจาก ราชันย์วานรต้องแลกด้วยราคาที่สาหัส ดังนั้นมันจึงทำให้ ‘ชูเฟิง’ เจ็บปวดใจ อีกทั้งยังรู้สึกอับอาย
” ไอ้หนู อย่ามองข้าด้วยหน้าตาเหมือนกับกินแตงขม ข้ายังไม่ได้ตายสักหน่อย “
” แต่ยังไงก็ตาม พลังของมุกทั้งสองนี้ได้ถูกผนึกอย่างสมบูรณ์ หรือไม่ก็ ต้องบอกว่าพลังของมันแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญอาณาจักร จ้าวแห่งทักษะ ก็ไม่สามารถเอาชนะมุกทั้งสองชนิดนี้ได้ “
” ไปดูภรรยา 2 คนของคุณ ในไม่กี่วัน เขาจะตื่นขึ้นอีกครั้ง . บางทีพวกเขาอาจจะได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากสองไข่มุก “
ยังคงมีรอยยิ้มที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับปีศาจ ราชาลิง หน้า แต่หลังจากคำพูดนั้นพูด มันเงียบ ดวงตาของมัน ร่างของมันล้มลง และเข้าสู่ภาวะหมดสติ
..
: จะฟื้นแล้ว ไม่ต้องว่าวแล้วววว พี่เฟิงงงงง
: ได้ซ่ำไม่พอ เมียมันยังเก่งจนเป็นบอดี้กาดได้ด้วย รู้ป่ะว่าตอน ซูรู่ ซูเหม่ยฟื้น นางมีพลังวิญญาณในระดับไหน
: หึไม่รู้
ขณะนั้น ได้ส่ายหน้า: งั้นรออ่านเอา . . . .
ขณะนั้น ได้ยักคิ้วใส่ ที่กำลังทำหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและแล้ว ก็ทนความกวนตีนของ ไม่ไหว จึงตะโกนออกไปว่า
: พ่อมึงตายยยยยยยยยยยยยยที่มา: