ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“พี่ลิง ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลใด ๆ เพราะว่าข้านั้นไม่ได้คิดที่จะกลั่นมันอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าและแปลกตาข้ายิ่งนักข้าจึงต้องการเก็บมันไว้เป็นที่ระลึก”
‘ชูเฟิง’ยิ้มเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้สะบัดขวดหยกขนาดเล็กบนมือของเขาพร้อมกลับปล่อยอำนาจแสงบางอย่างแพร่กระจายออกมาจากปากขวด
แสงที่กระจ่างใสนั้นได้เข้าปกคลุมแก่นแท้อำนาจจิตวิญญาณและดูดซึมหลังไหลเข้าไปในขวดหยก แล้วเพียงพายในพริบตา’ชูเฟิง’ก็ได้เก็บแก่นแท้อำนาจจิตวิญญาณในบริเวณนั้นทั้งหมดเข้าไปในขวดหยกและยัดมันใส่ในถุงจักรวาล
“น้องชายถ้าเจ้ายังห่วงชีวิตของตัวเองอยู่ระก็อย่าได้แม้แต่จะคิดที่จะกลั่นมันไม่เช่นนั้นอย่ามาหาว่าข้านั้นไม่เตือนเจ้า”
อสูรราชันย์วานรได้กล่าวเตือนชูเฟิงอีกครั้งเพราะเขานั้นได้รู้ถึงความต้องการของ’ชูเฟิง’ เมื่อกล่าวเสร็จเขาก็ได้เริ่มเดินลึกลงไปอีกครั้ง
“ฮ่า ๆ ๆ.”
‘ชูเฟิง’ได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวของเขาและเดินตามอสูรราชันย์วานรไป
*** ตึบ ***
แต่ก่อนที่จะเดินไปได้ไกลมากกว่านี้ อสูรราชันย์วานร ก็หยุดเดินอย่างกะทันหันและเหวี่ยงแขนขนาดใหญ่ของเขาคว้าตัว’ชูเฟิง’เอาไว้และรีบวิ่งออกไปจากทิศทางที่พวกเขาได้เดินมาอย่างรวดเร็ว
“พี่ลิงในทางข้างหน้ามันมีอะไร? ท่านเห็นอะไรอย่างนั้นรึ?”
การกระทำที่ฉับพลันของ อสูรราชันย์วานรนั้นมันทำให้’ชูเฟิง’ได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าในทางข้างหน้าของพวกเขานั้นจะต้องมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเขาเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นแล้วโดยธรรมชาติของอสูรราชันย์วานรเขาคงจะไม่คิดที่จะหลบหนีเช่นนี้
“ข้าเพียงแค่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ในระดับ 9 แดนสวรรค์ถึงสองตนน่ะ นี่โชคดีนะที่พวกมันไม่ได้มีอำนาจพลังวิญญาณในการตรวจจับมิเช่นนั้นล่ะก็พวกมันจะต้องค้นพบเราเป็นแน่ยังดีที่ข้านั้นได้ค้นพบพวกมันก่อน”
“เพราะว่าถ้าหากพวกมันได้ค้นพบเราก่อนล่ะก็ด้วยระดับพลังวิญญาณของข้านั้นมันคงไม่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของพวกมันได้เป็นแน่ ยิ่งเดินลึกเข้าไปในสุสานจักรพรรดิมากเท่าไหร่มันก็เริ่มที่จะมีวิญญาณชั่วร้ายมากขึ้นเท่านั้นแล้วด้วยและอีกไม่นานพวกมันสองตัวนั้นก็จะได้พบกันและก็คงจะเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงมากขึ้นด้วยระดับพลังวิญญาณของเราในตอนนี้นั้นพวกเราไม่สามารถที่จะต้านทานพวกมันได้เลย พวกเราในตอนนี้นั้นยังไม่ควรที่จะเข้าสุสานจักรพรรดิไปลึกมากกว่านี้ คงต้องรอให้ระดับพลังวิญญาณของพวกเรานั้นมีมากกว่านี้ก่อนและจึงค่อยเข้ามายังสถานที่นี้อีกครั้ง”
อสูรราชันย์วานร อธิบาย
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมันทำให้’ชูเฟิง’รู้สึกไม่เต็มใจที่อยากจะออกไปสักเท่าใดนักแต่มันก็ไม่มีทางเลือกมากมายสำหรับเขา เพราะว่าแม้แต่ผู้เชียวชาญระดับอย่าง อสูรราชันย์วานร ยังหนีหัวซุกหัวซุนแล้วคนที่มีระดับพลังวิญญาณแค่ระดับ 1 แดนสวรรค์อันน้อยนิดเช่นเขาจะไปสามารถทำอะไรได้
นอกจากนี้ในเส้นทางที่พวกเขาได้ก้าวผ่านมายังไม่มีสมบัติใดเลยแม้แต่ชิ้นเดี้ยว แม้แต่สถานที่ของทักษะเร้นลับก็ยังเป็นกลลวง ชูเฟิงรู้สึกว่ามันจะต้องเป็นฝีมือของตาเฒ่าชุดดำผู้นั้นเป็นแน่ ต่อให้ชูเฟิงยังคงคิดที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าในสถานที่ที่ลึกกว่านี้ในสุสานจักรพรรดิเขาก็ต้องไม่ได้สมบัติใดติดไม้ติดมือออกมาเป็นแน่
มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผลประโยชน์ในการสำรวจสุสานจักรพรรดิในครั้งนี้ได้ตกไปอยู่ในมือของตาเฒ่าชุดดำ ฉะนั้นแล้วชูเฟิงจึงไม่มีทางเขาทำได้เพียงแต่หันหลังให้สุสานจักรพรรดิและกลับไปยังสำนักมังกรฟ้า
หลังจากที่ในตอนนี้ทุกคนของราชวงศ์เจียงกำลังเกิดภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงที่กำลังมุ่งหน้ามายังพวกเขา และมันอาจจะทำให้ทั่วทั้งทวีป 9 อาณาจักรถึงกลับต้องสั่นคลอน
ฉะนั้นแล้วในตอนนี้ชูเฟิงและอสูรราชันย์วานรจึงต้องรีบกลับไปยังสำนักมังกรฟ้าเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวมที่นั้น เพราะในตอนนี้นั้นสำนักมังกรฟ้ายังสร้างไม่เสร็จดีนัก ฉะนั้นแล้วหากเกิดอะไรขึ้นมาสำนักของพวกเขาจะต้องถูกทำลายอีกรอบหนึ่งเป็นแน่
ภายในเทือกเขาของสำนักมังกรฟ้า ณ ตอนนี้นั้นได้ประสบความสำเร็จและได้มีความคืบหน้าในการสร้างอาคารหลักไปได้หลายหลังแล้ว แถมบรรยากาศโดยรวมของมันนั้นยังอาจกล่าวว่าดีกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัวนักมันชั่งดูงดงามและน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะเป็นด้วยขนาดหรือคุณภาพของมันก็นับว่าดีเยี่ยมไปหมด มันอาจกล่าวได้ว่าสำนักมังกรฟ้าในตอนนี้นั้นได้กลับมาสู่ช่วงเฟื่องฟูอีกครั้งแล้วในตอนนี้
แล้วนอกจากนี้ในจำนวนอาคารเหล่านั้นก็ยังเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสมากมายอยู่เป็นจำนวนมาก มีทังบางคนที่เริ่มทำการบ่มเพาะพลังวิญญาณและบางคนก็กำลังพูดคุยกันด้วยใบหน้าที่มีความสุข แต่พวกผู้คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษทั้งนั้น
ใบหน้าของพวกเขาในตอนนี้นั้นยังคงแลดูมีความสุขกันอยู่และดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่ทราบถึงภัยพิบัติที่กำลังย่างกายเข้ามายังในทวีป 9 อาณาจักรในตอนนี้ หากราชวงศ์เจียงผู้ที่เป็นผู้ปกครองพื้นดินทั้งทวีป 9 อาณาจักรมานานนับหลายปีถูกโค้นล้มลงและถูกแทนทีด้วยขุมพลังอำนาจอื่น ทั่วทั้งทวีป 9 อาณาจักรจะต้องตกลงอยู่ในความสับสนวุ่นวายอย่างแน่นอน
หลังจากที่ชูเฟิงกลับมาถึงที่สำนักมังกรฟ้าเขาก็ไม่ได้ไปหา หลี่ จางฉิง เป็นคนแรกแต่เขาตรงไปยังศูนย์กลางหลักของสำนักมังกรฟ้ามันเป็นห้องโถงที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในสำนักมังกรฟ้า
ในสถานที่แห่งนี้นั้นมีจำนวนผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ประจำการอยู่ที่นี่เพราะว่าสถานที่แห่งนี้นั้นมันเป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนักมังกรฟ้าและเมื่อพวกเขาได้เห็นรูปร่างหนึ่งกำลังร่อนลงมาจากท้องฟ้า พวกเขาก็ได้ตั้งการ์ดที่พร้อมจะต่อสู้ราวกับว่าพวกเขาได้ค้นพบกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่
แต่หลังจากที่พวกเขาได้รับรู้ว่าบุคคลที่กำลังร่อนลงมานั้นคือบุคคลใดพวกเขาก็รีบหลีกทางให้ในทันทีอย่างรวดเร็วแล้วต่างทำความเคารพต่อเขา เพราะว่าคน ๆ นั้นไม่ใช้ใครอื่นนอกจากผู้ที่เป็นบูรณะสำนักมังกรฟ้าขึ้นมาใหม่ เขาคนนั้นคือ ชูเฟิง
หลังจากที่ชูเฟิงได้เข้าไปยังห้องโถงหลักเขายังได้เดินเข้าไปในห้องโถงใต้ดิน ภายในห้องใต้ดินนั้นเขาได้วางรูปแบบอำนาจวิญญาณอย่างรวดเร็วแล้วมันก็ปรากฏทางเข้าสุสานพันกระดูกขึ้นมา แต่เหนือของประตูทางเข้าได้มีบางอย่างได้ปกคลุมมันเอาไว้และมันก็ได้บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นสถานที่ต้องห้าม
หลังจากที่เดินทางเข้าไปยังในสุสานพันกระดูก, ชูเฟิงก็ได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับ ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า เกี่ยวกับการเปิดสุสานจักรพรรดิเช่นเดียวกับภัยพิบัติที่กำลังจะมาเยือนราชวงศ์เจียง
“ชูเฟิงข้านั้นไม่อาจที่จะทำอะไรได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจในเรื่องนี้”
หลังจากที่ ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าได้ทราบข่าวทุกอย่าง เขาก็ขมวดคิ้วของตัวเองเล็กน้อยและกล่าวออกไปอย่างเคร่งขรึม
“ท่านบรรพชนข้านั้นต้องการที่จะช่วยเหลือผู้คนของราชวงศ์เจียง เพราะหลังจากที่ผู้คนได้รับรู้ว่ากองกำลังส่วนใหญ่ที่ได้มาช่วยบูรณะสำนักมังกรฟ้าของเราขึ้นมาใหม่นั้นก็คือคนของราชวงศ์เจียง ทุกคนในทวีป 9 อาณาจักรนั้นต่างรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างสำนักมังกรฟ้าของเราและราชวงศ์เจียงนั้นแน่นแฟ้นมากแค่ไหน”
“ฉะนั้นแล้วถ้าทั้งสามราชวงศ์คิดจะจำกัดราชวงศ์เจียงจริง ๆ ล่ะก็สำนักมังกรฟ้าของเราก็ต้องโดนผลกระทบจนต้องถูกทำลายไปด้วยอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วข้าจึงอยากที่จะช่วยพวกเขาแต่ถึงอย่างนั้นด้วยระดับพลังวิญญาณของข้านั้นมันน้อยเกินไปยิ่งนักเกรงจะไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้เลย”
‘ชูเฟิง’ส่ายหัว
“ชูเฟิงผู้เชียวชาญที่เจ้าบอกว่าเป็นผู้เชื่อมต่อชุดม่วงที่สาบานว่าเขาจะอยู่ที่นี่นั้นจริงใช่หรือไม่?”
หลังจากที่ได้คิดสักครู่หนึ่งผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าก็ได้กล่าวถาม
‘“นี่ท่านกำลังพูดถึงพี่ลิงอย่างนั้นรึ? ใช่แล้วเขาและเหล่าสัตว์ยักษ์ในหุบเขาพันปีศาจได้ปฏิญาณตนว่าจะมีชีวิตอยู่ที่นี่และตายไปพร้อมกับสำนักมังกรฟ้า”
ชูเฟิงตอบ
“อ่า ข้าไม่คิดเลยว่าไอ้เจ้าลิงบาบูนคูณสุขนั้นและเหล่าสัตว์ยักษ์ของมันจะมีจิตใจที่ดีและเมตตาเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่มันมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น แต่ไม่ว่ายังใงก็ตามในเวลานี้เราไม่มีตัวเลือกมากนักเพราะฉะนั้นแล้วเจ้าจงไปพาเจ้าลิงมาที่นี่ซะและบอกกับมันว่าข้านั้นต้องการให้มันช่วยเหลือบางอย่าง”
ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าว่ากล่าว
“ท่านบรรพชนนี่เป็นไปได้ว่าท่านกำลังหมายถึง”
‘ชูเฟิง’อดไม่ได้ที่จะต้องแสดงอาการยินดีออกมาเบื่องหลังคำพูดของเขา
“เจ้าเด็กน้อยเจ้าน่าจะรู้คำตอบของคำถามนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร”
ผู้ก่อตั้งมังกรฟ้าส่ายหัวกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดอีกว่า
“ในเมื่อตอนนี้ราชวงศ์เจียงได้แสดงให้ข้าเห็นแล้วว่าพวกเขานั้นได้มีน้ำใจต่อสำนักมังกรฟ้าของข้าเช่นไรฉะนั้นแล้วจะให้ข้ายืนดูอยู่เฉย ๆ และให้พวกเขาตายจากไปข้าคงทำไม่ได้เป็นแน่ แล้วที่สำคัญถ้าหากว่าได้มีราชวงศ์อื่นมาปกครองทวีป 9 อาณาจักรแทนราชวงศ์เจียงก็ยังไม่อาจรู้ได้เลยว่าพวกเขานั้นจะปกครองคลุมอำนาจและประชาชนต่าง ๆ ในทวีป 9 อาณาจักรเช่นไร”
“ฉะนั้นแล้วข้าในตอนนี้นั้นจึงได้ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าลิงจ๋อนั้นเพื่อที่ข้าจะได้ฟืนกลับมาแล้วไปช่วยเหลือราชวงศ์เจียงในการต่อสู้ครั้งนี้.”
“อื้มข้าเข้าใจแล้วท่านบรรพชน”
แม้ว่าชูเฟิงนั้นจะได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าผู้ก่อตั้งของสำนักมังกรฟ้าจะพูดเช่นนี้แต่ว่าตัวเขาเองนั้นก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี
หลังจากนั้นชูเฟิงจึงได้ไปบอกกับอสูรราชันย์วานรถึงเรื่องราวของผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าทั้งหมด หลังจากที่ได้ทราบว่าผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้านั้นได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้มานับพันปีมันทำให้ อสูรราชันย์วานรนั้นตกใจมากเพราะโดยปกติแล้วนั้นการที่จะมีชีวิตอยู่มายาวนานได้ขนาดนี้อย่างน้อยจิตสำนึกของเขานั้นก็ต้องโดยทำลายจนหมดสิ้นไปแล้วแต่นี่กลับไม่
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอสูรราชันย์วานรนั้นจะตื่นตกใจมาก แต่เขานั้นก็ไม่ได้พูดกล่าวอะไรมากและตอบตกลงคำขอของชูเฟิงในทันที ที่จะช่วยชูเฟิงในการฟื้นคืนชีพผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า
เมื่อเป็นเช่นนั้นชูเฟิงก็ได้นำอสูรราชันย์วานรเข้ามายังในสุสานพันกระดูกเพื่อมาพบกับผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า
และเมื่อได้เห็นจิตสำนึกที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นและศพที่ยังคงมีกายเนื้อที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับไข่มุกลึกลับมันทำให้อสูรราชันย์วานรนั้นตกใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เมื่อหันหน้าไปยังผู้เชียวชาญสูงสุดของเขตแดนสวรรค์เช่นเดียวกับไข่มุกลึกลับที่มีอำนาจพิเศษ อสูรราชันย์วานร ก็ไม่ได้คิดที่จะปล้นใด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนทัศนคติของตนเองออกไปไม่น้อยเลยที่เดียวพร้อมกับกล่าวคำพูดกับผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าว่า .
“ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าในแง่ด้านของเรื่องอายุแล้วนั้นท่านเป็นผู้อาวุโสของข้า แล้วในแง่ของสถานะท่านก็ได้เป็นบรรพชนของน้องชายข้า ถ้าหากท่านต้องการให้ข้าช่วยฟื้นคืนชีพแก่ท่าน โปรดท่านบอกข้ามาได้เลยว่าข้านั้นต้องควรทำเช่นไร?!”
#################################################################################################
ที่มา: