ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ฮูวว”
“เกือบไปแล้ว”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ทุกอย่างได้กลับสู่สภาวะปกติ ชูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจของเขาออกมา เพราะดูเหมือนว่าผู้ปกครองสุสานจักรพรรดินั้นจะไม่ได้เป็นบุคคลที่เลือดเย็นและกระหายเลือด เขาไม่ได้ตัดสินใจที่จะฆ่าชูเฟิงและคนอื่น ๆ แต่กลับเลือกที่จะมอบเส้นทางในการมีชีวิตอยู่ให้แก่พวกเขาแทน
และเมื่อชูเฟิงได้คิดถึงสถานการณ์ที่เขาสามารถรอดตายมาได้ นั้นมันทำให้เขาได้รู้แจ้งว่าผู้เชียวชาญอาณาจักร จักรพรรดิแห้งสงครามนั้นมีความน่ากลัวมากเพียงใด
ชูเฟิงนั้นไม่อาจที่จะสามารถจินตนาการถึงความแข็งแกร่งที่แสนจะน่ากลัวของผู้เชียวชาญ จักรพรรดิแห่งสงครามได้เลย บางที่พลังอำนาจของพวกเขานั้นอาจจะสามารถทำลายโลกได้ทั้งใบเลยก็เป็นได้
และในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ชูเฟิงได้รับรู้ว่าสุสานจักรพรรดินั้นมันอันตรายมากแค่ไหน แม้ว่าตัวเขาเองจะมีชายลึกลับคอยเปิดเส้นทางให้แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวชายลึกลับเองนั้นก็ยังไม่สามารถบุกฝ่าเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของสุสานจักรพรรดิได้ฉะนั้นแล้วไม่จำเป็นได้ที่จะต้องพูดถึงเขาเลย มันจึงอาจกล่าวได้ว่าสมบัติในสุสานจักรพรรดินั้นจริงไม่ใช่เรื่องที่จะรับมาได้โดยง่าย
“อ้า ~~~~~~~~~~~~~~~~~~”
แต่ในขณะเดียวกันที่ชูเฟิงนั้นได้รู้สึกว่าภัยอันตรายนั้นได้หายไปแล้วชายลึกลับก็ได้ยกมือทั้งสองข้างของเขาขึ้นมาและกุมหัวของเขาพร้อมกับคำรามออกมาเสียงดังว่า
“นี่ข้าอยู่ที่ไหนข้ามาจากไหน? นี่ข้ามาจากไหน? ข้ามาจากไหน ?!”
เสียงที่ออกมาจากปากของเขานั้นดังมาก ประดุจเสียงคนตบมือพร้อมกันนับหมื่นราวกับฟ้าร้องและเสียงระเบิดที่ดังก้องในเวลาเดียวกัน, พร้อมกับรอยบาลแผลที่เห็นได้ตามร่างกายของเขาอย่างชัดเจน
แต่ทว่าเสียงที่เขาได้คำรามออกมานั้นมันกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวราวกับว่าเขานั้นได้หวาดกลัวผู้เชียวชาญ จักรพรรดิแห่งสงครามก่อนหน้านี้และบางที่มันอาจเป็นความหวาดกลัวที่ไปยังถึงจุดที่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้
“อ้า ~~~~~~~~”
“นี่ข้ามาจากที่ไหน ? ข้ามาจากที่ไหน ?! ”
ชายลึกลับนั้นได้คร่ำครวญออกมามากขึ้นและเสียงดังมากขึ้นและยังน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เขาเริ่มที่จะทุบหัวของตัวเขาเองและฉีกผมของเขาออก ไม่ว่าชูเฟิงนั้นจะตะโกนเรียกเขาไปมากเท่าใดเขานั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับชูเฟิงเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่…นี่ไม่ดีแล้ว”
ท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของชายลึกลับนั้นมันยิ่งทำให้ชูเฟิงไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นเพราะรู้ว่าท่าทางที่ราวเหมือนกับคนบ้าของชายลึกลับนั้นจริง ๆ แล้วมันได้มีบางสิ่งบางอย่างได้เข้าไปครอบงำจิตใจของเขาอยู่ในตอนนี้และถ้าหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเขานั้นจะต้องตายลงอย่างแน่นอน
“เจ้ามาจากทะเลภาคตะวันออก ชื่อของเจ้าคือ ฮวางฟู่ ฮ่าวเยว้ เป็นบุตรคนที่ 42 สายเลือดบริสุทธิ์ของวิหารเพลิงผลาญสวรรค์”
แต่ในขณะที่ชุเฟิงนั้นทำอะไรไม่ถูกจู่ ๆ ผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำที่ถูกพันธนาการอยู่กับรูปแบบสัญลักษณ์ทั้ง 4 ก็ได้พูดขึ้น
และหลังจากที่ได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าชุดดำ, การแสดงออกของชายลึกลับก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันทีพร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า
“ทะเลภาคตะวันออก? ฮวางฟู่ ฮ่าวเยว้ วิหารเพลิงผลาญสวรรค์บุตรสายเลือดบริสุทธิ์คนที่ 42 ?”
ในขณะนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ใบหน้าของชายลึกลับที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันเท่านั้นแม้แต่คำพูดที่เขาได้พึมพำออกมานั้นก็ยังจับใจความไม่ได้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
*** ฉวัดเฉวียน ***
ทันใดนั้นชายลึกลับก็ได้กระโดดบินออกไปในเส้นทางที่เขาได้เดินเข้ามา แม้ว่าชูเฟิงจะยืนอยู่ในด้านหน้าของเขาเขาก็ไม่ได้มีท่าทางที่จะชะลอความเร็วของเขาลงเลยแม้แต่น้อย
ความเร็วของเขานั้นเป็นจริงเร็วมากเกินไป ชูเฟิงเพียงแค่รู้สึกได้ถึงการระเบิดออกของสายลมเท่านั้นและในตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงแค่ยืนมองชายลึกลับผู้นั้นหายไปไกลต่อหน้าต่อตาของเขา
“ไอ้เวรเอ้ย ให้ตายเถอะ!”
เมื่อเห็นเช่นนั้นชูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องสบถคำออกมา เพราะว่าชายลึกลับผู้นั้นได้พุ่งทะยานออกไปโดยที่ทิ้งเขาไว้เพียงคนเดียวในสถานที่แห่งนี้
ถ้าหากว่าเขาสามารถออกไปยังสถานที่แห่งนี้ได้แล้วยังเจอชายลึกลับผู้นั้นอยู่ก็นับว่าเป็นข่าวดี แต่ถ้าหากว่าออกไปแล้วแต่ไม่เจอชายลึกลับผู้นั้นมันก็จะเท่ากับว่าเขานั้นได้สูญเสียผู้ติดตามที่เป็นถึงผู้เชียวชาญอาณาจักร ราชันย์แห่งสงครามไปเลยที่เดียว! แล้วนั้นก็หมายความเขาจะกลับไปโดยมือป่าวแล้วเหลือแค่เขาเพียงคนเดียว
ความคิดของเขาที่จะไปยังทะเลภาคตะวันออกโดยมีผู้ติดตามที่เป็นถึงผู้เชียวชาญอาณาจักร ราชันย์แห่งสงครามนั้นก็จะมะลายหายไปกับตาในทันที
แต่ทว่าชูเฟิงนั้นก็ไม่ได้แสดงอาหารที่หดหู่ออกมามากเกินไป แต่กับพบคำใบ้ของความสุขประกายขึ้นมาในดวงตาของเขา เขาได้หันหลังกลับไปแล้วบินไปยังผู้เฒ่าชุดดำที่ถูกพันธนาการอยู่กับรูปแบบสัญลักษณ์ทั้ง 4
เพียงเพราะว่าในตอนนี้นั้นมีแค่ผู้เฒ่าผู้นี้เท่านั้นที่รู้ชื่อจริงและสถานที่จากมาของชายลึกลับที่ได้อย่างชัดเจน
และเนื่องจากว่าผู้เฒ่าชุดดำนั้นได้รู้จักกับชายลึกลับผู้นี้มันก็มีความเป็นไปได้ว่าผู้เฒ่าผู้นี้นั้นจะรู้จักกับพ่อของเขาและอาจจะรู้ถึงชาติกำเนิดของเขาก็เป็นได้ แต่ถึงแม้ว่ามันจะเช่นนั้นจริงชูเฟิงก็ยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าใดนักว่าผู้เฒ่าผู้นี้จะทำให้เขาได้รับรู้ถึงชาติกำเนิดของเขาจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่ายังใงนี่ก็เป็นเพียงแค่โอกาสเดียวเท่านั้นของชูเฟิงที่จะได้ถามไถ่
ในทันทีที่เขากำลังพยายามที่จะเข้าไปใกล้ เขาก็ได้ค้นพบว่าชั้นของรูปแบบสัญลักษณ์ทั้ง 4 นั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากเพียงแค่ตัวเขาเพียงลำพังนั้นไม่อาจที่จะเข้าไปใกล้มากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเปล่งเสียงถามไปยังผู้เฒ่าว่า
“ท่านผู้อาวุโสท่านรู้จักชายผู้นั้น ?!”
“แน่นอนว่าข้ารู้จักเขา เขานั้นเป็นบุตรสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของวิหารเพลิงผลาญสวรรค์ที่มีความสามารถทะลุเกินประมุขคนก่อน ๆ ของวิหารเพลิงผลาญสวรรค์มาทั้งหมดก่อนที่เขาจะได้รับเลือกให้รับตำแหน่งเป็นประมุขคนต่อไป! ฮวางฟู่ ฮ่าวเยว้! มีหรือที่ข้าจะไม่รู้จัก?”
“แต่อย่างไรก็ตามไอ้เด็กบัดซบ, เจ้ามีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเขากันแน่? ถึงแม้ว่าจะมองลงไปที่รูปร่างหน้าตาของเขาจะดูมึน ๆ และงง ๆ ไปบ้างแต่มันก็ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะเชื่อฟังคำพูดของเจ้าอย่างสนิทใจ ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าทั้งสองนั้นมันเป็นเช่นไรกันแน่?”
ผู้เฒ่าชุดดำถามออกมาพร้อมกับร้อยยิ้มของเขา
แต่ในเวลาเดียวกันดวงตาของท่านผู้เฒ่านั้นก็ได้จับจ้องแน่นไปที่ชูเฟิงราวกับเป็นสายตาของพญาเหยี่ยวเพราะว่าเขานั้นต้องการที่จะรู้ว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของชุเฟิงนั้นมันจะเป็นคำพูดที่โกหกหรือไม่
แต่ทว่าชูเฟิงนั้นก็ไม่ได้เป็นคนที่ใกล้ชิดและสนิทสนมกับผู้เฒ่าคนนี้มากถึงขนาดนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาจึงไม่สามารถบอกถึงความจริงในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและชายลึกลับได้ ฉะนั้นแล้วเขาจึงแกล้งทำเป็นยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดตอบไปว่า
“เรียนท่านอย่างซื่อตรง ข้านั้นได้พบเจอกับเขามาก่อนแต่ว่าข้านั้นไม่ทราบว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เพราะว่าในช่วงที่ข้าได้พบเจอเขานั้นเขาไม่ได้มีกลิ่นอายของพลังวิญญาณใด ๆเล็ดรอดออกมาจากตัวของเขา เขาดูราวกับว่าเป็นบุคคลธรรมดา”
“แล้วข้าได้สังเกตเห็นว่าเขานั้นกำลังถูกคนบางคนทำร้ายอยู่ข้างถนน สภาพของเขานั้นชั่งดูน่าสงสารยิ่งนัก ข้าจึงให้อาหารและเงินบางส่วนแก่เขาไป แต่ใครจะคิดกันเล่าว่าเขานั้นได้เลือกที่จะกินอาหารแต่ไม่รับเงินของข้า ซ้ำเขายังได้ติดตามข้ากลับมา”
“เมื่อเห็นเช่นนั้นข้าก็กลัวว่าเขาจะโดนทำร้ายอีกข้าก็เลยให้เขามาเป็นผู้ติดตามของข้า และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้เป็นผู้ติดตามของข้าตลอดจนกระทั่งวันหนึ่งข้าได้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่งและเกือบที่จะสูญเสียชีวิตของตน ในช่วงเวลาที่ความเป็นความตายชีวิตของข้านั้นได้แขวนอยู่บนเส้นดายเขาก็ได้รอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับคำรามลั้นและฆ่าผู้เป็นศัตรูของข้าทั้งหมด”
“อย่างไรก็ตามระดับพลังวิญญาณของเขาที่ได้แสดงให้ข้าได้ประจักษ์นั้นมันราวเหมือนกับว่าเขานั้นเป็นคนละคนกันกับที่ข้าได้รู้จักอย่างลิบลับ ความห่างชั้นและความแข็งแกร่งที่เขาได้แสดงออกมานั้นมันเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน”
“เมื่อเห็นว่าเขามีความแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ข้าจึงได้ขอยืมพลังของเขาเพื่อเข้ามายังสุสานจักรพรรดิ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามตัวข้าเองนั้นก็ยังไม่ได้รู้จักตัวตนของเขาว่าเขานั้นเป็นใคร ฉะนั้นแล้วท่านผู้อาวุโสท่านพอที่จะบอกเรื่องราวของเขาให้ฟังมากกว่านี้อีกสักนิดได้หรือไม่”
“ฮ่า ๆ ไอ้เด็กบัดซบ, เจ้านี่ชั่งโชคดีอะไรเช่นนี้ แต่มันก็หน้าเสียดายที่แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะผ่านประตูจักรพรรดิไปได้เช่นกัน และนอกจากนี้ทรัพย์สมบัติที่เจ้าได้ใฝ่หามาโดยตลอดบัดนี้มันก็ได้อยู่ในกระเป๋าของข้าเป็นที่เรียบร้อย ฮ่า ๆๆ บางทีคำสุภาษิตที่ว่า “ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา” และ “จับปลาสองมือ” นี่มันชั่งมั่นเหมาะแก่เจ้าเสียจริง.”
ผู้เฒ่าชุดดำนั้นไม่ได้ตอบคำถามของชูเฟิงแต่กลับพูดคำที่กระแทกกระทั้นกลับมาและล้อเลียนชูเฟิง
“ท่านผู้อาวุโสในเมื่อท่านไม่สะดวกและไม่ต้องการที่จะเล่ามันท่านก็ลืมมันไปเสียเถอะ ในภายภาคหน้าเมื่อข้าไปยังทะเลตะวันออกข้าก็จะได้รู้เรื่องราวทั้งหมดนี้อยู่ดี”
“เมื่อข้าได้เริ่มการเดินทางของข้า ข้าก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องมายังสถานที่แห่งนี้อีก”
เมื่อเห็นเช่นนั้นชุเฟิงก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายอีกต่อไปเขาได้จ้องมองไปยังพื้นที่ด้านหน้าของการวางรูปแบบสัญลักษณ์ทั้ง4
ในสถานที่นั้นได้มีบ่อน้ำอยู่ และในบ่อน้ำนั้นก็ได้มีประกายจาง ๆ พร้อมกับกลิ่นอายที่แปลกและพิเศษ
ทันทีที่ชูเฟิงได้เห็นบ่อน้ำเขาก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ และรีบกระโดดบินออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงในด้านหน้าของบ่อน้ำเขาได้เปิดปากของเขาและกำลังจะพยายามกลืนกินบ่อน้ำอย่างบ้าคลั่ง
“เดี้ยว!!! นั้นเจ้ากำลังจะทำอะไร? เจ้าเบื่อชีวิตของเจ้าแล้วรึยังใง ?!”
“ในเมื่อข้าได้ถามเรื่องราวของ ฮวางฟู่ ฮ่าวเยว้ ท่านกลับไม่บอกข้ามันก็ไม่มีความจำเป็นใดที่พวกเราจะต้องมาเสวนากันอีก”
“อย่าดื่มมัน!!! กลับออกมานี่!!! เร็วเข้า! ข้ายอมแล้วข้าจะบอกเจ้าตกลงไหม?”
เมื่อเห็นการกระทำของชูเฟิงใบหน้าของผู้เฒ่าชุดดำนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและแสดงถึงอาการหวาดกลัวออกมาไม่น้อย เพราะว่าน้ำในบ่อนั้นมันไม่ใช่น้ำธรรมดาแต่มันเป็นสะสารของแก่นแท้อำนาจพลังวิญญาณมันคือวัตถุต้องห้ามที่แสนจะอันตราย
แก่นแท้อำนาจพลังวิญญาณนั้นมันเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่บ้าคลั่งหากไปสัมผัสมันละก็มันจะทำให้เกิดความเสียหายทางร่างกายต่อผู้ที่ได้สัมผัสมันและถ้ากลืนมันเข้าไปโดยตรงละก็มันก็เหมือนการฆ่าตัวตายชัด ๆ
ที่มา: