ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบทที่ 696 – รางวัล
“ดูเหมือนว่า หวู่ฉิง มันจะห่วงสมบัติมากกว่าชีวิตของตัวเองสินะ มันกล้ามากที่คิดว่าจะสามารถป้องกันพลังจากยันต์ระเบิดของข้าได้ มันเป็นสิ่งที่ปู่ข้าใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะทำมันได้สำเร็จ ซึ่งแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับ 8 จ้าวสงครามก็ไม่อาจป้องกันได้ แล้วคนอย่างเจ้าจะเหลืออะไร หุหุ”
หย่า เฟย พึมพำอยู่เงียบๆ ใบหน้าของนางตอนนั้นเต็มไปด้วยความยินดี “เขานั้นนับเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง แต่ช่างน่าเสียดาย เขาต้องมาจบชีวิตอยู่แค่ตรงนี้”
หากเปรียบเทียบกับ หย่า เฟย ที่พึงพอใจ ตอนนั้น มู่หรง ว่าน ถอนหายใจเบาๆ ถึงแม้ว่านางจะพ่านแพ้ให้แก่ ชูเฟิง อีกทั้งยังโกรธเขามาก เพราะชูเฟิงนั้นชิงเอาทุกอย่างที่เขาสมควรจะได้ไปทั้งหมด แต่นางก็ยอมรับในฝีมือของ ชูเฟิง นางจึงมองเขาในมุมที่ต่างออกไป “ถุ้ย!! อัจฉริยะ ถ้ามันไม่ได้รับพลังจากอารามแห่งการสืบทอด มันก็ไม่มีอะไรเหลือ”
อย่างไรก็ตาม ฉาน เฟิง ที่เกลียด ชูเฟิง เข้าไส้ ไม่ยอมรับความคิดเห็นของ มู่หรง ว่าน “เหอะ! ไม่ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะหรือไม่ ข้าแน่ใจว่าเจ้ารู้ดีที่สุด ใช่หรือเปล่าล่ะ ?!”
หย่า เฟย ยิ้มและมองไปที่หน้า ฉาน เฟิง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน แม้ว่านางไม่ชอบ ชูเฟิง แต่นางก็เห็นด้วยกับความคิดของมู่หรง ว่าน “เอ่อ . . . .”
ได้ยินแบบนั้น ฉานเฟิงถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะเขารู้ดีที่สุด ในเรื่องความแข็งแกร่งของ ชูเฟิง ก่อนหน้านี้ที่เขากล่าวว่า ชูเฟิงได้รับพลังจากอารามแห่งการสืบทอดก็เพราะเพื่อรักษาหน้า ลึกๆแล้วเขาเจ็บใจอย่างมากที่พ่ายแพ้ให้แก่ ชูเฟิง
คนอื่นๆไม่อาจจะได้ยินการสนทนาของพวกเขา เพราะในตอนนั้น ทุกคนก็มุ่งหันไปที่การพูดคุยเกี่ยวกับอารามแห่งการสืบทอด แม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อเรื่องที่ ชูเฟิง เอาชนะ 3 ยอดอัจฉริยะ แต่พวกเขาให้ความสนใจเกี่ยวกับอารามแห่งการสืบทอด
เพราะนั้นมันหมายความว่าหุบเขาสายหมอกไม่ใช่ธรรมดา แท้จริงมีวิญญาณตราประทับอยู่ภายในอารามฯมากมาย หากมันมีอยู่จริงแล้วคนที่ได้รับสิ่งล้ำค่าทั้งหมดกลับมา มีโอกาสเป็นไปได้ว่า คนคนนั้นจะได้รับทักษะต้องห้ามชั้นพสุธา ซึ่งทักษะต้องห้ามชั้นพสุธาเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในทะเลตะวันออก
แต่ช่างน่าเสียดายที่อารามแห่งการสืบมันได้ทำการป้องกันตัวเองหากมีผู้ลุกล้ำ โดยฝังร่างของยอดอัจฉริยะไว้ภายในนั้น ซึ่งมันทำให้ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสรู้สึกเสียใจไม่น้อย
ทักษะต้องห้ามชั้นพสุธาเป็นสิ่งที่ล้ำค่า ไม่ว่าใครก็อยากจะได้มันมาครอบครอง เพราะมันนับเป็นสิ่งหาแทบไม่ได้ในทะเลตะวันออก
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า คำเหล่านั้นเป็นแค่คำโกหก เพราะอารามแห่งการสืบทอดไม่ได้ทำลายตัวเอง เรื่องจริงนั้นคือสิ่งที่ ชุน หวู กล่าวออกมาทั้งหมด
ในเวลานั้น ชุน หวู และคนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึงที่พักของ ท่านหญิง เพียวเมี้ยว
มันเป็นพระราชวังขนาดใหญ่ ราวกับว่าเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง ภายในพระราชวังด้านบนเปิดกว้าง สามารถมองเห็น ท้องนภาสีครามและเมฆาสีขาวที่รอยร่่อง
สภาพแวดล้อมและทัศนียภาพภายในพระราชวังงดงามตละกาลตา ไม่เพียงแค่ลมที่พัดต้นไม้ปลิวไสว มันยังสามารถมองเห็นสัตว์เล็กชนิดต่างๆกระโจนออกมาจากพุ่มไม้เล็ก ตลอดเวลามีเสียงนกร้องจิ๊บๆตลอดถึงจนเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่
สำหรับท่านหญิง เพียวเมี้ยว ตอนนั้นนางยื่นอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ ซึ่งมันทำให้นางดูไม่เหมือนกับคนธรรมดา นางเหมือนกับ เทพธิดาซะมากกว่า “เซี้ยะ หยู , ตง เซวีย!””คำพูดของฉิวชือ และ ชุน หวู เป็นเรื่องจริงงั้นหรอ ? !”ท่านหญิง เพียวเมี้ยวถามพวกนางอย่างใจเย็น หลังจากได้ยิน ฉิว ซือ และ ชุน หวู อธิบายเรื่องราวทั้งหมด “ท่านอาจารย์ เรื่องทั้งหมดเป็นความจริง ได้โปรดช่วยน้อง หวู่ฉิง ด้วย”
เซี้ยะ หยู และตง เซวีย ไม่ได้โง่ พวกเขาจะกล้าโกหกนางเมื่ออยู่ต่อหน้างั้นเหรอ ? ไม่เพียงแต่พวกนางไม่ได้โกหก พวกนางยังแกล้งแสดงละครแซ้งทำเป็นว่า ดูเป็นห่วง เป็นใย “อาจารย์ ศิษย์น้อง หวู่ฉิง ตกที่นั่งลำบาก เพราะเขาช่วยพวกเราไว้ ดังนั้นท่านต้องช่วยเขานะ”
ชุน หวู และ ฉิว ชือ ก็เริ่มขอร้อง “ใช่แล้วท่านอาจารย์ ยังมีคนของหมู่เกาะประหาร! พวกมันกล้าที่จะอาละวาดทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์ของหุบเขาสายหมอก ท่านจะต้องให้บทเรียนแก่พวกเขานะ”
ชุน หวู กล่าวต่อด้วยความเกรี้ยวกราด
ตอนนั้น ท่านหญิง เพียวเมี้ยว ก็ยังมีท่าทีแสดงออกไม่ต่างไปจากเดิม จากนั้นก็กล่าว”
ข้าไม่ใช่ผู้ปกครองสูงสุดของยอดเขาสายหมอก ทุกอย่างในนั้นล้วนเป็นเพียงการก่อตัว การทำงานของการก่อตัวเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ แล้วนับประสาอะไรกับ หวู่ฉิง ที่ถูกขังอยู่ภายในดินแดนตราประทับนิรันดร์ ข้าเองก็ไม่อาจช่วยเขาได้” [ T/N เหมือนจะบอกว่าถ้าเลยสิบวันแล้ว ประตูจะปิด แม้แต่นางเองก็ไม่อาจเปิดให้ ชูเฟิง กลับออกมาได้ ซึ่งคงมีแต่ ผู้สร้างมันเท่านั้น ที่ทำได้ “สำหรับเรื่องของพวก หย่า เฟย และคนอื่นๆ ให้เจ้านั้นเก็บเอาไว้ภายในใจ อย่าได้กล่าวถึงมันให้คนภายนอกหรือใครก็ตามได้ยิน ถ้าหากพวกเขาไม่เชื่อ เขาจะรู้สึกว่า คำพูดเจ้านั้นเป็นการใส่ร้ายพวกเขา และมันก็จะมีผลกระทบต่อหุบเขาสายหมอก””อย่าลืมว่าเจ้าสี่คน คือผู้สืบทอดของข้า ทุกคนต้องทำทุกอย่างเพื่อหุบเขาสายหมอก ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องระมัดระวังไม่ว่าจะทำอะไร และต้องฉลาดในการจัดการปัญหาไม่ให้เป็นที่เยาะเย้ยของผู้คน””แต่ท่านอาจารย์ จะให้ข้าทิ้งน้อง หวู่ฉิง โดยไม่สนใจใยดีเขางั้นหรอ เขาทำเพื่อช่วยพวกเรานะ”
ชุน หวู รู้สึกปวดใจอย่างมาก นางนั้นไม่สนใจเรื่องหย่า เฟย ว่าอาจารย์จะทำยังไง แต่นางไม่อาจทนให้ ชูเฟิง ตายไปทั้งๆแบบนี้ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเขา แต่ข้านั้นไม่มีอำนาจพอที่จะช่วยเขาได้”
ท่านหญิง เพียวเมี้ยว ส่ายหน้าขณะที่กล่าว เห็นได้ชัดว่านางเองก็ลำบากใจไม่ใช่น้อย
พวกเขาทั้งหมดในตอนนั้นได้แต่นิ่งเงียบ เพราะนางคิดว่าอาจารย์ของพวกนางจะสามารถช่วยเหลือ ชูเฟิงได้ ซึ่งนางไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้
สุดท้ายทุกคนได้แต่แสดงสีหน้าที่ขมขื่นออกมาราวกับประสบความทุกข์นับหมื่น เพราะพวกเขาคิดว่า ชูเฟิง อาจจะต้องตาย
แน่นอนว่าคนที่เศร้าจริงๆ มีแค่ ชุน หวู และ ฉิว ชือ ส่วน เซี้ยะ หยู และ ตง เซวีย เป็นแค่การเล่นละครทางสีหน้าเท่านั้น ตอนนั้นบอกได้เลยว่าในใจของพวกนางรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ชุน หวู และ ฉิว ชือยังคงไม่ละทิ้งความหวังเล็กๆภายในจิตใจ ดังนั้น พวกนางจึงเก็บน้ำตาไว้รอตอนที่ ชูเฟิง กลับมา แต่ความเป็นจริงนั้นมันโหดร้าย เพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ณ เวลาเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะ ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มทำลายยันต์นิรันดร์เพื่อกลับมายังยอดหุบเขาสายหมอก
แต่ตอนนั้นก็ครบกำหนดเวลา 10 วันแล้ว แต่จำนวนคนมีแค่ 99 คนเท่านั้นที่ปรากฏ และคนที่หายไปก็คือ ชูเฟิง
ซึ่งนั้นทำให้ความหวังของ ชุน หวู, ฉิว ชือ และ เจียง ว่านชือ และแม้แต่ฉิวซุ่ย ฟู่หยาน พังทลายลงไป เพราะนั้นหมายความว่า ชูเฟิงคงพบกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ทุกคนต่างรู้สึกว่า ชูเฟิง ตายอยู่ในดินแดนตราประทับนิรันดร์ ก็มีฉาก ฉากหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ เวลานั้น
ถ้าจะพูดแบบเจาะจง มันไม่ใช่ดินแดนตราประทับนิรันดร์ เนื่องจากตำแหน่งในปัจจุบันนั้นคือดินแดนที่แสนจะประหลาด เพราะมันมีกองกระดูกเท่าภูเขาและบนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆสีดำ
ชูเฟิง ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอาการมึนงง และเวลาก็ผ่านไปนานแสนนาน ดูเหมือนว่าในตอนนั้น เขาจะได้สติกลับมา แต่ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในอารามแห่งการสืบทอด
แต่ตอนนั้นเขากับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า เพราะเขารู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย เขารู้ว่าที่เขาคิดไว้มันถูกต้องทั้งหมดที่แห่งนี้แสนจะลึกลับและเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ แน่นอนว่ามันย่อมไม่ปล่อยให้เขาตาย
* ฟู่ววว * สักพักก็มีเสียงลมดังขึ้นมาในอากาศ และใบหน้าที่ลึกลับขนาดมหึมาดั่งใบหน้าของพระเจ้าก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
มันจ้องมองลงมาจากท้องฟ้าและเผ่งสายตามายังร่างของชูเฟิง จากนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้นราวกับว่ามันสามารถจะรอดผ่านแม้แต่สวรรค์ลงมา”เจ้ากล้าหาญและเปี่ยมไปด้วยปัญญา แต่น่าเสียดายที่เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอถึงได้พลาดท่าให้กับฝ่ายตรงข้าม จนทำให้ตัวเองเกือบต้องตาย””แต่ข้าจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างภายในอารามแห่งการสืบทอดให้แก่เจ้า และรางวัลอีกอย่างที่ข้าจะให้แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ”
* ฟิ้ววว * ขณะที่เขาพูด ลำแสงก็พุ่งลงมาจากฟ้า และ ตรงเข้าใส่ ชูเฟิง โดยผสานเข้าไปในร่างกายของเขา
ReaDMGA///////////////////////////////////////////////////B : นี้ล่ะ ไม่ใช่พลังแบบชั่วคราวอีกต่อไปแล้ว หย่าเฟย, มู่หรง ว่าน และฉาน เฟิง เตรียมตัวไว้รอเลย พี่เฟิงจะกลับไปพร้อมกับ สินสอด
C : สินสอด กระด. . . ดิ!!!
A : เอาสินสอดเป็นไอนั้นหรอกหรือเนี่ย!!!
B : กูหมายถึงส้นตีน พอพี่เฟิงกูหลุดออกมา ไอสามตัวนั้นแทบจะเผ่นป่าราบ
A : อยากเห็นว่ะ หวังว่าวันนี้คงจะจบแบบไม่ค้าง