ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป*** วิ๊ง ***
และในทันทีจากพระราชวังที่เงียบเฉียบก็ได้มีแสงกระจ่างใสยิ่งออกมา สัญลักษณ์ที่อยู่ภายในก็ได้เป็นประกายและสว่างขึ้น
และบนแท่นหินที่’ชูเฟิง’ได้ก้าวเดินขึ้นไปก็ได้มีลำแสงพุ่งตรงขึ้นไปถึงท้องฟ้าพร้อมกับสภาพโดยรอบของเสาแสงนั้นก็ได้มีกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจายออกมา
ในทันทีทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เกือบแทบจะหยุดลมหายใจของเขา ส่วนบางคนก็ทำใจยอมรับกับสิ่งที่พวกเขากำลังจะได้เห็นไม่ได้จึงได้ปิดตาของพวกเขาเพราะพวกเขากลัวว่าชูเฟิงนั้นจะไม่สามารถทนแรงกดดันได้และถูกบีบเละจนกลายเป็นกองเลือด
“นั้นดู! ชูเฟิงเขายังอยู่ดี! เขายังคงยืนอยู่บนแท่นศิลา!”
ทันใดนั้นก็ได้มีคนโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นเพียงเพราะเขายังคงเห็นชูเฟิงยังคงยืนอยู่บนแท่นหิน นอกจากนี้ชูเฟิงยังคงเดินเข้าไปใกล้กับใจกลางของแท่นด้วยสีหน้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเขานั้นไร้ความรู้สึก
“โอ้วสวรรค์! ชูเฟิงจริงสามารถทนแรงกดดันของสายเลือดราชวงศ์ผสานอำนาจได้ ?! ”
ในทันทีใบหน้าของพวกเขาทุกคนก็ได้ตกอยู่ในอาการช็อกและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยืนอยู่ร่วมเป็นสักขีพยานให้กับ ‘เจียง หวู่ฉาง’ ที่ประสบความล้มเหลวมันจึงทำให้พวกเขานั้นรู้สึกตกใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนถึงกับล้มลงไปที่พื้น
เพราะว่าในตอนนี้นั้นมันอาจกล่าวได้ว่าจุดที่’ชูเฟิง’ได้ก้าวไปนั้นมันไกลว่าจุดที่ ‘เจียง หวู่ฉาง’ ได้ยืนอยู่เป็นอย่างมากความกดดันของแรงดันที่’ชูเฟิง’ได้ยืนอยู่นั้นมันอาจกล่าวได้ว่าชั่งน่ากลัวอย่างแท้จริง แต่สำหรับ’ชูเฟิง’แล้วนั้นมันราวเหมือนกำว่าแรงดันทั้งหมดมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสายลมเย็น ๆ สำหรับเขา มันจึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่ผู้คนราชวงศ์เจียงได้เห็นแล้วจะไม่ตกใจ
“นั้นดู บนร่างกายของชูเฟิงนั้นได้มีแสงของออร่าบาง ๆ เล็ดลอดออกมา ลักษณะออร่าแบบนั้น…หรือว่าจะเป็นหนึ่งในทักษะเร้นลับในตำนานที่ชูเฟิงครอบครองทักษะเกราะเต่าทมิฬ ?!”
“มันเป็นไปได้ว่าเขาใช้ทักษะเร้นลับเกราะเต่าทมิฬเพื่อป้องกันแรงดันจากสายเลือดราชวงศ์ผสานอำนาจที่บรรพชนของพวกเราได้สร้างขึ้นมาได้หรือไม่”
“ใช่แล้ว! เหตุผลที่ว่าทำใมเขาถึงไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของสายเลือดราชวงศ์ผสานอำนาจ มันเป็นเพราะว่าเขาได้ใช้ทักษะเร้นลับในตำนานเพื่อปกป้องร่างกายของเขาเอาไว้นี่เอง”
เมื่อได้มีคนสังเกตเห็นออร่าจางๆที่หลุดลอดออกมาจากร่างกายของ’ชูเฟิง’พวกเขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าออร่าชนิดนี้นั้นจะต้องเป็นออร่าของทักษะเร้นลับเกราะเต่าทมิฬ
*** ชูววว ***
แต่เพียงในเวลานั้นที่พวกเขาทุกคนได้คิดว่า’ชูเฟิง’นั้นได้ใช้ทักษะเร้นลับในตำนานเพื่อปกป้องร่างกายของตัวเอง, ‘ชูเฟิง’ก็ได้แสดงความมั่นหน้าของเขาออกมาและปลดทักษะเร้นลับเกราะเต่าทมิฬที่ปกป้องร่างกายของเขาอยู่ออกไป และใช้ร่างกายเพรียว ๆ ป่าว ๆ ยืนอยู่บนจุดศูนย์กลางของแท่นหิน
“ดูนั้น! เขาออร่ารอบตัวของเขาได้หายไป! ตอนนี้ชูเฟิงจริงได้ยืนอยู่บนอำนาจของการก่อตัวและเขายังไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันใด ๆ!”
เมื่อหันหน้าไปยังฉากที่เกิดขึ้นในตอนนี้เหล่าดวงตาของผู้คนของราชวงศ์เจียงนั้นแถบจะถลนออกมาและลิ้นของพวกเขายังได้รับการพันกันอยู่ในปากของเขา มันอาจพูดออกมาได้เต็มปากเลยว่าพวกเขานั้นได้ตกอยู่ในความตลึงอย่างสมบูรณ์
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขานั้นถึงกับพูดไม่ออกอย่างแท้จริงนั้นก็คือในตอนนี้ถึงแม้ว่า’ชูเฟิง’จะไม่ได้มีการป้องกันจากทักษะเร้นลับแล้วนั้นแต่เขาก็ยังคงเดินวนไปรอบ ๆ ได้พร้อมกับปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็ได้ยกมือซ้ายและมือขวาขึ้นเพื่อให้สัญญาณมือกับราชวงศ์เจียงนั้นว่าเขานั้นสบายดีและไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
3:พร้อมกับนำมือขวาไปทับกับมือซ้ายอยู่ในระดับเอวและร้องเพลงโอปัน กังนัมสไตล์ โอ โอ โอ โอปัน กังนัมสไตล์
แรงกดดันที่ผู้คนของราชวงศ์เจียงเองนั้นยังไม่สามารถที่จะทนรับมันได้แต่กับชูเฟิงนั้น เขาสามารถเดินเล่นได้อย่างอิสละราวกับว่าเขานั้นได้อยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ด้วยความเป็นจริงนี้มันจึงทำให้ผู้คนของราชวงศ์เจียงนั้นตกใจอย่างแท้จริง
“โอ้วชูเฟิงนี่ชั่งน่ามหัศจรรย์จริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงได้มีความมั่นใจในตนเองได้ถึงขนาดนั้น มันเป็นเพราะว่าเขานั้นสามารถทนแรงกดดันของสายเลือดราชวงศ์ผสานอำนาจได้นี่เอง”
ในทันทีเหล่าผู้อาวุโสของราชวงศ์เจียงก็ได้พูดปะหาลือกันเกี่ยวกับสิ่งที่น่าเหลือเชื่อของชูเฟิงที่ได้ทำให้พวกเขาได้เห็น
“มันเป็นดั่งที่บรรพชนเก่าแก่ได้กล่าวเอาไว้จริง ๆ ว่าชูเฟิงนั้นไม่ใช่บุคคลที่เรียบง่าย บางทีเขาอาจเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อนก็เป็นได้ และภายในร่างกายของเขาอาจมีอำนาจบางอย่างที่แสนน่ากลัวอยู่ก็เป็นได้ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่อาจที่จะสามารถทนกับแรงกดดันจากการก่อตัวขนาดนี้ได้อย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของ ‘เจียง เฮิงหยวน’ ที่พูดออกมานั้นมันชั่งเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนและความคาดหวังในใจของเขาก็ได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
และในเวลาเดียวกัน เจียง ยี่หนี่ บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เยาวชนของราชวงศ์เจียงและยังเป็นถึงองค์หญิงของราชวงศ์เจียง ในขณะนี้ดวงตาของเธอได้เบิกกว้างออกมาราวกับว่ามันจะถลนออกมายังใงยังงั้นพร้อมกับพูดด้วยเสียงต่ำว่า
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชะตากรรมของราชวงศ์เจียงที่ได้เป็นอยู่มายาวนานนับพันปีจะไปตกอยู่ที่มือของบุคคลภายนอกเช่นเขาแบบนี้”
แม้ว้าการก้าวเดินเข้าไปในแรงกดดันของการก่อสายเลือดราชวงศ์ผสานอำนาจของชูเฟิงในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จและสร้างความแปลกประหลาดใจให้กับผู้คนแต่มันก็ต้องบอกว่ามันได้สร้างความหวังให้พวกเขาด้วยเช่นกัน
แต่สายเลือดราชวงศ์ผสานอำนาจมันไม่ได้เป็นสิ่งที่เรียบง่ายอย่างที่พวกเขาคิด แม้ว่าความจริงอำนาจของมันได้เข้ามาบรรจบกันและผสานเข้าไปในร่างกายของชูเฟิงแต่มันอาจบอกได้ว่าความเร็วในการผสานเข้าไปในร่างกายของชูเฟิงนั้นมันแลดูช้าเอามาก ๆ
จนในที่สุดเหล่ากองกำลังนิกายโลกวิญญาณและความเร็วของสายเลือดราชวงศ์ผสานอำนาจที่ผสานเข้าไปในร่างกายของชูเฟิงนั้นก็นับว่าเร็วเพิ่มขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นไม่กี่วันที่ผ่านมาสายลับของราชวงศ์เจียงก็ได้แจ้งข่าวมาแล้วว่ากองทัพของทั้งสามราชวงศ์วงนั้นในตอนนี้ได้เดินทางมาถึงอาณาจักรฮั่นแล้ว นอกจากนี้พวกมันจะมาถึงหน้าประตูเมืองในไม่ช้า
สงครามที่ราชวงศ์เจียงไม่ต้องการให้มันได้เกิดขึ้นนั้นในที่สุดมันก็ได้มาถึง
*** ตึม ตึม ตึม ตึม ตึม ***
ภายนอกเขตของพระราชวังได้เกิดเสียงระเบิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนที่อยู่ในขอบเขตหลายพันกิโลเมตรต่างได้ยินเสียงอันอึกทึกที่น่ากลัวนี้ทั้งนั้นมันอาจกล่าวได้ว่าเป็นเสียงที่ดังยิ่งกว่าฟ้าร้อง
พร้อมกับการก่อจิตวิญญาณปิดผนึกของราชวงศ์เจียงที่สูงค้ำฟ้า, ได้เกิดเสียงระเบิดออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมชั้นระลอกคลื่นของการระเบิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งตรงเข้าใส่ชั้นก่อวิญญาณของราชวงศ์เจียง
ในท้องฟ้าได้มีรูปร่างที่สวมชุดคลุมและเสื้อผ้าแตกต่างกันถึงสามสี และก็มีตัวอักษรสีทองที่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของพวกเขาทุกคนมันได้สลักเอาไว้ว่า “ราชวงศ์” บนหน้าผากของพวกเขา พวกเขาทั้งสามกองกำลังได้รวมกันเหวี่ยงการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของพวกเขาพุ่งเข้าใส่กับชั้นก่อวิญญาณปิดผนึกของราชวงศ์เจียง
พวกเขาทั้งหมดเป็นกองกำลังของราชวงศ์จ้าว ราชวงศ์จี และ ราชวงศ์หลิว
นอกจากนี้พวกเขายังมีผู้เชียวชาญแดนสวรรค์วิญญาณอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นผู้เชื่อต่อฯที่แข็งแกร่งและยังรวมไปถึงหลายอสูรโลกวิญญาณภพต่าง ๆ ที่แสนจะน่ากลัวและถูกเรียกโดยเหล่าผู้เชื่อต่อฯ พร้อมกับเหล่าสัตว์ยักษ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในอาณาจักรแดนสวรรค์พวกมันทุกตัวได้รวมการโจมตีที่แรงที่สุดของพวกมันพุ่งเข้าใส่ชั้นของการก่อตัวจิตวิญญาณปิดผนึก
และยังมีราชรถที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่พร้อมกับอาหารมากมายและไวน์ บนราชรถนั้นได้มีผู้เฒ่าอยู่สามคนและชายวัยกลางคนอีกสามคนพวกเขานั่งรายล้อมอยู่รอบโต๊ะในขณะที่กับดื่มไวน์และเริ่มการพูดคุยสนทนา
พวกเขาได้นั่งกินกันอย่างสบายใจเฉิบและหัวเราะคิกคักพร้อมกับนั่งดูแสงและประกายไฟที่มาจากการบริเวณพื้นที่สงครามมันอาจพูดได้ว่าเป็นฉากที่สวยงามยิ่งนักในการมากินข้าวใต้แสงไฟแห่งสงครามเช่นนี้
และพวกเขานั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันและเหล่าบรรพชนของราชวงศ์จ้าว, ราชวงศ์จี และราชวงศ์หลิว
“เหอะมันดูเหมือนกับว่าตาเฒ่าของราชวงศ์เจียงมันจะไม่มีปัญญามาสู้กับพวกเราได้จริง ๆ แต่อย่างน้อยๆมันก็หน้าที่จะออกมาเผชิญหน้าและมีใจที่จะต่อสู้กับพวกเราซักหน่อยสิจริงไหม?”
ในขณะที่บรรพชนเก่าแก่ของตระกูลจ้าว มองดูผู้คนจากราชวงศ์เจียงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและตื่นตระหนก มุมปากของเขาก็ได้ยกสูงขึ้นพร้อมกับปรากฏร้อยยิ้มอันเย็นชาขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา
“มันชั่งน่าสงสารยิ่งนักที่ถูกว่างแผนฆ่าโดนพี่ชายของตัวเอง แต่พี่ชายของมันก็ชั่งโง่เง่ายิ่งนักมันคิดจริง ๆ หรือว่าพวกเราจะยกสมบัติอันล้ำคาเช่นหญ้าอมตะที่สามารถยืดอายุได้ถึง 10 ปีให้แก่มัน!.”
บรรพชนเก่าของราชวงหลิวก็กล่าวออกมาในทำนองเย้ยหยันเช่นเดียวกัน
“เหอะชั่งเป็นบุคคลที่โง่เขลายิ่งนักด้วยความโง่ของมันที่ไม่มีปัญญาจะยืดอายุของตนพวกเราจะทำให้มันได้ค้นพบกับความสิ้นหวังแล้วฆ่ามันลงด้วยมือของพวกเราเอง”
บรรพชนเก่าแก่ของราชวงศ์จี พูดหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวของตน
“แต่ว่าไอ้ตาเฒ่าของราชวงศ์เจียงนั้นมันมีไหวพริบดีด้วยนี่ซิเพราะว่ามันนั้นเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในเหล่าบรรพชนทั้งสี่ของพวกเรา มันเป็นไปได้ว่าตัวมันเองนั้นจะแกล้งบาดเจ็บหรือไม่?”
บรรพชนเก่าแก่ตระกูลจ้าว เริ่มกล่าวออกมาด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องเป็นกังวลไปเพราะว่าในตอนนี้นั้นข้าได้เตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี นับตั้งแต่ที่พวกเราได้มาที่นี่ราชวงศ์เจียงมันจะต้องถูกทำลายพวกมันจะต้องถูกล้างแค้นให้กับเหล่าบรรพชนที่ร่วงรับไปแล้วของพวกเรา”
บรรพชนราชวงศ์จี กล่าวออกมาด้วยลักษณะที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
“หึสิ่งที่เรียกว่าการเตรียมการเนี่ยมันหมายถึงอาวุธลับของท่านที่ได้กล่าวถึงเอาไว้ใช่หรือไม่ มันคืออะไรกันแน่นะอาวุธลับของท่านที่ท่านถึงกับต้องสร้างจิตวิญญาณป้องกันการตรวจสอบเอาไว้เพราะว่าแม้แต่พวกข้าเองก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่าอาวุธลับของท่านนั้นมันคืออะไร”
ในขณะที่บรรพชนหลิวพูดเขาก็ได้โยนสายตาของเขาไปยังห้องโถงที่อยู่เบื่องหลังของเขาที่อยู่บนราชรถ
‘ใช่สิ่งนี่ที่เรียกว่าอาวุธลับของท่านนั้นมันคืออะไร? อย่าทำให้พวกเราต้องมาคอยลุ้นกันแบบนี้ซิ”
ในเวลาเดียวกันอีกสามคนที่อยู่บนราชรถก็ได้เอยปากถามพร้อมกับจ้องมองไปยังห้องโถงนั้น
ในสถานที่หนึ่งบนราชรถขนาดใหญ่ มันได้มีห้องโถงขนาดเล็กอยู่ห้องหนึ่งและด้านนอกของห้องโถงเล็กนั้นก็ได้มีการสร้างจิตวิญญาณปิดผนึกเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครได้รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรและไม่ว่าจะเป็นผู้เชียวชาญคนไหนก็ไม่สามารถที่จะตรวจสอบหรือตรวจจับสิ่งที่อยู่ภายในได้
#################################################################################################
ที่มา: