ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลังจากที่ดูดเลือดจนเสร็จ เด็กสาวในชุดเดรสสีแดงหันกลับมา ใบหน้าที่น่าทะนุถนอมและมีเสน่ห์มองมาที่นักเวทย์ทั้งสองคนที่กำลังสั่นไปทั้งตัว เฟนริลไม่สามารถทนแรงกดดันที่เกิดขึ้นได้ เขาไม่สามารถควบคุมแขนขาของเขาให้หยุดสั่นได้เลย
รูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวของ ‘แมรี่’ ได้กลับมาเป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าทะนุถนอม อย่างไรก็ตาม ทั้งดวงตาสีแดงเลือดและฟันเขี้ยวที่โผล่ออกมาบนมุมปากทำให้ดูเหมือนความน่ากลัวที่ซ่อนไว้ในความน่าหลงไหล
แม้ว่าร่างกายของเธอจะเต็มไปด้วยเลือด แต่กลับทำให้เธอมีเสน่ห์เหมือนดอกกุหลาบที่เต็มไปด้วยคราบเลือด มันเป็นภาพที่กำให้กริมใจสั่น ทำให้เขารู้สึกว่าแทบจะไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้หลงเสน่ห์ของเธอ
แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องกลัวอาการบาดเจ็บตราบใดที่พวกเขามีเลือด พวกเขาจะมีพลังชีวิตไม่จำกัด นี่คือเผ่าพันธุ์ที่เป็นอมตะที่มีอยู่ในหนังสือเก่าแก่ของดินแดนเวทมนตร์ พวกเขาถูกนักเวทย์ไล่ล่าจนเผ่าพันธุ์ของพวกเขาเกือบจะสูญพันธุ์ แม้ว่าจะมีผู้ที่เหลือรอดอยู่ แต่พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตนออกมา
นี่เป็นเหตุผลที่กริมตกใจมากเมื่อเห็นว่าแมรี่เป็นแวมไพร์ หลังจากที่เขาตกใจเมื่อรู้ถึงเผ่าพันธุ์ของแมรี่ กริมรู้สึกสั่นไปทั้งตัว เมื่อคิดว่านักเวทย์ต้องมีพลังขนาดไหนถึงจะสามารถล่าแวมไพร์พวกนี้ให้เกือบสูญพันธุ์ไปได้
การทดลองเวทมนตร์แบบไหนที่แมรี่ทำ? ถึงขนาดเปลี่ยนเด็กผู้หญิงธรรมดาเป็นเผ่าพันธุ์ที่กระหายเลือดขนาดนี้ได้? เสียงที่เขาได้ยินน่าจะเป็นเสียงของแมรี่ที่กำลัง ‘กลายพันธุ์’ ?
ทันทีที่เด็กสาวชุดแดงเดินไปทางเอเลนซึ่งกำลังตัวสั่นอยู่ คบไฟที่อยู่ตามทางเดินมืดๆเผยให้เห็นร่างเงาที่กำแพงและร่างนั้นพูดออกมาว่า
“พอได้แล้ว เด็กน้อยวันนี้ฆ่าเยอะเกินไปแล้ว การวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของเธอเสร็จสมบูรณ์แล้ว! จากนี้ไปเธอต้องหยุดกินเลือดสดๆ กลับไปหาความรู้ซ่ะ!”
ชายคนนั้นพูดขึ้น เขามีหลังที่ค่อมและใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็น เสื้อคลุมสีดำยาวคลุมตัวเขาไว้ทั้งหมดและหมวกที่แหลมยาวที่วางอยู่บนศีรษะ เขาถือไม้เท้าที่ทำจากไม้ที่บิดเป็นเกลียวและมีผลึกสีเขียวที่ส่องแสงเป็นประกายอยู่บนไม้เท้านั่น
ชายชราคนนั้นเป็นจอมเวทย์เพียงคนเดียวในหอคอยเวทมนตร์ จอมเวทย์ เอนเดอร์สัน
ด้วยอับดับขั้นนักเวทย์ของกริมซึ่งเขามีความรู้และประสบการณ์ แต่เขาไม่มีความคิดสร้างสรรค์
แม้เขาจะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จะถึงหูของเจ้าของหอคอยเวทมนตร์ กริมจึงต้องปิดทัศนวิสัยค้นหาธาตุลง เมื่อจอมเวทย์เอนเดอร์สันปรากฏตัวออกมาที่โถงทางเดิน พลังเวทย์ที่แข็งแกร่งแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา นั่นทำให้ดวงตาของเขาได้รับบาดเจ็บและมีน้ำตาไหลออกมา
กริมรีบปิดประตูเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และซ่อนตัวอยู่ในห้องของเขา เขาไม่กล้าที่จะออกไปมองเหตุการณ์ข้างนอกนั่น ถ้าเขารู้ความลับที่จอมเวทย์เอนเดอร์สันไม่ต้องการให้เขารู้ละก็ชีวิตของเขาคงจะจบลงทันที
สิ่งที่เกี่ยวกับจอมเวทย์ที่กริมรู้คือ พวกเขาเป็นคนโหดเหี้ยม อำมหิต พวกเขาฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตาและยังมีการทดลองที่ชั่วร้ายที่ทดลองกับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ทำให้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อให้ระมัดระวังมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางหลบสัมผัสเวทย์ของจอมเวทย์เอนเดอร์สันได้ อย่างไรก็ตามการที่เขาทำแบบนี้เพื่อแสดงว่าเขาไม่ได้ต้องจะยุ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างน้อยถ้าเขาออกมาก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะปลอดภัย
นั่นหมายความว่าอีกฟากหนึ่งของกำแพง
แมรี่กลายเป็นแวมไพร์ที่น่ากลัวปละดุร้าย ดวงตาสีแดงเลือดของเธอเป็นประกายเหมือนแววตาของสัตว์ป่า เล็บของเธอเริ่มยาวและคมเป็นประกาย
เห็นได้ชัดว่าแวมไพร์สาวเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก เธอเกาะกำแพงเหมือนตุ๊กแก และเริ่มปีนไปบนกำแพงด้วยความเร็วสูง เธอตรงไปทางเจ้าของหอคอย จอมเวทย์เอนเดอร์สัน
การไต่ไปบนกำแพงด้วยความเร็วระดับนี้ ทำให้เธอเพียงพอที่จะประชิดจอมเวทย์ได้ แมรี่ถีบไปที่กำแพงด้วยขาที่ทรงพลังของเธอและพุ่งไปทางจอมเวทย์ด้วยความเร็วสูง ขณะที่ร่างกายลอยอยู่กลางอากาศ เธอยื่นกรงเล็บออกไปด้านหน้าหมายจะคว้าหัวใจของจอมเวทย์ชรา
เมื่อเห็นใบหน้าที่เกรี้ยวกราดของแวมไพร์สาว จอมเวทย์เอนเดอร์สันยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ไม่มีวี่แววของความหวั่นไหวหรือความกังวลบนใบหน้านั้นเลย เขาชูไม้เท้าขึ้นมา ปรากฏพายุขนาดเล็กพุ่งไปทางแมรี่
“แม้ว่าจะเป็นแค่มนุษย์ทดลอง แต่ความกระหายเลือดที่เจ้าของร่างควบคุมไม่ได้นี่สิ…..น่าเสียดาย…”
ร่างกายของแมรี่นั้นเบา รูปแบบการโจมตีของเธอจึงเน้นไปที่ความเร็วแลความว่องไว ซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากสำหรับจอมเวทย์ปกติ ความสามารถของเธอที่เก่งเกินกว่ามนุษย์ธรรมดา ไม่สามารถทำให้เขาวิตกได้แม้แต่นิดเดียว เมื่อร่างของแมรี่ฟาดเข้ากับพายุที่พัดเข้ามา เธอถูกพายุหมุนรอบตัวแน่น ไม่สามารถหนีไปได้
วินาทีต่อมา แรงดึงดูดของพายุเริ่มแรงขึ้น พายุที่หมุนรอบแมรี่เริ่มหมุนแรงขึ้นและเหวี่ยงแมรี่ไปกระแทกกับกำแพงหินใกล้ๆ แม้ว่าเอนเดอร์สันจะไม่ได้ลงมืออย่างจริงจัง แต่นั่นเพียงพอที่จะล้มแมรี่ กริมที่ได้ยินเสียงกระดูกแตกดังผ่านประตูไม้เข้ามา
“แวมไพร์น้อย เธอสูญเสียตัวตนของเธอไปแล้ว….ทำไมฉันต้องเก็บเธอไว้ด้วยล่ะ? ลงนรกไปซ่ะ!”
จอมเวทย์เอนเดอร์สันยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว เขายกแขนขวาที่ผอมแห้งเผยให้เห็นเปลวเพลิงสีขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเขาและกดลงบนหน้าผากของเด็กสาวที่ดิ้นทุรนทุราย
เหมือนว่าเธอรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา นั่นเพราะเธอเป็นแวมไพร์ เป็นที่รู้กันดีว่าแวมไพร์ทุกตนมีประสาทสัมผัสพิเศษ อันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้เธอหยุดดิ้นรน ทันใดนั้นแมรี่กรีดร้องออกมาและถอยร่างหนีไปด้านหลังพร้อมกับความกลัวที่เกิดขึ้นในแววตาที่มองไปยังเปลวเพลิงนั่น ในเวลานั้นดวงตาสีแดงของเธอพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที
“เอ๊ะ?”
เอนเดอร์สันยังไม่ยอมลดมือลง บอลไฟยังคงเผาไหม้อยู่บนมือ แต่ไม่มีเสียงของการเผาไหม้แบบปกติให้ได้ยิน ภาพของเปลวเพลิงสีขาวที่สะท้อนอยู่ในแววตาของแมรี่ทำให้ใบหน้าของเธอซีดขาวเหมือนกับแป้ง
“โอ้….ดูเหมือนว่าความกลัวจะทำให้เธอรู้สึกตัวสินะ? นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน….ฉันคิดว่ามันคุ้มค่าพอที่จะเก็บมาวิจัยต่อ” จอมเวทย์เอนเดอร์สันพูดกับตัวเอง เขาโบกมือไปมาและลบเปลงเพลิงนั่นออกไป หลังจากนั้นเขาสะบัดนิ้วของเขาเพื่อสร้างห่วงลมขนาดเล็กมาคล้องคอ แขน ขาของเธอและเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
หลังจากนั้นเขาหันกลับมามองไปที่ศพของแอคโซรัส
เพราะว่าความกระหายเลือดของแมรี่ ทำให้เลือดทั้งหมดในร่างกายถูกดูดออกไป ศพของแอคโซรัสดูซูบผอม ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีจากร่างกายที่แข็งแรงปกติดีกลายมาเป็นแห้งเหี่ยว ทำให้ศพของเขาดูเหมือนกับมัมมี่ที่ถูกฝังมาเป็นเวลานาน
“หัวหน้าจอมเวทย์ตายไปแล้ว….ฉันจะให้นายมาแทนที่เขา! หน้าที่ของนายแบ่งงานให้กับนักเวทย์ขั้นต้นทุกคน” ด้วยใบหน้าที่เหี่ยวเฉาของจอมเวทย์เอนเดอร์สัน เขาชี้นิ้วมาที่เอเลนที่แทบจะยืนทรงตัวแทบไมได้พร้อมกับสั่งงานด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจ
หลังจากที่เขาพูดเสร็จ คบไฟที่อยู่บนโถงทางเดินก็จางลง กลับมาเป็นแสงสลัวเหมือนเดิม เมื่อจอมเวทย์และแมรี่หายตัวไปจากทางเดิน
หลังจากที่เป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นฉากนองเลือดที่เกิดขึ้น เอเลนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าจอมเวทย์ขั้นต้นอย่างไม่คาดคิด โดยที่ร่างกายของเขายังสั่นและกางเกงของเขาเปียกชุ่ม แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและตื่นเต้น
ทันทีที่เขาคิดได้ เขารีบก้าวเท้าไปที่ศพของแอคโซรัสและเริ่มค้นหาของในกระเป๋าศพที่ตายอย่างบ้าคลั่ง
ในเมื่อเขาได้เป็นหัวหน้าจอมเวทย์ขั้นต้นคนใหม่ เครื่องรางเวทย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของหัวหน้าจอมเวทย์ขั้นต้นต้องเป็นของเขา เขาต้องพบมันให้เร็วที่สุด
กระเป๋าคาดเอว เอาเป๋ากางเกง ซอกคอ รองเท้าหนัง….
เขาทำการค้นหาทุกที่ที่แอคโซรัสสามารถซ่อนได้ ซากศพก่อนหน้านี้ที่เขามองด้วยความกลัว ตอนนี้ได้กลายเป็นขุมสมบัติของเขา ทำให้เขาเต็มไปด้วยความสุข
ในที่สุดเขาก็เจอเครื่องรางเวทย์ที่บริเวณคอของซากศพ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาและหัวเราะออกมาเสียงดัง คนอื่นอาจจะคิดว่าเขาบ้าก็เป็นได้
เฟนริลที่สลบอยู่บนพื้น เขาค่อยๆลุกขึ้นมาช้าๆ
เขามองไปที่เอเลนด้วยจิตสังหารเนื่องมากจากความอิจฉา
ความจริงแล้ว เขาตื่นขึ้นมาก่อนหน้านั้น แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงแกล้งทำเป็นยังไม่ได้สติ (มีแกล้งตายซ่ะด้วย! 0-0)
ใครจะคิดว่าด้วยความกลัวของเขาทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้เป็นหัวหน้าจอมเวทย์คนถัดไปซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ เวลานี้เขาอยากจะถลกหนังของเอเลนของมาให้เหลือแต่กระดูก!
“ทำไมแวมไพร์ไม่ฆ่ามันกัน?!?” เฟนริลรู้สึกโกรธอยู่ในใจ
ในใจเขาเต็มไปด้วยความเสียดายและความโกรธ แต่เมื่อเขาลุกขึ้น เขาปั้นรอยยิ้มประจบประแจงขึ้นบนใบหน้า
“หัวหน้าจอมเวทญเอเลน ลุกขึ้นเถอะ ที่พื้นมันสกปรก ให้ฉันช่วยทำความสะอาดให้นายนะ”
เสียงขัดจังหวะของเฟนริลทำให้เอเลนรู้สึกตัว
เอเลนลุกขึ้นยืนและรีบหยิบตราขึ้นมา ขณะที่เขามองไปที่ตราสัญลักษณ์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉันทิ้งทุกอย่างไว้ให้นาย! มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับหัวหน้าคนก่อน ฉันต้องการแจ้งข่าวนี้ให้ทุกคนทราบ….ฉันคิดว่าถึงเวลาให้อาหารจระเข้ยักษ์ข้างนอกแล้วละ…..” ท่อนสุดท้ายของประโยค น้ำเสียงของเขาดูโหดร้ายและไม่ใส่ใจ
“เข้าใจแล้ว! ฉันจะทำความสะอาดที่นี่ทันที!” เฟนริลไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่ก้มหัวยอมรับ
หลังจากที่เขารู้สึกถึงพลังอำนาจใหม่ที่เขาเพิ่งได้รับมา เอเลนไม่ได้หันกลับมาและหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาเดินออกไปจากโถงทางเดิน
หลังจากที่เขาปล้นทุกอย่างมากจากศพของแอคโซรัส แต่อาจจะมีอะไรดีๆเหลืออยู่ในห้องของแอคโซรัส หลังจากที่ออกไปจากตรงนั้น เฟนริลพุ่งตัวออกจากทางเดินไปทันที
เพียงไม่กี่นาทีเสียงหัวเราะนั่นก็หายไป
****************************************
มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น!
คนร้ายก็คือ……………………
ไปติดตามกันได้ในเพจนะครับ