ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหม้อน้ำขนาดเท่ามนุษย์ ถูกจัดตั้งไว้ที่ลานตากธัญพืชของเผ่าเหลียน หม้อน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำมันเพลิง
น้ำมันเพลิงถูกซื้อมาจากชนเผ่าใหญ่ มันมีพลังแห่งไฟอยู่ในตัวเอง อุณหภูมิปกติของมันอยู่ที่ 500 องศาเซลเซียส ถูกใช้เป็นพิเศษสำหรับการกลั่นกระดูกสัตว์อสูร
ฟืนถูกซ้อนกันอยู่ภายใต้หม้อน้ำขนาดใหญ่เป็นพิเศษ มันเป็นฟืนสีม่วงลักษณะของมันโค้งงอ แต่ละท่อนเหมือนงูตากแห้งเก่าๆ แม้ว่าฟืนสีม่วงจะมองไม่น่าประทับใจ แต่พวกมันก็มีราคาแพง เพราะฟืนสีม่วงมีไฟพิเศษอยู่ในตัว
เปลวไฟที่ได้จากฟืนสีม่วงสามารถเผาไหม้ได้ตลอดวัน สามารถต้มหม้อน้ำขนาดใหญ่ๆได้หลายใบ
เผ่าเหลียนได้ตระเตรียมไว้เป็นเวลานานแล้วเพื่อวันนี้ แม้พวกเขาไม่เต็มใจที่จะใช้มัน ฟืนหนึ่งท่อนก็ต้องถูกใช้ในหนึ่งวัน พร้อมกับที่ไฟเริ่มเผาไหม้ ฟืนสีม่วงพ่นเปลวไฟสีม่วงเข้มออกมาอย่างเงียบสนิท ให้อุณหภูมิสูงมากในระดับที่พอจะละลายหิน!
ภายใต้เปลวไฟสีม่วงเข้ม น้ำมันเพลิงในหม้อเริ่มเดือด!
ผู้ควบคุมการต้มกลั่นกระดูกสัตว์อสูรคือผู้ดูแลเผ่าเหลียน ซึ่งเป็นปู่ของเหลียนเชิงอวี๋ เพราะมันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เขาจึงตัดสินใจที่จะทำมันเอง
“นำกระดูกสัตว์อสูรลงไป!”
ผู้ดูแลเผ่าออกคำสั่งเมื่อน้ำถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม เหล่าบุรุษร่างกำยำจำนวนหนึ่งแบกหีบไม้ใบใหญ่ออกมา ยกกระดูกสัตว์อสูร ก่อนที่จะทิ้งมันลงไปในหม้อขนาดใหญ่!
ผู้ดูแลเผ่ามองไปที่ฟองอากาศในหม้อด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ตามธรรมดาการกลั่นกระดูกสัตว์อสูรไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะทำได้ บุคคลที่เชี่ยวชาญในการกลั่นกระดูกสัตว์อสูรที่รู้จักกันในนาม ปรมาจารย์อสูรสวรรค์
ปรมาจารย์อสูรสวรรค์ยืนอยู่ฐานะของผู้ทรงคุณวุฒิ!
พวกเขามีความสามารถในการสกัดกลั่นแก่นพลังในกระดูกสัตว์อสูร ที่เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายเฝ้าฝันและปรารถนาในธาตุกระดูกสัตว์อสูร
โครงกระดูกที่พบบ่อยของกระดูกสัตว์อสูร หนักประมาณ 10,000 ปอนด์ แม้จะรู้กันว่า มีพลังงานมหาศาลถูกกักเก็บไว้ในกระดูก มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะบริโภคกระดูกจำนวนมากได้ หากพวกเขาฝืนทำ มันก็ยังยากที่จะย่อย! พลังงานภายในกระดูกสัตว์อสูร ดูดซับไม่ได้ง่าย แม้จะบริโภคกระดูกสัตว์อสูรเป็นจำนวนมาก แต่ประสิทธภาพที่ได้ก็น้อยกว่า 10%
แต่หากรับการกลั่นโดย ปรมาจารย์อสูรสวรรค์ ให้เป็นธาตุกระดูกสัตว์อสูร ที่มีขนาดเล็กเท่าลำไยหรื แม้กระทั่งเท่าเมล็ดถั่วผู้มั่งคั่งก็จะกิน 7-8 เม็ดต่อวัน ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากได้รับการกลั่นโดย ปรมาจารย์อสูรสวรรค์ แก่นพลังจะถูกดูดซับได้ง่าย เมื่อผู้ฝึกยุทธ ได้เข้าสู่ระดับที่มั่นใจได้ว่าสามารถป้องกันไม่ให้ร่างกายระเบิดจากพลังที่มากล้นเกินไป แล้วเขาก็จะสามารถย่อยธาตุกระดูกสัตว์อสูรได้ในที่สุด
ปรมาจารย์อสูรสวรรค์ ผู้สามารถกลั่นกระดูกสัตว์อสูรเดียวดายระดับสูงได้ เป็นบุคคลที่เหล่าผู้ทรงอำนาจมหาศาลต่างแย่งชิง!
มีเรื่องเล่าลือกันว่า อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ไทอาให้การอบรมปรมาจารย์อสูรสวรรค์ ความสุขที่ได้จากสถานะและศักดิ์ศรี ไม่ได้เป็นอะไรที่คนธรรมดาสามารถจินตนาการได้
สัตว์อสูรเดียวดายในโลกใบนี้มีหลายระดับ บางตัวสามารถเปิดเจ็ดสมุทร ทะลวงภูผา กระดูกสัตว์อสูรเดียวดายเหล่านั้น ยากที่จะกลั่นเป็นไปไม่ได้สำหรับคนธรรมดา!
มีเรื่องเล่าลือกันว่าปรมาจารย์อสูรสวรรค์ ได้เข้าสู่ขอบเขตที่ไม่อาจจินตนาการได้ ของการกลั่นกระดูกของสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์คิเมียร่าม่วงทอง ที่ต้องใช้เวลาสิบสองปี
สิบสองปีของการกลั่นกระดูกสัตว์อสูรกับตัวตนอันลึกลับ ทำให้ตำนานมีเสน่ห์มากขึ้น
มีผู้บอกว่า การกลั่นที่เกิดขึ้นจะทำให้รัศมีพันไมล์ กลายเป็นทะเลทรายแม้แต่ปรมาจารย์อสูรสวรรค์ก็มีราคาที่ต้องจ่ายในการกลั่นธาตุกระดูกสัตว์อสูร
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ธาตุกระดูกของคิเมียร่าม่วงทองถูกใช้เพื่ออะไรมีเรื่องเล่าลือต่างๆนาๆ บางคนกล่าวว่ามันถูกใช้เพื่อช่วยชีวิตของใครบางคน สำหรับเรื่องใครเป็นผู้ใช้นั้น มีเรื่องเล่าต่างกันเป็นโหล แต่ละเรื่องก็ใช้การคาดเดา อาทิเช่น ลูกสาวของปรมาจารย์อสูรสวรรค์ คนรักของเขาศิษย์ของเขา ฯลฯ
เรื่องเล่าลือเพียงผนึกสถานะของ ปรมาจารย์อสูรสวรรค์ไว้ในจิตใจของพวกเขา เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตำนานที่เล่าต่อกันมาจึงมีรายละเอียดปลีกย่อยประกอบอยู่ด้วย
เป็นที่เข้าใจได้ เพราะมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้คนที่ต้องเอาชีวิตรอดในดินแดนรอบนอกอันกว้างใหญ่ ต้องการจะได้บูชาปรมาจารย์ ที่พวกเขาไม่รู้จัก เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก จากเรื่องเล่าของตำนาน
สำหรับเผ่าเหลียนเผ่าขนาดเล็กเสมือนมดตัวน้อย ย่อมไม่มีความสามารถจ้างวานปรมาจารย์อสูรสวรรค์ได้
แม้แต่ปรมาจารย์อสูรสวรรค์ระดับต่ำสุด ก็เป็นคนที่พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะมอง
เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีการดั้งเดิมในการกลั่นกระดูกสัตว์อสูร โชคดีที่ราคาของกระดูกสัตว์อสูรที่พวกเขาจะกลั่นนั้นต่ำ
แม้วิธีการดั้งเดิมจะสามารถรวบรวมแก่นพลังกระดูกสัตว์อสูรได้ประมาณ 50-60% นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเหลียนเชิงอวี๋
การกลั่นกระดูกสัตว์อสูรทำกันทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามค่ำคืน ใครสักคนคงได้เห็นแสงสว่างสีม่วงอันลึกลับจากฟืนสีม่วงในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวางสายตาในหมู่บ้าน
ในขณะที่ชนเผ่าเหลียนกำลังยุ่งอยู่กับการกลั่นกระดูกสัตว์อสูร อี้หวินก็ไม่ได้นั่งว่าง เขาทำการฝึกทั้งกลางวัน กลางคืน มีไม่กี่คนที่เข้าไปยังหลังภูเขาของเผ่าเหลียน มันจึงเป็นสถานที่เหมาะมากสำหรับฝึกตนของอี้หวิน
ห้าวันแล้วที่อี้หวินฝึก “หมัดซี่โครงมังกรกระดูกพยัคฆ์”
“ปัง!”
“ปัง!”
หมัดที่ปล่อยออกไปของอี้หวิน แต่ละหมัดมาพร้อมกับหางเสียงของสายธนู คล้ายจังหวะการเต้นของหัวใจ เขาทำลายต้นไม้ด้านหลังต้นที่ชกไปด้วย
เลือดหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆเส้นเลือดที่หมัดและแขนโปนออก
“ยะ!” อี้หวินคำราม และส่งหมัดไปที่ก้อนหินด้านหน้า
“ย๊ากกก!”
ก้อนหินทะลายลง เส้นเอ็นของอี้หวินเข้าสู่ประสิทธิภาพสูงสุดของมัน!
“ซึบ ซึบ ซึบ” สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฝูงนกในป่าแตกตื่นบินขึ้นฟ้า ในขณะที่พวกมันบินออกไปทำให้ใบไม้ร่วงปลิดปลิวลงมาบนใบหน้าของอี้หวิน
อี้หวินรู้สึกอิ่มเอิบ มันเหมือนกับว่าพลังงานทั้งหมดในร่างกายเคลื่อนย้ายผ่านร่าง สดชื่นอย่างอธิบายไม่ถูก! ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงขั้น ศรจู่โจมล่วงหล่น ของ หมัดซี่โครงมังกรกระดูกพยัคฆ์ 18 ท่า แต่ทำให้นกตกใจบินจากต้นไม้ได้ ก็เป็นความคืบหน้า
ความแข็งแกร่งของอี้หวินยังคงไม่เพียงพอ เขาสามารถทำได้ประมาณ 600 ปอนด์ หากเขาไปถึงความแข็งแรงของหลายหม้อน้ำหรือแม้กระทั่ง 10,000 ปอนด์ แล้วก็จะทำให้ฝูงห่านตกใจตกลงจากท้องฟ้า ก็ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้!
แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความแข็งแรง 600 ปอนด์ พยัคฆ์ดุลงเขาของอี้หวิน เมื่อปล่อยออกมาก็มีพลังมากกว่า 600 ปอนด์!
พยัคฆ์ดุลงเขา เส้นเอ็นดั่งสายศรจุดสำคัญคือการจัดเก็บพลังงานที่มีศักยภาพ ก่อนที่จะยิงหมัดออกไป เช่นนั้นหมัดจะมี 10,000 ปอนด์ของความแข็งแกร่ง มากพอที่จะทำลายหัวเสือ
อี้หวินหลับตาที่แสดงความพึงพอใจลง เขารู้สึกพลังงานที่เคลื่อนผ่านร่าง ให้ความสบายเป็นอย่างยิ่ง ลมหายใจของเขาเริ่มกลายเป็นยืดยาวและละเอียดอ่อนอย่างมาก ความเร็วของการไหลเวียนเลือดในร่างกายของเขาเริ่มแสดงการเปลี่ยนแปลง
โอ้…นี่มัน
อี้หวินมองไปที่มือทั้งสองข้างเส้นเลือดที่โป่งออกมาได้หายไป ขณะที่ลมหายใจสงบลง อัตราการเต้นของหัวใจช้าลงมาก
อี้หวินตระหนักถึงบางอย่าง แล้วกระโดดอยู่กับที่ เขาสูดลมหายใจลงลึก ก่อนจะปล่อยออกมา ปล่อยตกแล้วพุ่งแทงออก ก่อนที่จะหมุนตัวบินออกไป
“ฟิ๊ว!”
หมอกควันสีขาวพุ่งไปข้างหน้าราวกับลูกธนู เป็นระยะทางหกเมตร
“ขอบเขตประกาศศักดา”
“ข้าเข้าสู่ขอบเขตประกาศศักดาแล้ว!”
ผู้ฝึกยุทธระดับประกาศศักดา มีลมหายใจลึกยาวเชื่องช้า แต่การเต้นของหัวใจแข็งแรงยิ่ง
ความแตกต่างอันยิ่งใหญ่จากผู้ฝึกยุทธระดับแข็งแกร่งคือ ความอดทนของผู้ฝึกยุทธระดับประกาศศักดา เขาสามารถต่อสู้ได้เป็นเวลานานและสามารถโจมตีได้จากระยะไกล
ตัวอย่างเช่น กองทัพของผู้ฝึกยุทธระดับประกาศศักดาเดินทางหลายร้อยไมล์ต่อวันสู่สนามรบ เสร็จสิ้นการรบด้วยการจู่โจมจากพันไมล์
มันเป็นการผ่านสู่ระดับประกาศศักดาโดยธรรมชาติ ร่างกายของอี้หวินได้เข้าสู่อีกระดับของการฝึกฝน
“ตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ ข้าฝึกวิชายุทธจริงๆแค่ห้าวันเท่านั้น ข้าถึงระดับสองของโลหิตมนุษย์ได้ในห้าวัน ในขั้นโลหิตมนุษย์นี้ ทุกขั้นเป็นเพียงพื้นฐานของการฝึกวิชายุทธ ระดับต่อจากนี้ก็ยังไม่รู้จัก ถ้าอย่างนั้นผู้เยี่ยมยุทธในอาณาจักรไทอา พวกเขาอยู่ในระดับไหน?”
ด้วยผลึกม่วงพลังงานที่จำเป็นในการบ่มเพาะไม่ใช่ปัญหาที่เป็นปัญหาคือ วิธีจะลวงเอาเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ หากไร้ซึ่งเคล็ดวิชาเป็นแนวทาง เขาก็จะเหมือนพ่อครัวที่มีเครื่องปรุงที่ดี แต่ไร้ซึ่งทักษะการทำอาหารใดๆ เขาคงไม่สามารถที่จะปรุงอาหารดีๆขึ้นมาได้
“เข้าสู่ระดับประกาศศักดาแล้ว ต้องลองพยายามเข้าระดับสาม ด้วย ‘หมัดซี่โครงมังกรกระดูกพยัคฆ์’ ”
อี้หวินพูดกับตัวเอง ตอนที่เขาเห็นท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นสีขาว เมื่อเห็นเขารีบวิ่งลงจากเนินเขา ในเส้นทางที่ผ่านไปทางลานตากเมล็ดธัญพืช เขาชะลอฝีเท้าลง
ภายใต้หม้อหนัก 1,000 ปอนด์ เปลวไฟสีม่วงเข้มกำลังลุกไหม้ในรัศมี 20 เมตรเป็นรั้วไม้สูง เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆเข้าไปภายใน
เป็นเพราะรั้วไม้ อี้หวินไม่แน่ใจในสถานการณ์ที่อยู่ภายใน
เขารู้สึกถึงความร้อนสูงจากไฟมาแต่ไกล อย่างไรก็ตามแม้จะมีชั้นความร้อน อี้หวินก็รู้สึกถึงความเย็นอันคลุมเครือที่อยู่ภายในนั้น แม้ความเย็นจะไม่เด่นชัดนัก
มันเป็นความทรมาน…..