I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Martial God Asura ตอนที่ 180 – อัจฉริยะปรากฏตัว

| Martial God Asura | 2540 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

“ไอ่ เจ้าลูกศิษย์ไร้ประโยชน์!”

‘ชี ซิ่ง’คำรามโกรธที่เห็นลูกศิษย์ของเขาอยู่ในระดับ 5 แดนกำเนิดวิญญาณถูกตีสวนกลับโดย’ชูเฟิง’ที่อยู่ระดับ 1 แดนกำเนิดวิญญาณ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะคำรามโกรธแต่เขาก็ไม่มีความลังเลใดใดที่จะเข้าไปปกป้องลูกศิษย์ เพราะในฐานะอาจารย์เขาไม่สามารถที่จะยืนมองดูลูกศิษย์ตายไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ได้

“เฮ่ ชี ซิ่งนี่คือการต่อสู้ระหว่างศิษย์ สิ่งที่เจ้ากำลังจะทำนี่มันหมายความว่ายังใง?”

‘จูเกอ หลิวหยุน’ ได้คว้ามือของ ‘ชี ซิ่ง’ เอาไว้เพื่อไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้นี้

“เฮ่ไอ่แก่ จูเกอ เอามือออกไปจากข้าเดี้ยวนี้!”

‘ชี ซิ่ง’ได้พยายามที่จะสะบัดแขนของเขาเพื่อที่จะให้มือของ’จูเกอ หลิวหยุน’หลุดออกไปแต่เขากลับไม่สามารถสะบัดมือของ ‘จูเกอ หลิวหยุน’ออกไปได้ เพราะมือของ’จูเกอ หลิวหยุน’เปรียบได้ดั่งครีมเหล็กที่ล็อกแน่นอยู่ที่แขนของเขา

‘ชี ซิ่ง’จึงไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้เลย

“หุบปากอันไร้ยางอายของเจ้าและยืนดูอย่างเงียบๆไปซะ.”

‘จุเกอ หลิวหยุน’ กล่าวอย่างเย็นชาแล้วกระชากแขนของ ‘ชี ซิ่ง’กลับเข้ามาด้านหลังและกระแทกลงไปที่พื้น

“เจ้า … เจ้า … นี่เจ้าก้าวเข้าสู่ระดับ 6 แดนแก่นแท้วิญญาณแล้วรึนี่ !!! “

‘ชี ซิ่ง’ ตกใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะเขาไม่ได้คิดว่า คนที่เคยแพ้เค้ามาก่อน ในวันนี้จะก้าวเข้ามาสู่ระดับ 6 แดนแก่นแท้วิญญาณซึ่งหมายความว่าได้เกินเขาไปแล้ว มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อและยากเกินกว่าที่เขาสามารถยอมรับได้ เพราะฐานะที่เขาได้เข้าร่วมและกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนัก #1

เขาได้รับของเสนอมากมายมหาสารจนทำให้เขา มีความสำเร็จในการเพิ่มพลังวิญญาณจนถึงระดับ 5 แดนแก่นแท้วิญญาณ แต่เขาไม่สามารถคาดคิดได้เลยว่า ‘จูเกอ หลิวหยุน’ผู้ที่เข้าร่วมกับสำนัก #2 จะอยู่ในระดับ 6 แดนแก่นแท้วิญญาณมันเป็นอะไรที่เขาไม่สามารถที่จะยอมรับความเป็นจริงนี้ได้

“เฟิงเอ๋อ เจ้าพอได้แล้วล่ะ ปล่อยให้มันใช้ชีวิตมอบคลานไปดั่งเช่นสุนัขเถอะ!”

‘จูเกอ หลิวหยุน’ไม่ได้ให้ความสนใจใดใดกลับ ‘ชี ซิ่ง’ในขณะที่เขาเปล่งเสียงดังกล่าวกับ’ชูเฟิง’ที่กำลังจัดรูปแบบพลังวิญญาณอยู่ในขณะนั้น

“ครับท่านอาจารย์.”

‘ชูเฟิง’ก็เริ่มที่จะคลายพลังอำนาจในการสร้างรูปแบบวิญญาณออกไป แต่เดิม’ชูเฟิง’อยากที่จะสังหาร ‘หยางจือ’ เพื่อให้มันไปพ้นๆสายตาของเขา  แต่เมื่อได้ยินคำพูดของ’จูเกอ หลิวหยุน’เขาก็เลยสลายลูกศรสีทองที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่ ‘หยาง จือ’ออกไป

“ลุกขึ้นมา.”

แม้ว่า ‘หยาง จือ’จะรอดชีวิตไปได้ แต่!!!’ชูเฟิง’ไม่ได้คิดที่จะปล่อยมันไปง่ายๆ เขาเดินไปด้านหน้าของ ‘หยาง จือ’แล้วดึงขอเสื้อมันขึ้นมาในขณะที่ใบหน้าของ ‘หยางจือ’ ซีดเผือด

“นี่….นี่เจ้าจะทำอะไร!!”

“ข้าเป็นศิษย์ของสำนัก #1 ฮัว-หยางนะเว้ย! ถ้าเจ้าสังหารข้าล่ะก็สำนักของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!!.”

ความหยิ่งทรนงของ ‘หยาง จือ’ก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างสิ้นเชื่องเพราะในตอนนี้ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อ’ชูเฟิง’

“หุบปากของเจ้าซะ!”

‘ชูเฟิง’รำคาญคำพูดที่ไร้สาระของ ‘หยาง จือ’จึงต่อยไปที่ปากของเขาจนฟันหลุดกระเด็นล่วงไปที่พื้น

“อ๊าาา”

ปากของ ‘หยาง จือ’ปกคลุมไปด้วยเลือดและมองไปที่ฟันที่กองอยู่บนพื้น เค้ารู้สึกว่าอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา แม้กระทั่งฟันของเขาในตอนนี้ก็ได้จากเขาไปแล้ว แล้วยังงี้เขาจะมีใบหน้าใดไปพบคนในสำนัก ฮัว-หยางอีก?

“เขาในตอนนี้เขาพยายามที่จะนอนตะแคงไปด้านข้างเพื่อที่จะร้องไห้!”

ในขณะที่มองไปที่ ‘หยาง จือ’ที่เหมือนกำลังจะร้องไห้ ‘ชูเฟิง’ก็เดินเข้าไปเตะที่ใบหน้าของเขาและกระทืบอย่างไม่ยั้งพร้อมกล่าวไปด้วยว่า

“คราวหน้าคราวหลังอย่าพูดคำพูดเหล่านี้ให้ใคร ได้ยินอีก”

“ฮ่าฮ่า ดีดีเฟิงเอ๋อ สั่งสอนให้มันรู้ซึงถึงคำพูดสุนัขของมันที่ดีแต่เห่าหอน แสดงให้เขาได้เห็นว่าเรามันคนละชั้น.”

อารมณ์ของ ‘จูเกอ หลิวหยุน’นั้นดีเป็นพิเศษที่เค้าได้รับรู้ว่าศิษย์ของเขานั้นชนะ เจ้าจึงมีความสุขและคลายรูปแบบอำนาจวิญญาณออกแล้วพา’ชูเฟิง’ไปยังสถานที่ทดสอบ

“เฟิงเอ๋อ เจ้าทำได้ดีมาก ใบหน้าของข้าที่สูญเสียไปปีนั้น วันนี้ถูกเจ้านำกลับมา.”

เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่ทดสอบ ‘จูเกอ หลิวหยุน’ก็ยังไม่หยุดที่จะชื่นชม’ชูเฟิง’ เขาในตอนนี้นั้นรู้สึกมีความสุขมากจริงๆ

“ท่านอาจารย์.ศิษย์รู้ว่าท่านแข็งแกร่งกว่าเขา แต่การที่ท่านแพ้เขาในปีนั้นศิษย์รู้ว่าท่านไม่ต้องการทำร้ายคนพิการ”

‘ชูเฟิง’กล่าวพร้อมหัวเราะ

“เจ้านี่ช่างรู้วิธีพูดจริงๆ แต่ข้าได้แพ้การต่อสู้นั้นจริงๆ.”

” ข้าแพ้. . .ข้าแพ้ให้กลับเขา ก็ตอนที่สอบเสื้อคลุมสีขาว ในปีนั้นหากเขาไม่ขวางทางข้า บางทีข้าอาจจะได้เห็นขั้นที่สองเหมือนกัน “

‘จูเก่อ หลิวหยุน’ รู้สึดผิดหวังและเสียใจเมื่อกล่าวถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น

“ท่านอาจารย์ไม่จำเป็นต้องกังวล ศิษย์จะช่วยให้ท่านอาจารย์ได้สานต่อความฝันที่ท่านไม่สามารถที่จะทำได้เอง ศิษย์จะผ่านขั้นตอนที่สองและได้รับเสื้อคลุมสีขาวของผู้เชื่อมต่อฯด้วยความสามารถของตนเอง ศิษย์จะไม่ยอมให้ท่านอาจารย์ใช้จ่ายในการซื้อเสื้อคลุมให้ศิษย์อย่างเด็ดขาด.”

‘ชูเฟิง’กล่าวด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

“ฮ่าฮ่า ดีที่เจ้ามีความทะเยอทะยานได้แบบนี้! หากเจ้าผ่านการทดสอบข้าจะให้พันลูกแก้วแหล่งกำเนิดวิญญาณสำหรับเจ้า เอาไว้ใช้เพื่อเมื่อเจ้าได้ภรรยาในอนาคต.”

‘จูเกอ หลิวหยุน’ ตบไหล่ของ’ชูเฟิง’ เขาเริ่มที่จะชอบศิษย์ของเขาคนนี้เพิ่มมากขึ้น

“เอิ่ม….ขอบคุณครับท่านอาจารย์.”

‘ชูเฟิง’  ยิ้มออกมาจากใจ เขารู้สึกว่าตัวเองสนิทกับ ‘จูเก่อ หลิวหยุน’ มากขึ้น และตัวของเขาก็มีทัศนคติที่ดีต่อ’ชูเฟิง’มากขึ้น

ตั้งแต่ที่นิกายโลกวิญญาณไม่ได้ให้คนเข้าไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ก็มีเพียงแค่’ชูเฟิง’เองเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้คนเดียวเพื่อนที่จะเข้าไปรับการทดสอบเป็นผู้เชื่อมต่อฯ

ในขณะนี้ ‘ชูเฟิง’ได้เข้าไปในพื้นที่ของนิกายโลกวิญญาณและก้าวเข้าสู่เมืองขนาดใหญ่ที่เป็นดั่งอาณาจักรขนาดใหญ่หลังจากตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ’ชูเฟิง’ก็ได้มาถึงพื้นที่ภายในของพระราชวัง ความอลังการของพระราชวังนี้นั้นมันชั่งกว้างขวางอย่างเหลือใจ

โอ้วดูเสายักษ์นั้นซิต่อให้มีคนซักสิบคนก็ยังโอบเสานั้นไม่มิดเลย ดูดูความสูงของมันยาวไปถึงร้อยเมตรโอ้วพระเจ้าอะไรมันดูเหมือนจะสูงไปถึงสวรรค์ได้เลยนะนั้น อะไรมันจะอลังการได้ถึงขนาดนี้?.

คนที่มาจากนิกายโลกวิญญาณได้ยืนอยู่ทุกที่ในพระราชวัง พวกเค้าทุกคนนั้นอยู่ในระดับเสื้อคลุมสีขาวและอำนาจพลังวิญญาณของพวกเขานั้นไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่พวกเขาอย่างแน่นอนคือพวกเชียวชาญและพวกเขาจะมีสัญลักษณ์นิกายโลกวิญญาณอยู่ที่แขนเสื้อซึ่งนั้นทำให้ดึงดูดจากสายตาของคนโดยรอบมาเลยทีเดียว

คนเริ่มที่จะหลังไหลเข้ามาในใจกลางของห้องโถงหลักดั่งคลื่นน้ำมหาสมุทร มีอย่างน้อย 10.000 คนซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเด็กทั้งหมด ที่อายุมากที่สุดก็ไม่เกิน 20ปี มีอัจฉริยะอยู่ทุกที่และพลังวิญญาณของพวกเค้าก็ไม่ได้อ่อนแอ

ไอ้เจ้า ‘เล้ง วูซุย’อะไรนั่นที่เรียกว่าเป็นอัจฉริยะในสำนักมังกรฟ้า เพียงแค่เพราะว่ามีพลังวิญญาณซึ่งมันเทียบขี่เล็บอะไรไม่ได้เลยกับจำนวนคน 10.000 คนที่ยื่นอยู่ในห้องโถงนี้

แต่ในทันที’ชูเฟิง’ได้สังเกตว่ามีมากกว่า 1000 คนที่อายุเท่ากับ’ชูเฟิง’และพลังวิญญาณยังเท่ากับ’ชูเฟิง’อีกจึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องทำให้เค้าถึงกับถอนหายใจในความประทับใจแต่เมื่อคิดดีๆเขาก็พอเข้าใจ การที่ได้เห็นเหล่าอัจฉริยะจากอาณาจักรทั้ง 9 ได้มารวมตัวกันที่นี่ เพราะเนื่องจากอาณาจักรมังกรฟ้าขาดคนที่มีอำนาจพลังวิญญาณ แต่ไม่ได้หมายความว่า อาณาจักรอื่นๆเป็ยแบบเดียวกัน

“เห้ยดู นั้นมันอัจฉริยะของนิกายโลกวิญญาณนิ!.”

ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนออกมาและฝูงชนก็จับตามองออกไป พบหลายสิบชายหญิงเดินออกมาอย่างช้าๆ พวกเขาทุกคนได้สวมเสื้อคุมสีทองสีของมันค่อนข้างแพรวพราว นอกจากนี้ยังมีสัญญาลักษณ์นิกายโลกวิญญาณอยู่ที่แขนซ้ายของพวกเขา

ปล.เสื้อคลุมเหล่านี้เป็นเสื้อคลุมธรรมดานะครับอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเสื้อคลุมผู้เชื่อมต่อฯสีทองล่ะ พวกนี้มันแค่ใส่เอาเท่เฉยๆ

พวกเขาเหล่านั้นค่อนข้างสวยหล่อและสง่างาม ทุกคนดูมีบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ พลังวิญญาณอ่อนแอที่สุดอยู่ที่ระดับ 5 แดนกำเนิดวิญญาณ และแข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ ระดับ 7 แดนกำเนิดวิญญาณ

จากการกล่าวสนทนาของฝูงชน’ชูเฟิง’จึงได้รู้ว่ากลุ่มที่พึ่งมาใหม่นั้น เป็นอัจฉริยะของนิกายโลกวิญญาณอย่างไรก็ตามความสามารถของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่พลังวิญญาณแต่มันอยู่ที่พลังอำนาจจัดรูปแบบโลกวิญญาณดังนั้นบางคนก็อาจได้ทำสัญญากับอสูรโลกวิญญาณบ้างแล้วจึงเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะสำหรับผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณ

#####################################################################################นายกระทิข้นปล.1 เดี๋ยวรู้เลยว่าม้ามืดมันเป็นยังใงปล.2 ผมจะมาพูดถึงสาระที่ควรรู้นะครับ ว่าพลังวิญญาณ กับ พลังอำนาจโลกวิญญาณนั้นจะแยกกัน ซึ่งในนิยายเรื่องนี้จะมีการต่อสู้อยู่สองแบบคือ แบบแรก ต่อสู้กันด้วยทักษะซึ่งตัววัดนี้ส่วนใหญ่ใครมีพลังวิญญาณมากกว่าคนนั้นก็ชนะแบบที่สอง คือต่อสู้กันด้วยพลังอำนาจโลกวิญญาณซึ่งตรงนี้มันจะไม่เกี่ยวกับพลังวิญญาณยกตัวอย่างเช่น คนนึ่งอยู่แดนสวรรค์วิญญาณ แต่อีกคนนึ่ง อยู่แค่แดนแก่นแท้วิญญาณ ถ้าพลังอำนาจโลกวิญญาณของแดนแก่นแท้วิญญาณมีมากกว่า อีกคนนึ่ง ที่อยู่แดนสวรรค์วิญญาณ แดนแก่นแท้ก็สามารถที่จะเอาชนะแดนสวรรค์ได้ นี่คือการยกตัวอย่างคร่าวๆ ปล.3 ถ้าท่านผู้อ่านคนใดไม่สามารถเข้าใจในส่วนของตรงนี้ที่ผมได้อธิบายไปก็ไม่เป็นไรครับ เดี้ยวพอเข้าช่วง บทที่ 500-900 ผู้อ่านทุกท่านก็จะเข้าใจกันขึ้นมาเอง และพอเข้าสู้ช่วง บทที่1500-2000 ผู้อ่านก็จะบรรลุในส่วนของตรงนี้เองครับ

คุณพี่ถ้ามันยังอีกไกลขนาดนั้นไม่ต้อง สปอยก็ได้!!!

@ เห็นยังกลุ้มแทน

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments