I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Divine Throne of Primordial Blood ตอนที่ 2 ไม่ยอมแพ้ (1)

| Divine Throne of Primordial Blood | 828 | 2360 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

บทที่ 2 ไม่ยอมแพ้ (1)

ฤดูกาลผันเปลี่ยนไป ฤดูร้อนเข้ามาแทนที่ ในวันที่มีไอความร้อนฟุ้งกระจายเช่นนี้ ที่ลานฝึกซ้อมของตระกูลซู มีกลุ่มผู้เยาว์กำลังฝึกทักษะการต่อสู้อยู่ บางครั้งก็ส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความแข็งแกร่ง

“ฮ่า!”

เสียงลมหายใจที่พ่นออก และฝ่ามือที่ประทับลงบนแผ่นหิน มันถูกทำลายในฝ่ามือเดียวทันที

“ยอดเยี่ยม!” เสียงร้องสรรเสริญดังทั่วทั้งลานฝึกซ้อม

“นายน้อยรองยอดเยี่ยมมาก!”

“ดูเหมือนว่าท่านคงจะบรรลุกายาเหล็กไหลขั้นที่ห้าได้อีกไม่กี่วันเป็นแน่”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะต้องกลายเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นที่สามแห่งตระกูลซูของเรา”

เป้าหมายของคำสรรเสริญคือเด็กหนุ่มวัยสิบสามปี แม้ว่าจะยังเยาว์วัย ทว่าร่างกายของมันแข็งแกร่งและทรงพลัง

เด็กหนุ่มผู้นี้มีนามว่าซูชิ่ง หนึ่งในผู้สืบทอดรุ่นที่สามของตระกูลซู บิดาของมันคือซูเค่อจี๋ ที่เป็นนายใหญ่รองและบุตรชายคนรองของผู้นำตระกูล

เมื่อได้รับคำสรรเสริญ ซูชิ่งแสดงให้เห็นว่ามันชอบใจ แม้สิ่งที่กล่าวมาจะไม่ใช่ความจริงเสียทั้งหมด ทว่านั่นก็ไม่สามารถหยุดไม่ให้มันเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกดั่งกำลังล่องลอยได้

ถึงกระนั้น มักจะมีคนโง่ที่ทำให้ความรู้สึกนั้นของมันหายไป

ข้ารับใช้เขลาหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ทว่าท่านนายน้อยสี่ได้บรรลุกายาเหล็กไหลขั้นที่ห้าไปแล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้เองนะขอรับ”

ใบหน้าของซูชิ่งกลายเป็นดำทะมึนในทันที

ทั่วทั้งลานค่อย ๆ เงียบลง

ต่อมามีข้ารับใช้ที่ไหวพริบดีหน่อยใช้มือแขกศีรษะข้ารับใช้ผู้นั้น “เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใด? จะเอาคนตาบอดมาเปรียบเทียบกับนายน้อยรองได้อย่างไร?”

ข้ารับใช้หนุ่มไม่กล้าโต้ตอบ ทว่าก็ยังดันทุรังตอบกลับไป “ถึงกระนั้นมันก็เพียงกายาเหล็กไหลขั้นที่ห้า”

ซูชิ่งไม่อยากรับฟังอีกต่อไป มันหันศีรษะแล้วเดินออกไป

กลุ่มข้ารับใช้ที่อยู่ข้างหลังหันมองไปที่ข้ารับใช้หนุ่มผู้นั้น พร้อมกับเริ่มปล่อยหมัด และลูกเตะใส่จนทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกซ้ำพร้อมกับสาปแช่งใส่ก่อนที่จะเดินออกไป

ข้ารับใช้หนุ่มยังคงดื้อดึงและไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว ได้แต่ปกป้องศีรษะของมัน หลังจากที่กลุ่มข้ารับใช้นั้นเดินออกไปแล้ว มันลุกขึ้นปัดฝุ่นบนร่างกายออก จากนั้นก็ถ่มน้ำลายไปตามทางที่พวกกลุ่มข้ารับใช้นั้นเดินออกไป มันเป็นหน้าใหม่ในลานแห่งนี้ และไม่ใช่คนของนายน้อยรอง หลังจากที่ลุกขึ้นก็เริ่มลงมือทำความสะอาดลานฝึกซ้อมโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

หลังจากที่ทำไปไม่นาน มันเหลือบมองเห็นคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นหลิวต้นใหญ่ไม่ไกลจากมัน

“นายน้อยสี่?” ข้ารับใช้หนุ่มร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก

ซูเฉินที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวยืนอยู่ใต้ต้นไม้เงียบ ๆ ปล่อยให้เสื้อคลุมพัดปลิวไปตามสายลม แม้มันจะมีวัยเพียงสิบสองปี ทว่ากลับเปล่งรัศมีอันสง่างามและเต็มไปด้วยพลังอำนาจ มีเพียงดวงตาคู่นั้น แม้ว่าจะมองเห็นเป็นดวงตาเหมือนบุคคลทั่วไป ทว่าในนั้นกลับเต็มไปด้วยความไร้ชีวิตชีวา มิอาจมองเห็นถึงจิตวิญญาณภายในได้

เมื่อได้ยินเสียงของข้ารับใช้หนุ่ม ซูเฉินจึงยิ้ม “หมิงฉู่ เจ้าดื้นรั้นอีกแล้ว”

ข้ารับใช้หมิงฉู่ยิ้มออกมา “นายน้อยสี่ท่านต้องได้ยิน ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยเพียงรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่พวกมันเอ่ยออกมาขอรับ”

“แล้วมันได้ประโยชน์อันใดกับการไปต่อปากต่อคำกับพวกนั้น? เจ้าจะยอมถูกทุบตีไปเพื่อสิ่งใด”

หมิงฉู่เกาศีรษะ “ข้าเพียงมิอาจทนเห็นพวกมนันเอ่ยวาจาไร้สาระเกี่ยวกับนายน้อยสี่ที่เป็นอันดับหนึ่งในรุ่นที่สามของตระกูลซูของพวกเราได้ ทว่าพวกมันกลับเอ่ยว่าเป็นนายน้อยรองที่เป็นอันดับหนึ่งขอรับ”

“ถ้ามันต้องการเป็นอันดับหนึ่งก็ให้มันไป มันไม่คุ้มกับที่เจ้าไปต่อปากกับคนพวกนั้น” ซูเฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเป็นเพียงคนตาบอด แม้ว่าข้าจะบรรลุกายาเหล็กไหลขั้นที่ห้าแล้วก็ตาม ข้าก็ยังเป็นเพียงคนตาบอดอยู่ดี”

ซูเฉินเอ่ยขึ้นขณะเดินไปที่ลานฝึกซ้อม

หมิงฉู่ผู้โง่เขลามองไปที่แผ่นหลังของซูเฉิน

นายน้อยสี่ที่เมื่อก่อนนั้นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันเร่าร้อน ความกล้าหาญ และเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ถึงกระนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบเดือนก่อนได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไป

ชายแก่ขอทานในคราวนั้นทำให้ดวงตาของนายน้อยมืดบอด นับตั้งแต่นั้นมาเด็กหนุ่มก็พบเจอแต่ความมืดมิดอันไร้สิ้นสุด ในช่วงเวลานั้นนายน้อยต้องตกอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ทรมาณและความเจ็บปวดอย่างควบคุมไม่ได้ ถึงกระนั้นมันก็สามารถเดินออกมาจากวังวนนั้นได้อย่างรวดเร็ว และไล่ตามเส้นทางการต่อสู้ของมันต่อไป การสูญเสียการมองเห็นมิได้ทำให้มันยอมพ่ายแพ้ ตรงกันข้ามมันกลับก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามันก็สามารถบรรลุกายาเหล็กไหลขั้นที่ห้าได้

ความมุ่งมั่นและความพยายามที่นายน้อยแสดงออกมา ทำให้หมิงฉู่เคารพนับถือจากใจจริง

บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่เมื่อใดก็ตามที่ข้ารับใช้ของซูชิ่งเริ่มพูดล่วงเกินนายน้องผู้นี้ มันก็จะลุกขึ้นเอ่ยสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรหมิงฉู่ก็รู้สึกว่าที่ทำลงไปนั้นคุ้มค่าแล้ว

ซูเฉินที่บัดนี้กำลังยืนอยู่บนลานฝึกซ้อม “หมิงฉู่ เจ้าทำอันใดอยู่รึ? มาช่วยข้าได้แล้ว”

“มาแล้วขอรับ!” บัดนี้หมิงฉู่พึ่งนึกขึ้นได้ว่าซูเฉินมองไม่เห็น และรีบเข้าไปช่วยยกห่วงก้อนหินคู่ “นายน้อยสี่ ระวังด้วยขอรับ… นายน้อยสี่ เหตุใดท่านจึงได้อยู่เพียงลำพังขอรับ ข้ารับใช้ของท่านไปอยู่ที่ใด?”

“ข้าจำเส้นทางมาที่นี่ได้ และข้าตัดสินใจที่จะมาเพียงลำพัง ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝนร่างกาย และไม่ต้องการให้ผู้ใดมารับใช้ข้า การที่พวกมันอยู่ที่นี่ไม่ดีเท่าใดนักสำหรับข้า”

ขณะที่ซูเฉินเอ่ย มันยกห่วงหินขึ้นแล้วเริ่มการฝึกฝนประจำวัน

เม็ดเหงื่อไหลลงจากหน้าผากอย่างช้า ๆ สะท้อนแสงภายใต้คลื่นความร้อนของดวงอาทิตย์

หลังสิ้นสุดการฝึกฝนประจำวัน ซูเฉินก็กลับไปยังบ้านของมัน

สาวใช้เดินเข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมน้ำอุ่นสำหรับให้มันชำระร่างกาย

เมื่อหย่อนกายลงในอ่างน้ำอุ่น ความร้อนทำให้ความเหนื่อยล้าค่อย ๆ เลือนหายไปจากร่างกาย ซูเฉินสูบลมหายใจลึกและถอนลมหายใจออกยาว ภาพช่วงที่ขอทานแก่ผู้นั้นปล่อยลำแสงเย็นเข้าที่ดวงตาทั้งสองปรากฏขึ้นในใจของมัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบเดือนก่อนหน้า ทำให้ซูเฉินสูญเสียการมองเห็นไปอย่างสมบูรณ์

เมื่อตื่นขึ้น มันกลับได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ดวงตาทั้งสอง จนมิอาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดได้

ถึงกระนั้น ความเจ็บปวดพวกนั้นก็ไม่น่ากลัวเท่าความกลัวที่เกิดจากความมืดมิดที่ไร้สิ้นสุดนี้

ในช่วงนั้น เมื่อมันเข้าใจว่าสิ่งที่สูญเสียไปคือสิ่งใด สิ่งนั้นส่งผลให้ซูเฉินแทบจะเป็นบ้า

แม้ว่าตระกูลซูจะเชิญ “หมอที่โด่งดัง” และ “หมอที่ศักดิ์สิทธิ์” มากว่า 10 คน ทว่ากลับไม่มีใครสามารถรักษาได้

ซูเฉิงอานบิดาของซูเฉิน เริ่มออกล่าขอทานแก่ภายในเมืองแห่งนี้ด้วยความโกรธ ถึงกระนั้นกลับไม่พบร่องรอยและค้นหาขอทานแก่ผู้นั้นไม่พบ ซูเฉินยืนยันว่าได้สูญเสียความสามารถด้านการมองเห็นไปอย่างสมบูรณ์ มิอาจมองเห็นสิ่งใดได้อีก ความสามารถในการรับรู่ถึงแสงสว่างก็สูญหายไป

มันตกอยู่ในวงวนแห่งความสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง

นั่นเป็นช่วงที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต ไม่ว่าครอบครัวจะปลอบประโลมหรือเกลี้ยกล่อมมันไปเท่าใด ก็มิอาจช่วยให้มันก้าวพ้นจากความหวาดกลัวและความโกรธที่ถูกความมืดมิดพรากมันไปได้

ในช่วงเวลานั้น ซูเฉินร่ำไห้และร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดอยู่ทุกวัน ขว้างและทุบทำลายสิ่งของทุกอย่างที่มือแตะต้องได้

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องกินเวลานานกว่าสามเดือน ก่อนที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นดีขึ้น

บางทีอาจเป็นเพราะความเคยชินกับความมืดที่เติบโตขึ้น หรือบางทีมันอาจทำใจยอมรับว่ามันมิอาจนำกลับคืนมาได้ โกรธไปก็มิช่วยให้สิ่งใดเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด ในที่สุดซูเฉินก็ก้าวผ่านมันมาได้

มันหยุดทำสิ่งที่บ้าคลั่งและเข้าสู่ช่วงแห่งความสงบ

พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้มารดาของซูเฉิน ถ่างหงหรุยเป็นกังวลว่าลูกชายของนางจะคิดสั้นปลิดชีพตนเอง

ถึงกระนั้นซูเฉินก็ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด

จนเช้าวันหนึ่งที่มันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากฝึกฝน”

นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มันก็เริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางฝึกฝนการต่อสู้ให้สมกับที่เป็นลูกหลานของตระกูลซู

มีผู้คนมากมายประหลาดใจ และไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูเฉินจึงฟื้นตัวได้ไวเช่นนี้ ถึงกระนั้น ไม่ว่ามันจะมีเหตุผลอันใด สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี

ในเวลานั้นไม่มีผู้ใดคาดหวังสิ่งใดกับมัน แม้ว่าคนตาบอดจะพยายามมากเพียงใด ความพยายามนั้นก็เพียงผ่านกายาเหล็กไหลเท่านั้น จะก้าวเข้าสู่ขั้นดูดซับพลังชีได้อย่างไร?

ช่วงเวลานั้นสมาชิกของตระกูลซูรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ซูเฉินสงบสติอารมณ์ลงได้

สมาชิกของตระกูลซูต่างเป็นห่วงเป็นใยและคอยปกป้องซูเฉินอย่างแท้จริง

จนกระทั่งสามเดือนต่อมา

สามเดือนต่อมาซูเฉินได้บรรลุกายาเหล็กไหลขั้นที่ห้า

แม้ว่าจะตาบอด มันก็ยังคงโดดเด่นที่สุดในบรรดารุ่นที่สาม

และนั่นส่งผลให้ผู้คนเริ่มรู้สึกอึดอัด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูชิ่งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ไม่มีผู้ใดชอบที่จะเป็นลำดับสอง และยิ่งสูญเสียมันให้กับคนตาบอดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ยิ่งขึ้น

ซูเฉิน เหตุใดเจ้าจึงไม่ปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นคนตาบอดและอ่อนแอต่อไปเช่นนั้นกันเล่า? เราสามารถปกป้องอุ้มชูเจ้า เช่นนั้นมันไม่ดีหรอกหรือ? เหตุใดเจ้าต้องเปลี่ยนความคิด? เหตุใดเจ้าต้องมุ่งมั่นให้กับการฝึกฝนด้วย? เหตุใดจึงพัฒนาขึ้นได้เร็วเช่นนี้? แม้ว่าเจ้าจะเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นที่สามแล้วอย่างไร? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างนั้นหรือ?

เจ้ามันก็เพียงคนตาบอด!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นความคิดของซูชิ่งแน่นอน

เป็นไปได้ว่าคนอื่น ๆ ในรุ่นที่สามก็อาจจะมีความคิดเช่นเดียวกัน

ซูเฉินรับรู้ถึงสิ่งที่พวกมันคิดอยู่ในใจ ทว่ามันกลับเลือกที่จะไม่ยอมแพ้

ภายในใจของมันมีคำกล่าวของชายแก่ขอทานดังขึ้น “การพบกันของข้ากับเจ้าถือเป็นโชคชะตานำพา เพราะข้าจะมอบอนาคตของความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดให้เจ้า…… ให้ข้าได้เปลี่ยนดวงตาของเจ้า นี่มิเพียงจะทำให้เจ้ามองเห็นโลกได้มากขึ้นเท่านั้น ทว่ายังช่วยให้เจ้าสามารถมองทะลุโฉมหน้าที่แท้จริงของโลกใบนี้ได้!”

“ให้ข้าได้เปลี่ยนดวงตาของเจ้า…… ให้ข้าได้เปลี่ยนดวงตาของเจ้า……”

ซูเฉินพึมพำคำเหล่านี้เบา ๆ แววตาส่องประกายผ่านดวงตาที่ไร้ชีวิต

ภายในค่ำคืนอันยาวนานไร้สิ้นสุด คำเหล่านี้เป็นเหมือนเทียนส่องนำทางในความมืดมิด มันจุดประกายความหวังภายในใจของซูเฉิน และกลายเป็นแรงจูงใจที่ทำให้มันไม่ยอมแพ้!

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments