I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Divine Throne of Primordial Blood ตอนที่ 3 ไม่ยอมแพ้ (2)

| Divine Throne of Primordial Blood | 747 | 2367 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

บทที่ 3 ไม่ยอมแพ้ (2)

ค่อย ๆ ยกห่วงหิน จากมือข้างซ้ายขยับย้ายไปที่มือข้างขวา จากนั้นปรับเปลี่ยนร่างกายของมันเป็นท่วงท่าแปลก ๆ ก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้า แล้วหดแขนขวานั้นกลับเข้ามา……

บนลานฝึกซ้อม ซูเฉินถือห่วงหินและทำไปทีละขั้นทีละตอน ทำการแสดงรูปแบบกายาเหล็กไหลทั้งแปดและเคล็ดวิชาดูดซับพื้นฐาน

รูปแบบกายาเหล็กไหลทั้งแปดเป็นเคล็ดวิชาที่ถูกใช้บ่อยในวิชากายาเหล็กไหลโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ สามารถพูดได้ว่านี่เป็นรากฐานของการฝึกฝนการต่อสู้ เคล็ดวิชาดูดซับพื้นฐานนี้เป็นวิธีที่ช่วยให้สามารถดูดซับพลังต้นกำเนิด เพื่อเสริมสร้างร่างกายโดยการรวมเอาทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน มันจะส่งผลให้ร่างกายมีพลังมากขึ้น และในเวลาเดียวกันมันยังเป็นการกำหนดรากฐานสำหรับการเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งต้นกำเนิด

ขณะที่ซูเฉินกำลังฝึกฝนอยู่ มันได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากทางด้านหลัง

“ท่านพ่อ?” ซูเฉินหยุดขยับห่วงหินไว้บนมือแล้วหันศีรษะไปถาม

เสียงของซูเฉิงอานดังตามมา “เจ้าเคยกล่าวไว้มิใช่หรือว่าเสียงฝีเท้าของข้าและลุงสามของเจ้านั้นคล้ายคลึงกัน? บัดนี้เจ้าสามารถแยกความแตกต่างได้แล้วหรือ? สิ่งใดทำให้เจ้ามั่นใจว่าเป็นข้า?”

“แม้ว่าฝีเท้าของลุงสามและท่านพ่อจะเบาเหมือนกัน ทว่าลุงสามนั้นได้ฝึกฝนดาบรัศมีแสงอาทิตย์ ทั้งตอนนี้ยังเที่ยงอยู่ ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ยังส่องแสงอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่ลุงสามเริ่มฝึกฝน ท่านไม่มีทางมาที่นี่นอกเสียจากว่ามีเรื่องเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้ข้าเลยคิดว่าต้องเป็นท่านพ่อแน่นอน”

เมื่อได้ยินสิ่งที่มันเอ่ย ซูเฉิงอานได้แต่ลอบถอนหายใจ

บรรพบุรุษได้สั่งสมความดีมีคุณธรรมมาช้านาน นั่นส่งผลให้มันได้บุตรชายที่ฉลาดเฉลี่ยวมีไหวพริบ ทว่าฟ้ากลับอิจฉาคนมีพรสวรรค์อย่างมัน ทำให้ซูเฉินต้องประสบกับความโชคร้าย

โลกของมันมืดมิด ทว่ามันกลับไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ ซูเฉิงอานทั้งรู้สึกมีความสุขและเกิดความยุ่งเหยิงอยู่ภายในใจ ในตอนนี้ มันไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใดออกไป

ซูเฉินจึงเอ่ยขึ้นแทน “ท่านพ่อ ท่านมาที่นี่มีเหตุอันรึ?”

ซูเฉิงอานสงบใจลงแล้วตอบกลับไป “ตามข้ามา บิดามีเรื่องจะเอ่ยกับเจ้า” มันพาบุตรชายออกจากลานฝึกไปนั่งที่ศาลาใกล้ ๆ

ซูเฉิงอานไม่ได้เอ่ยเข้าเรื่องในทันที มันเพียงถามถึงความเข้าใจเกี่ยวกับกายาเหล็กไหลของบุตรชายที่รู้สึกได้จนถึงตอนนี้ก่อน และซูเฉินเองก็ตอบคำถามทีละข้อโดยไม่คิดจะปิดบัง

“เข้าสู่สนามพลังภายในเวลาสามปี? ไม่เลว ไม่เลวเลย” ซูเฉิงอานพยักหน้า

สนามพลังเป็นขั้นแรกของสนามพลังทั้งเจ็ดแห่งผู้เชี่ยวชาญต้นกำเนิด มีเพียงผู้ที่เข้าสู่สนามพลังแล้วเท่านั้นถึงจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญต้นกำเนิดที่แท้จริง ขณะที่กายาเหล็กไหลเป็นเพียงสนามของผู้ฝึกทักษะการต่อสู้ มิได้เกี่ยวข้องกับสนามพลังทั้งเจ็ด

แม้ว่าซูเฉิงอานจะรู้สึกชื่นชมมัน ทว่ากลับไม่ปรากฏความสุขบนใบหน้าของมัน

เมื่อเพ่งไปที่ความรู้สึกนี้ แววตาของมันถูกแทนที่ด้วยความเศร้าหมอง

หลังจากที่มันเอ่ย “เฉินเอ๋อร์ เจ้าทำได้ดีมาก มากเสียจนข้าเองยังประหลาดใจ โชคชะตาเล่นตลกกับตัวเจ้า ทว่าเจ้านั้นกลับไม่รู้สึกหดหู่เพราะมัน ทั้งยังฝึกฝนอย่างหนักอีกด้วย บิดาของเจ้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ทั้งยังมิอาจหาคนมาปกป้องเจ้า และยังมิอาจหาหมอศักดิ์สิทธิ์เพื่อรักษาเจ้า มิอาจลากตัวผู้ที่กระทำกับเจ้าเช่นนี้มาลงโทษได้”

ซูเฉินยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านได้โปรดอย่าเอ่ยเช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมา ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ต่างได้ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อดูแลข้าแล้ว แม้ว่าบุตรผู้นี้ของท่านจะมองไม่เห็น ทว่าหัวใจของข้ารับรู้ถึงมันได้”

ได้ยินสิ่งที่มันพูด ซูเฉิงอานก็ถอนหายใจอีกครั้ง “มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าเข้าใจ เมื่อคืนนี้ลุงรองของเจ้ามาหาข้า… มันคือการประเมินในช่วงสิ้นปี”

มือของซูเฉินแข็งค้างขณะที่กำลังยกถ้วยน้ำชา

“ต้องการให้ท่านพ่อถอนตัวจากการประเมินใช่หรือไม่?”

ทวีปต้นกำเนิด โลกที่แสนวุ่นวายนี้ มีเหล่าปีศาจครอบครองดินแดนไปถึงหกในสิบส่วน ขณะที่ส่วนที่เหลืออีกสี่ส่วนแบ่งออกเป็นสิบเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่แตกต่างกัน เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถจัดการโลกที่ห้อมล้อมไปด้วยศัตรูใบนี้ได้ โดยพึ่งพาความสามารถทางการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากโลกใบนี้เป็นโลกที่เคารพผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับแรก และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีตำแหน่งทางอิทธิพลสูงกว่าเผ่าพันธุ์อื่น

เพื่อส่งเสริมความทะเยอทะยานของเหล่าผู้สืบทอด พวกตระกูลใหญ่ทั้งหลายถึงสร้างกฎเพื่อประเมินพวกมันในช่วงสิ้นปี โดยการทดสอบผู้สืบทอดเพื่อเฟ้นหาผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมากที่สุด

เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มันจึงกลายเป็นขนบธรรมเนียม แม้ว่าจะเกิดในตระกูลโบราณหรือตระกูลที่พึ่งก่อตั้ง หากมีเงื่อนไขครบถ้วนแล้ว พวกมันจะถือเอาการประเมินรูปแบบนี้เป็นหลัก ส่วนวิธีการดำเนินการก็จะแตกต่างกันไป

ส่วนวัตถุประสงค์ของการประเมินนั้น เป็นเพียงการประเมินความสามารถของผู้สืบทอด คล้ายกับการสอบที่โรงเรียน ตระกูลมากมายเลือกที่จะหลีกเลียงวิธีการที่รุนแรงและอันตราย เช่น การต่อสู้ นั่นเป็นเพราะมันมักจะก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บจนอาจนำไปสู่ความบาดหมางกันภายในตระกูล แม้ว่าการแข่งขันภายในจะเป็นสิ่งดี ทว่าความบาดหมางภายในอาจนำไปสู่ความหายนะ

ด้วยเหตุนี้ตระกูลส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการที่นุ่มนวลในการทดสอบระดับของบุคคล โดยใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อวัดระดับพลังปัจจุบัน และนั่นจะเป็นตัวกำหนดผู้ชนะ

ตระกูลซูก็เป็นหนึ่งในเหล่าตระกูลที่ใช้วิธีการนั้นเช่นกัน

ทุกปี เมื่อช่วงสิ้นปีมาเยือน เหล่าผู้สืบทอดรุ่นที่สามของตระกูลซูจะได้รับการทดสอบเพื่อประเมินความแข็งแกร่งของพวกมัน

ในการประเมินที่ผ่านมา ซูเฉินเป็นผู้ชนะเสมอมา

เมื่อซูเฉินสูญเสียการมองเห็นไป หลายคนเชื่อว่ามันยังคงจมอยู่ในความสิ้นหวัง

ถึงกระนั้นได้มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ซูเฉินฟื้นตัวหลังจากมีอาการซึมเศร้าเพียงไม่กี่เดือน และยังแข็งแกร่งขึ้นได้เร็วกว่าผู้อื่น

ดังนั้นมันจึงยังคงโดดเด่นที่สุดในบรรดารุ่นที่สาม

นั่นหมายความว่า มันจะชนะการประเมินในปีนี้ หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

สิ่งนี้ส่งผลให้ผู้คนมากมายรู้สึกอึดอัด

ผู้สืบทอดรุ่นที่สามเป็นคนตาบอดนั้น เป็นอะไรที่น่าขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับรุ่นที่สองมีเหตุผลที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ผู้ที่ชนะในปีนั้นจะได้รับทรัพยากรมากขึ้นจากตระกูล

อนุญาตให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ได้รับวิธีการที่ดีที่สุดจากตระกูลเสมอ

ในโลกใบนี้ ที่ที่ขีดจำกัดของพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงย่อมมีประโยชน์มากกว่าผู้ที่อ่อนแอ

ซูเฉินอานพยักหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เฉินเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลของเรา หากไม่เกิดอุบัติเหตุกับเจ้าแล้ว เจ้าจะได้เป็นผู้นำในอนาคตของตระกูลนี้ สำหรับเรื่องนี้ มิว่าจะเป็นปู่ของเจ้า ลุงรองของเจ้า ลุงสามของเจ้า ป้าสี่ของเจ้า หรือแม้แต่ผู้อาวุโสผู้อื่นในตระกูลสาขาต่างได้ตกลงกันไว้แล้ว”

“ทว่าถึงกระนั้นอุบัติเหตุมันก็ได้เกิดขึ้นกับข้าแล้ว” ซูเฉินพูด “บุตรมิอาจมองเห็นได้อีกแล้ว แม้ว่าข้าจะยังฝึกฝนต่อไป จะมีพลังแข็งแกร่งมากเพียงใด ข้าอาจไม่สามารถเอาชัยชนะจากฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในขั้นที่สามของกายาเหล็กไหล ทั้งยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำตระกูลอีกด้วย”

เสียงอันสุขุมไม่เหมือนใครออกมาจากเด็กอายุสิบสามปี

ซูเฉิงอานถอนหายใจ “ถูกต้อง”

“ด้วยเหตุนี้ ท่านลุงรองจึงรู้สึกว่าการให้ทรัพยากรแก่ข้า นั้นถือว่าเป็นการสูญเสียไปโดยใช่เหตุใช่หรือไม่?”

“……ใช่”

ซูเฉินเฉลี่ยวฉลาดมาก เข้าใจจุดประสงค์ของบิดาโดยที่มิจำเป็นต้องอธิบายให้ฟังทั้งหมดก็ได้เข้าใจสาระสำคัญแล้ว

สิ่งนี้ส่งผลให้ซูเฉิงอานทั้งรู้สึกโล่งใจและรู้สึกไม่สบายใจ

“ทว่าถึงกระนั้น เหล่าพี่ชายและน้องชายก็ยังมิอาจเอาชนะข้าได้?” ซูเฉินเอ่ยต่อ มุมปากของมันเผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม

สิ่งนี้เองที่เป็นจุดสำคัญของปัญหา

ซูเฉินยังคงโดดเด่นดังเช่นเคย มันอาจส่งผลให้ผู้คนมากมายรู้สึกเคารพและเต็มใจที่จะชมเชยมัน เมื่อสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับความสนใจส่วนบุคคล ทว่าความคิดเหล่านี้ได้แตกต่างจากเดิมไปเสียแล้ว

ซูเฉินตาบอด

ชายตาบอดมิควรได้ใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างแท้จริง

ซูเฉิงอานมองบุตรชายของมัน “เมื่อเค่อจี๋มาหาข้าเมื่อคืน เราปรึกษากันนานมาก มันเอ่ยว่ามิได้ทำเช่นนี้เพื่อบุตรของมัน ทว่าสิ่งที่ทำลงไปก็เพื่ออนาคตของตระกูลซู รากฐานตระกูลของเรายังไม่มั่นคง มันยังต้องการผู้สืบทอดที่พิเศษเพื่อสนับสนุน มันหวังว่าตระกูลของเราจะสามารถให้กำเนิดผู้สืบทอดที่สามารถเข้าสถาบันมังกรซ่อนได้ และเพื่อให้ได้สิ่งนี้ มันจำเป็นต้องรวมทรัพยากรภายในตระกูล เมื่อนั้นมันเคยคิดว่าเจ้าสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ทว่าบัดนี้เจ้านั้นได้สูญเสียการมองเห็นไปเสียแล้ว….”

ซูเฉิงอานไม่สามารพูดต่อได้ มันทำได้แค่จ้องมองที่ซูเฉินเท่านั้น

ถ้าซูเค่อจี๋ทำอย่างนี้เพื่อซูชิ่งอย่างเดียว ซูเฉิงอานจะไม่ยอมตกลงกับคำขอของน้องชายอย่างเด็ดขาด

ถึงกระนั้น ซูเค่อจี๋ก็เอ่ยอย่างหนักแน่นว่ามันเป็นเรื่องของตระกูลซู และด้วยเหตุผลนี้ทำให้ซูเฉิงอานมิอาจปฏิเสธได้

บอกตามตรง แม้ซูเฉิงอานจะรู้สึกว่าอนาคตของซูเฉินเลือนลางไป ไม่มีความเป็นไปได้สำหรับมันแล้ว หากเป็นเช่นนั้น ซูเฉินก็น่าจะหยุดได้แล้ว มันยังคงเป็นนายน้อยของตระกูลซู เพลิดเพลินไปกับชีวิตที่สงบสุขมันไม่ดีกว่าหรืออย่างไร

ทว่าซูเฉินกลับไม่เต็มใจ

มันเชื่อว่ายังคงสามารถฟื้นฟูมันกลับคืนมาได้ นั่นเป็นเพราะว่าชายขอทานแก่บอกว่าได้เปลี่ยนดวงตาของซูเฉินไป

ในตอนแรก ซูเฉิงอานยังเชื่อเรื่องนี้เมื่อได้รับรู้

ถึงกระนั้นนี่ก็ผ่านมากว่าสองปีแล้ว ทว่าดวงตาของซูเฉินเองก็ไม่มีสัญญาณว่ามันจะฟื้นคืนมา

ซูเฉิงอานคิดว่านี่คงเป็นภาพลวงตาที่ซูเฉินสร้างขึ้นในตอนที่มันไม่ได้สติ หรือมันอาจเป็นเพียงคำพูดบ้า ๆ ของชายขอทานแก่เท่านั้น

หนึ่งปีได้ผ่านไป ซูเฉินก็ยังไม่ยอมแพ้ ทว่าความหวังของซูเฉิงอานกลับค่อย ๆ เลือนหายไป

ดังนั้นมันจึงมาหาซูเฉินวันนี้เพื่อเกลี้ยกล่อม

ซูเฉินเงียบไป

หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “ที่ท่านพ่อมาที่นี่ในวันนี้ ท่านจะบังคับหรือเกลี้ยกล่อมลูก?”

“แน่นอนว่าบิดามาเพื่อเกลี้ยกล่อมลูก” ซูเฉิงอานตอบ “เจ้าเป็นบุตรของข้า และเจ้าก็มิได้ทำสิ่งใดผิด ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจเลือกสิ่งใด บิดาผู้นี้จะคอยสนับสนุนเจ้าเอง”

“ดี!” ซูเฉินพยักหน้า “โปรดแจ้งลุงรอง ถ้าพวกมันต้องการสิ่งใด จักต้องใช้ความพยายามของตนเพื่อที่จะได้มันไป ถ้าจะให้ลูกยอมแพ้… นั่นเป็นไปไม่ได้!”

__ __

ปัง!

ขวดโบราณถูกเขวี้ยงบนลงพื้นจนแตกออกเป็นชิ้น ๆ

“แบบนี้มันไม่ถูกต้อง!” ซูเค่อจี๋พูดด้วยใบหน้ามืดครึ้ม

“เห็นข้าเป็นใคร? นี่ไม่ใช่เพื่อตระกูลหรือ? ตั้งแต่ซูเฉินตาบอด เป้าหมายในการฝึกฝนและความแข็งแกร่งนั้นมันเพื่อสิ่งใด? มันจะเอาชนะชิ่งเอ๋อร์ได้หรือไม่? ทั้งที่สูญเสียบางอย่างไปแล้ว ทว่าเหตุใดถึงได้ยึดมั่นขนาดนั้น นี่เป็นความเห็นแก่ตัว! เป็นความโลภ! เป็นสิ่งไร้คุณธรรมสำหรับตระกูล!”

ซูเค่อจี๋ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ มันเป็นความโกรธที่ซ่อนอยู่ภายใน

ถงหรูเจิงที่ยืนอยู่เงียบ ๆ อดทนรอให้ซูเค่อจี๋ระบายความโกรธออกมา มันรู้จักอารมณ์ของผู้เป็นนายดี หากมิให้ระบายความโกรธออกมา มันจะไม่ยอมฟังผู้ใดทั้งนั้น

หลังจากสบถด่าจบไปหลายชุด ในที่สุดซูเค่อจี๋ก็หยุด “อาจารย์ถง ท่านมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”

ถึงแม้มันจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ทว่าถงหรูเจิงก็แสดงท่าทีขบคิดเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า “สำหรับเรื่องนี้ ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่พื้นฐานวิธีการประเมินของตระกูลซู”

ซูเค่อจี๋พยักหน้า “มันก็จริง มีเพียงการทดสอบอย่างเดียว ไม่มีการต่อสู้ มิออาจแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในตัวออกมาอย่างแท้จริงได้ การต่อสู้นั้นอาศัยประสบการณ์ สัญชาตญาณ ปฏิกิริยาและองค์ประกอบอื่น ๆ อีกด้วย บนสนามรบกับเผ่าพันธุ์อื่น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรหรือการแข่งขันที่รุนแรง พวกมันจะไม่อยู่เฉยและทำการแข่งขันอย่างเป็นกันเอง มันจะเป็นการต่อสู้ผ่านดาบและกระบี่ที่ต้องแลกด้วยชีวิตอย่างแท้จริง!”

อาจารย์ถงเอ่ยต่ออย่างช้า ๆ “หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดไม่ลองเปลี่ยนวิธีการประเมินล่ะ?”

“อา เป็นไปมิได้ นั่นเป็นไปมิได้เลย” ซูเค่อจี๋โบกมือ “กฎนี้ถูกตั้งขึ้นโดยท่านผู้เฒ่า เหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะท่านกังวลว่าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างพี่น้อง หากเกิดสิ่งใดขึ้นในระหว่างการต่อสู้ นี่คือความห่วงใยของท่านผู้เฒ่า ด้วยเหตุผลที่ว่าในช่วงที่ผ่านมามีหลายตระกูลได้ล่มสลายเพียงเพราะความขัดแย้งภายในตระกูล”

“หากเราไม่ใช้อาวุธและมีมาตรการที่เหมาะสม โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นมีน้อยมาก นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับการแข่งขันที่นุ่มนวลแบบนี้แล้ว วิธีนี้มันมีประสิทธิภาพมากพอที่จะใช้คัดเลือกผู้สืบทอดที่โดดเด่น ถึงกระนั้น สถานการณ์ในปัจจุบันค่อยข้างพิเศษ… สภาพของซูเฉินยังคงมีคนจับตาดูอยู่มาก” อาจารย์ถงเอ่ยด้วยความหมายแอบแฝง

ซูเค่อจี๋ตื่นตระหนก

อาจารย์ถงเอ่ยมาก็ถูก ที่ตระกูลยอมใช้การแข่งขันที่นุ่มนวลนี้ เป็นเพราะวิธีนี้เพียงพอที่จะใช้แก้ไขสถานการณ์ที่ผ่านมาได้

ถึงกระนั้นมันก็ยังมีข้อบกพร่องในการใช้การแข่งขันแบบนุ่มนวล มันไม่เหมาะสำหรับการต่อสู้อีกต่อไป และเพื่อฝึกฝนให้กลายเป็นกลุ่มแรกในรุ่นที่สาม พิสูจน์ว่าระบบที่ใช้อยู่นี้มีปัญหา

ถ้าระบบมันไม่ดี เช่นนั้นก็เปลี่ยนมัน!

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ซูเค่อจี๋เอ่ยขึ้น “อันที่จริง ข้าสามาถแนะนำการปรับเปลี่ยนระบบนี้กับท่านพ่อได้ เพียงแต่ว่ามันมิใช่เรื่องง่าย”

เมื่อมันเอ่ยถึงประโยคครึ่งหลัง ซูเค่อจี๋ก็รู้สึกท้อใจ

ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักร เมือง หรือตระกูล การปรับเปลี่ยนระบบเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

เมื่อกฎถูกตั้งขึ้น นั่นหมายความว่าพวกมันยากที่จะเปลี่ยนแปลง หากราชวงศ์มีการปรับเปลี่ยนกฎแล้ว มันจะทำให้ประชาชนของตนเองไม่คุ้นกับมัน ทั้งยังขาดเกียรติอีกด้วย

นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามที่ระบบถูกปรับเปลี่ยน เป็นธรรมชาติที่มันจะก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลที่ได้ประโยชน์จากมันมาก่อน ผู้คนเหล่านี้จะลุกขึ้นมาต่อต้านการปรับเปลี่ยนเองตามธรรมชาติ

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

ซูเฉิงอานเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลซู ตำแหน่งของมันภายในตระกูลคือความหนักแน่น ด้วยการคงอยู่ของมัน การปรับเปลี่ยนระบบนั้นไม่ง่ายเลย

ยิ่งไปกว่านั้น น้องสามของมัน ซูเฟยหู ยังชื่นชมซูเฉินมากมาโดยตลอด และบุตรชายกับบุตรสาวของมันเองก็ยังเยาว์วัยอยู่ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนวิธีการประเมินย่อมไม่ส่งผลดีต่อมัน ดังนั้น หากซูเค่อจี๋เสนอการปรับเปลี่ยน ซูเฟยหูจะไม่ยอมเห็นด้วยเด็ดขาด

แม้ว่ามันอาจจะสามารถโน้มน้าวลุงของมันซึ่งเป็นผู้อาวุโสภายในตระกูลได้ ทว่าอัตราการต่อรองก็ยังอยู่ที่มัน

อาจารย์ถงคาดไว้ว่าจะเกิดปฏิกิริยานี้ จึงเอ่ยขึ้น “ดังนั้นเราจะใช้แนวทางที่ต่างจากเดิม ชายชราผู้นี้มีความคิดที่จะใช้เปลี่ยนความคิดของซูเฉิงอาน ถึงกระนั้น ผลที่ได้มันค่อนข้างช้า ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีจึงจะเห็นผล”

“วิธีใดรึ? ถ้ามันดี ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะปล่อยให้เจ้านายน้อยนั่นพอใจไปอีกปี”

“ให้ซูเฉิงอานมีบุตรเพิ่มอีกคน”

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments