I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Divine Throne of Primordial Blood ตอนที่ 10 การประเมินสิ้นปี (1)

| Divine Throne of Primordial Blood | 777 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

บทที่ 10 การประเมินสิ้นปี (1)

“เจ้าว่ากระไรนะ?”

ใต้ต้นไม้ภายในลานฝึกซ้อม ขณะที่ซูเฉินกำลังนั่งลงดื่มชาบนม้านั่งหิน เจี้ยนซินยืนรายงานอยู่ข้าง ๆ

ด้วยมือที่กำลังถือถ้วยชาอยู่ สีหน้าของซูเฉินแลดูเหมือนกำลังตกใจ ทว่ามันเจือไปด้วยความเบื่อหน่าย

เจี้ยนซินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “นายท่านกล่าวว่า ท่านหวังว่านายน้อยจะหยุดทำลายความหวังของทุกคนโดยใช้คำหลอกลวงนั้นอีกต่อไป การประเมินสิ้นปีได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ทั้งบัดนี้นายน้อยเองก็มิอาจมองเห็นได้ แม้ว่าท่านจะเริ่มฟื้นตัว ทว่ากฎเหล่านั้นมิอาจเปลี่ยนแปลงเพียงเพื่อนายน้อยได้ หากนายน้อยไม่มั่นใจ ท่านสามารถถอนตัวออกจากการประเมินได้ เพื่อมิให้เป็นที่ล้าช้าแก่คนอื่น”

ซูเฉินกำรอบถ้วยชาแรงขึ้นและหยุดไปเล็กน้อย “เช่นนั้นแล้ว ท่านพ่อคิดว่าข้าโกหกท่านอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?”

“อย่างไรก็ตามนายน้อยก็เคยทำเช่นนี้มาก่อนเมื่อการประเมินสิ้นปีใกล้มาถึงในครั้งก่อน และการที่นายน้อยเอ่ยถึงการฟื้นตัวอย่างกระทันหันอีกครั้ง คราวนี้ส่งผลให้คนอื่นไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านเอ่ย” เจี้ยนซินตอบกลับอย่างไร้ความปราณี แม้ว่ามันจะมองไม่เห็น ทว่าซูเฉินก็สามารถจับน้ำเสียงอันไม่น่าไว้วางใจของเจี้ยนซินได้

บางครั้งความรู้สึกของทุกคนคงเป็นเช่นเดียวกัน ทว่ามันมิต้องการที่จะยอมแพ้ มันมิอาจหาทางแก้ปัญหานี้ได้ จึงได้แต่ใช้คำที่ดูเหมือนคำโกหกชองมันเพียงเท่านั้น

ซูเฉินจ้องมองเจี้ยนซินที่ยืนอยู่ข้างหน้าของมัน

ในอดีต โลกของซูเฉินถูกเติมเต็มไปด้วยความมืดมิด

ทว่าบัดนี้ ด้วยความสามารถในการรับรู้แสงสว่างได้เล็กน้อย มันสามารถ “มองเห็น” ภาพที่ไม่ค่อยชัดเจนของผู้ที่อยู่ตรงหน้าของมันได้

แม้ว่ามันจะยังมิอาจมองเห็นได้ชัดเจน ทว่ามันมิใช่ความมืดมิดดังเช่นในอดีตอีกต่อไป ที่สำคัญที่สุด สิ่งนี้ทำให้มันมีความหวังที่จะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์

สิ่งที่น่าขันที่สุดคือยามที่มันป่าวประกาศข่าวนี้ออกไป กลับไม่มีผู้ใดเชื่อในคำกล่าวของมันอีกต่อไป

ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

เนื่องจากทุกคนมิได้เชื่อในตัวมันอีกแล้ว ไม่เป็นไร มันสามารถรอจนถึงวันนั้นได้

ซูเฉินคิดไว้ว่ามันจะรอจนถึงวันที่ฟื้นตัวเต็มที่ก่อนที่จะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับใคร

ในวันต่อมา ซูเฉินก็ยังคงฝึกฝนต่อไปเช่นเดิม

ฝึกฝนรูปแบบทั้งแปดของกายาเหล็กไหล ฝึกฝนหมัดพยัคฆ์เพลิง ฝึกฝนทักษะก้าวย่างอสรพิษลวง

ซูเฉินหวังว่ามันจะสามารถกลับเข้าสู่สภาพก่อนหน้าได้ มันสงสัยในเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุที่มันเกี่ยวข้องอย่างมากกับการฟื้นตัวในตอนนี้ของมัน

ทว่าน่าเสียดาย ไม่ว่ามันจะพยายามมากสักเพียงใด มันก็มิอาจมองเห็นมังกรที่ทำให้มันตกตะลึงอีกครั้งได้

ถึงกระนั้น ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ดวงตาของมันกำลังแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ

แม้ว่าพลังในการฟื้นตัวของมันจะช้า ทว่าซูเฉินก็ยังรู้สึกดีขึ้น

ทุก ๆ วันที่ผ่านไป ดวงตาของมันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน

เริ่มจากการรับรู้ถึงแสงสว่างก่อน ตามด้วยตวามสามารถในการมองเห็นรูปร่างทั่วไปของสิ่งของต่าง ๆ แม้ว่ามันจะยังเป็นเพียงเงาพร่ามัวก็ตาม ทว่าโลกของซูเฉินจะไม่ว่างเปล่าและเดียวดายอีกต่อไป อนาคตของมันจะต้องเต็มไปด้วยแสงสว่าง

ทว่าก่อนที่แสงสว่างนั้นจะมาถึง ซูเฉินจำเป็นต้องสัมผัสช่วงเวลาอันมืดมิดก่อนที่จะก้าวสู่แสงสว่างของรุ่งอรุณ

วันการประเมินสิ้นปีกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

__ __

ในช่วงสิ้นปีของทุกปี ภายในตระกูลต่างเริ่มคึกคัก เต็มไปด้วยเสียงดังสนั่นและความตื่นเต้น

เมื่อยามที่ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามาแทนที่ เหล่าผู้คนจะเฉลิมฉลองให้กับการเติบโตขึ้นอีกหนึ่งปี ส่งความปิติในช่วงที่ผ่านมาไปพร้อม ๆ กับเริ่มต้อนรับฤดูใบไม้ผลิด้วยความสุข เหล่าเด็กหนุ่มสาวต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ขณะที่เตรียมพร้อมที่จะเปิดเผยความพยายามที่จะแข็งแกร่งจากการฝึกฝนของพวกมันในช่วงของการประเมินสิ้นปี ตระกูลซูมิได้เป็นเพียงตระกูลที่จัดให้มีการประเมินสิ้นปี ตระกูลส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับทั่วไปก็จัดงานนี้เช่นกัน

“สูงอีก สูงขึ้นอีก!”

ในบริเวณลานประลานอันยิ่งใหญ่ของตระกูลซู ซูเค่อจี๋ชี้พร้อมตระโกนไปที่สนามประลองที่กำลังก่อสร้าง หัวใจของมันเติมเต็มไปด้วยความสุขปานน้ำผึ้ง

หลังจากรอคอยมานานกว่าสองปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ซูเค่อจี๋รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างยิ่ง

“มันเป็นการก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เพียงครั้งเดียว เหตุใดจึงต้องใช้ความพยายามมากมายในการสร้างมันขึ้นมาด้วย?” เสียงดูหมิ่นดังมาจากด้านหลัง

ซูเค่อจี๋หันศีรษะของมันกลับไป และมองเห็นซูเฟยหัวยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความรังเกียจ โดยไม่คิดที่จะปกปิดมันไว้

ซูเค่อจี๋ยิ้ม “พี่สาม เจ้าเอ่ยผิดแล้ว นี่เป็นการประเมินสิ้นปี ผู้ที่ยืนอยู่บนสนามประลองนี้เป็นคนสุดท้าย ถือว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารุ่นที่สาม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นธรรมดาที่เราจะสร้างมันขึ้นมา นั่นมิใช่เพียงเพื่อครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ทว่ายังรวมไปถึงเมืองทั่วทั้งเมืองจะต้องประจักว่าผู้ใดเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดของเรา”

ซูเฟยหัวตอบอย่างไม่แยแส “สำหรับผู้คนบางคน แม้ว่าจะยืนอยู่สูงเพียงใด มันก็ยังไร้ความหมายเช่นเดิม”

“ท่าน!” ซูเค่อจี๋โกรธ ทว่าเลือกที่จะหันศีรษะโดยไม่สนใจพี่ชายของมัน

วันรุ่งขึ้น เป็นวันประเมินสิ้นปีอย่างเป็นทางการ

ซึ่งตามปกติแล้ว พวกมันจะเริ่มจากการทดสอบระดับการเพาะปลูก

ณ ใจกลางลานขนาดใหญ่มีหินดวงดาวต้นกำเนิดอันว่างเปล่า ซึ่งจะใช้ในการวัดระดับพลังต้นกำเนิดของผู้ที่ใช้มันให้ปรากฏออกมา แม้ว่าขั้นกายาเหล็กไหลจะมิอาจใช้พลังต้นกำเนิดในการต่อสู้ได้ ทว่าก็มิได้หมายความว่าพวกมันจะไม่มีพลังต้นกำเนิดอยู่ภายในร่างกาย

ทุกตระกูลจะมีการสอนทักษะดูดซับพื้นฐานตั้งแต่เริ่มการฝึกฝน ซึ่งมันจะช่วยให้พวกมันดูดซับพลังต้นกำเนิด และในทางกลับกันมันยังช่วยเพิ่มพลังทางกายภาพส่งผลให้ความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นเพียงทักษะระดับทั่วไป

การเรียนรู้ดั้งเดิมเกี่ยวกับพลังต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มต้นขึ้นจากรูปแบบของทักษะนี้ ซึ่งมันจะค่อย ๆ พัฒนาการไปสู่ขั้นต่าง ๆ ของผู้เชี่ยวชาญพลังชี อาทิเช่น ‘ขั้นชี้นำพลัง’ เพื่อดูดซับพลังและกักเก็บมันไว้ในทะเลดันเถียน

“ซูซิ่ง!”

“ข้าอยู่นี่!”

มันตะโกนขึ้นและออกจากแถวหลังจากที่เป็นคนแรกที่ถูกขานชื่อ และไปยืนอยู่ใกล้กับหินดวงดาวต้นกำเนิดอันว่างเปล่า มันกดฝ่ามือลงบนหินก้อนนั้น แสงสีขาวค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนหินให้เห็นได้อย่างชัดเจน

สีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของระดับพลังต้นกำเนิดที่มีอยู่ในร่างกาย

และสีขาวเป็นสีที่อยู่ระดับต่ำสุด ซึ่งมันหมายถึงระดับขั้นของกายาเหล็กไหล

“63 ดวงดาวสีขาว กายาเหล็กไหลขั้นหก” เสียงผู้ประเมินดังขึ้น

ชายหนุ่มนามว่าซูชิ่งขดริมฝีปากของมันแล้วเดินลงไปจากลาน

“ซูเยว่ 56 ดวงดาวสีขาว กายาเหล็กไหลขั้นห้า”

“ซูหลิงเอ่อร์ 61 ดวงดาวสีขาว กายาเหล็กไหลขั้นหก”

เมื่อเสียงของผู้ประเมินดังขึ้น เรียกผู้ที่เข้าร่วมแต่ละคนขึ้นไปบนลานเพื่อรับการประเมินและประกาศผลลัพธ์ เสียงพูดคุยดังไปทั่วพื้นที่

เมื่อสาวน้อยนามว่าซูหลิงเอ่อร์เดินออกจากลาน เสียงปรบมือดังขึ้นมากมาย แม้ว่าจะมีกายาเหล็กไหลขั้นหก เพียงเท่านั้น ทว่าเป็นระดับที่ถือว่าดีเป็นอย่างยิ่งในรุ่นที่สามนี้

“ซูชิ่ง 71 ดวงดาวสีขาว กายาเหล็กไหลขั้นเจ็ด”

เสียงแห่งความตื่นเต้นดังระเบิดไปทั่วด้านล่างลาน ซูชิ่งยืนยืดยกรับคำสรรเสริญบนลานที่ดังมาจากทั่วทุกมุม

การที่บรรลุกายาเหล็กไหลขั้นเจ็ดด้วยวัยเพียงเท่านี้ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจยิ่งนัก

หลังจากที่มันกวาดสายตามองทุกคนเสมือนจักรพรรดิครั้งหนึ่ง ซูชิ่งก็หยุดจ้องไปที่ซูเฉิน มันเผยรอยยิ้มเหยียดหยามบนใบหน้าก่อนที่จะก้าวลงจากลาน

“ซูเฉิน”

ราวกับว่าโชคชะตาถูกกำหนดให้เป็นเช่นนี้ ซูเฉินถูกขานชื่อหลังซูชิ่ง

ซูเฉินค่อย ๆ ก้าวเดินขึ้นไปบนลานและยืนใกล้ ๆ กับหินดวงดาวต้นกำเนิดอันว่างเปล่าแล้ววางมือลง

รังสีแสงสีขาวเปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้สายตาผู้คนมืดมัวลงไป

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ประเมินก็เอ่ยขึ้น “83 ดวงดาวสีขาว กายาเหล็กไหลขั้นแปด”

ไร้เสียงปรบมือหรือคำสรรเสริญตามปกติที่คาดหวังไว้

ผู้คนยืนนิ่ง จ้องมองไปที่ซูเฉินอย่างเงียบ ๆ

ขณะที่มีบางคนแสดงให้เห็นถึงความเห็นหกเห็นใจและความสงสาร นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เยาะเย้ย เย้ยหยัน ราวกับจะเอ่ยว่า “เจ้าพยายามอย่างหนักแล้วอย่างไร?” หรือจะหมายความว่า “เจ้าคิดว่าจะได้รับตำแหน่งอันดับหนึ่งได้อีกครั้งอย่างนั้นหรือ?” “เจ้าเพียงยืนอยู่บนเส้นทางขวางผู้อื่นเท่านั้น”

เมื่อตำแหน่งอันดับหนึ่งถูกกำหนดให้ตกอยู่ในมือของซูเฉิน ผู้คนไม่พอใจที่ซูเฉินได้อันดับหนึ่ง ตามปกติแล้วมันควรได้อันดับสองหรืออันดับสาม……

มันมิเพียงได้ปิดกั้นเส้นทางของผู้คนกลุ่มหนึ่ง ทว่ามันได้ปิดกั้นเส้นทางของผู้คนไปเป็นจำนวนมาก

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments