I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Divine Throne of Primordial Blood ตอนที่ 12 เหยียนหวูโชง

| Divine Throne of Primordial Blood | 712 | 2366 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

บทที่ 12 เหยียนหวูโชง

ปีนี้ เข้าสู่แรกเริ่มของฤดูใบไม้ผลิเร็วเป็นพิเศษ

เหล่าดอกไม้แข่งกันบานสะพรั่ง สร้างทะเลสีทองเปล่งประกายไปทั่วลานฝึกซ้อม พร้อมทั้งส่งกลิ่นหอมอบอวนออกมา กลิ่นหอมเหล่านั้นได้ส่งผลให้ทั่วทั้งตระกูลซูเสมือนอยู่ในทะเลแห่งน้ำหอม

เปิดประตูออกมาแล้วสูดเอากลิ่นหอมอันน่ารื่นรมย์นี้เข้าไปลึก ๆ ซูเฉินก้าวเดินออกมาจากห้องชองมันแล้วมุ่งหน้าไปที่ต้นซื๋อจิง[1]ที่อยู่ใกล้ลานฝึกซ้อมของมัน

ขณะที่มันกำลังถือถ้วยชาอยู่นั้น ซูเฉินนั่งลง การเคลื่อนไหวของมันผ่านไปอย่างเป็นธรรมชาติ

เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้ว นับตั้งแต่การประเมินสิ้นปีสิ้นสุดลง

เนื่องด้วยการโต้ตอบของซูเฉิน เป็นปกติที่จะส่งผลให้ทั่วทั้งตระกูลเกิดความสับสนวุ่นวาย ซูเค่อจี๋โกรธเกรี้ยวเพียงพอที่จะกระโดดขึ้นสูงกว่าสิบเมตร มีคนกล่าวว่าแม้แต่ข้ารับใช้ยังต้องพบเจอกับความโกรธเกรี้ยวของมันจนได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน แม้ว่ามันจะประสบความสำเร็จในการรักษาชัยชนะไว้ก็ตาม ทว่าซูเฉิงอานกลับมิได้เหลียวแลมันดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเลย ทั้งยังแสดงความไม่พอใจของมันออกมา ด้วยการกำเนิดของบุตรชายคนเล็กของมัน ซูเฮ่า ซูเฉิงอานได้ส่งมอบความรักให้กับมันมากที่สุด และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับนายหญิงสี่ ถางหงหรุ๋ยและสามี ทั้งสองได้ทะเลาะกันโดยไร้ทางสิ้นสุด และบุตรชายตาบอดของพวกมันได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทั้งสองทะเลาะกัน ความหดหู่ในใจเหล่านี้ของนาง ได้ส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรง ความแข็งแกร่งของนางลดลงอย่างมาก บัดนี้นางมิอาจเดินเหินได้ง่ายดังเดิม

โชคดีที่ผู้นำตระกูลซูฉางเช่อยังคงชื่นชมซูเฉิน ทว่ายิ่งชื่นชมมันมากเท่าใด ยิ่งทำให้รู้สึกเสียใจมากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าซูเฉินจะได้รับชัยชนะในการแข่งขันครั้งนี้ ซูฉางเช่อส่ายศีรษะของมันแล้วเอ่ย “มันเป็นผู้เยาว์ที่ยอดเยี่ยม ช่างน่าอัปยศเสียจริง แม้ว่ามันจะยอดเยี่ยมสักเพียงใด มันก็คงไม่เพียงพอ สิ่งที่แข็งแกร่งเกินไปมักจะแตกหักได้ง่าย”

คำกล่าวเหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงจุดยืนของผู้นำตระกูล มันไม่คัดค้าน ไม่สนับสนุน ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติ

นับตั้งแต่วันนั้น ซูเฉินรู้สึกเหมือนถูกแยกออกไป

หลังจากผ่านไปสองเดือน หลายสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไป

ทว่ามันมิได้เลวร้ายไปทั้งหมด

ยังคงมีสิ่งดี ๆ อยู่

สายตาของซูเฉินเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ

ก่อนหน้านั้นมันมองเห็นได้เพียงแสงสว่าง บัดนี้มันสามารถมองเห็นบางสิ่งได้ แม้ว่ามันยากที่จะแยกแยะ ทว่ามันมิได้เป็นคนตาบอดอย่างที่เคยอีกต่อไป

สิ่งนี้ทำให้ซูเฉินรู้สึกคาดหวังในทางที่ดีเกี่ยวกับอนาคตข้างหน้าของมัน แม้กระทั้งมิได้สนใจในสิ่งที่ตระกูลคิดต่อมัน

ขณะที่มันกำลังดื่มด่ำกับชาอยู่นั้น เจี้ยนชินเดินเข้ามา “นายน้อยขอรับ นายหญิงสี่ต้องการพบนายน้อยขอรับ”

“ป้าสี่ต้องการพบข้า?” ซูเฉินจ้องอย่างว่างเปล่า

หลังจากที่เหยียนหวูโชงแห่งซ่องนวสันต์จันทราได้เข้าร่วมตระกูล มันได้พบนางเพียงสองครา ครั้งแรกคือวันที่นางเข้าร่วมตระกูล และอีกคราในช่วงงานประจำปีของตระกูล นับแต่นั้นเป็นต้นมา ซูเฉินมิได้พบนางอีกเลย เนื่องจากซูเฉินเองก็ได้ยินเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวนางมาเช่นกัน

กล่าวได้ว่านางเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ ไม่นานหลังจากที่เข้าร่วมตระกูล นางได้เข้าควบคุมถนนอวี้ไต้ไว้ในมือของนาง

ถนนอวี้ไต้เป็นถนนที่คึกคักมากที่สุดในเมืองหลินเป๋ย ตระกูลซูมีร้านค้าสี่แห่งบนถนนเส้นนี้ ซึ่งทั้งหมดจะถูกซูเฉิงอานจัดการ ถึงกระนั้น บัดนี้ร้านค้าทั้งสี่แห่งได้ถูกเหยียนหวูโชงจัดการไปเสียแล้ว ถางหงหรุ๋ยเองก็ทะเลาะอย่างรุนแรงกับซูเฉิงอานเพราะเหตุนี้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง บัดนี้ร้านค้าทั้งสี่แห่งต่างกำลังเฟื่องฟูภายใต้การจัดการของนาง ทั้งยังสามารถเจรจาการค้าครั้งใหญ่สำเร็จอีกด้วย สิ่งนี้สิ่งผลให้ข้อครหาของนางหายไป

มิน่าแปลกใจเลยที่จะลุ่มหลงนายหญิงสี่ผู้นี้ นางทั้งงดงาม มีความสามารถด้านการค้า ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายแก่มันอีกด้วย

ถึงกระนั้น สิ่งที่นางทำมิใช่สิ่งที่น่าชื่นชมนัก กล่าวได้ว่าไม่นานมานี้นางได้ขับไล่หันหน้าร้านและผู้ช่วยที่มีประสบการณ์มานานทั้งสามคนแห่งร้านหยกเขียวออกไปเพียงเพราะพวกมันไม่เคารพต่อนาง และนี่เป็นเหล่าผู้อาวุโสที่คอยดูแลตระกูลซูมาช้านานกว่ายี่สิบปีแล้ว ทว่าพวกมันกลับถูกขับไล่เช่นนี้!

บัดนี้นายหญิงสี่ส่งคำเชิญมาให้มันทันที แม้แต่ซูเฉินเองก็มิอาจเข้าใจได้

หลังจากที่ครุ่นคิด ในที่สุดมันก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดใหม่เสร็จ เจี้ยนชินเดินนำทางให้ซูเฉินเพื่อไปยังที่พักของนายหญิงสี่

บัดนี้เหยียนหวูโชงนั่งถือถ้วยในมืออยู่ข้างใน ตรงหน้านางมีคู่สามีภรรยากำลังนั่งตัวสั่นเทาด้วยความกลัว

เหยียนหวูโชงมีใบหน้ารูปไข่ คู่คิ้วเรียวยาว โดยรวมแล้วนางงดงามมาก ทว่าในแววตากลับซ่อนความร้ายกาจเอาไว้

เมื่อซูเฉินเดินทางมาถึง มันได้ยินเสียงนางวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ย “ตามปกติแล้วช้ามิควรเข้าไปยุ่งกับความสัมพันธ์ของพวกเจ้า ถึงกระนั้นข้าก็มิอาจปลล่อยให้พวกเจ้ามั้งสองออกไปได้โดยง่ายเช่นกัน เช่นนั้นแล้วตระกูลนี้จะมีกฎไว้เพื่อสิ่งใด? มีผู้คนมากมายทำงานที่นี่ หากเราปล่อยให้ทุกคนเข้าออกได้ดังใจนึก แล้วเราจะยังคงมีอำนาจอยู่อีกหรือ? ใช่หรือไม่นายน้อยสี่?”

เมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้ามา เหยียนหวูโชงก็นำมันไปรวมไว้ในประโยคสุดท้าย

ซูเฉินก้มศีรษะลงและเอ่ย “ป้าสี่กำลังสั่งสอนข้ารับใช้อยู่ ซูเฉินไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยว”

เหยียนหวูโชงเอ่ย “มิต้องกังวล เจ้าสามารถเอ่ยออกมาได้ หากข้าคิดว่ามันสมเหตุสมผล ข้าอาจจะพิจารณาสิ่งที่เจ้าแนะนำมา”

หลังจากที่หยุดคิด ซูเฉินตอบกลับไป “มีกฎมากมายภายในตระกูลซู ทว่าเมื่อเอ่ยถึงเรื่องความสัมพันธ์ต้องห้ามนี้ ยังมิได้มีกฎที่กำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการ สาเหตุหลักเกิดจากมันมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงมิอาจจัดการเรื่องนี้ได้โดยง่าย หากมิทำสิ่งใดก็เปรียบเสมือนอนุญาตพวกมัน เมื่อมันเกิดขึ้น ทรัพย์สินทั้งหมดคงตกอยู่ในความยุ่งเหยิง ทว่าหากเราเข้มงวดมากเกินไป ก็เท่ากับว่าเรากำลังแยกความรักของพวกมันทั้งสองออกจากกัน ฉะนั้นแล้ว ในความเห็นของข้า วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะจัดการเรื่องนี้คือทำการริบทรัพย์สินและละเว้นสิ่งที่มิใช่ทรัพย์ไป”

“โอ้? แล้วเจ้าจะแยกทรัพย์สินพวกนี้ได้อย่างไร?” เหยียนหวูโชงเอ่ย

“โดยทั่วไปแล้ว งานที่พวกมันทำอยู่นับว่าเป็นทรัพย์สิน ทว่าความสัมพันธ์ของพวกมันมิใช่ทรัพย์สิน” ซูเฉินเอ่ย “ในความเห็นของข้า หากพวกมันรักกันอย่างแท้จริง เราก็มิควรไปฝืนบังคับให้พวกมันต้องแยกจากกัน เราสามารถริบหนึ่งในนั้นแล้วขับไล่พวกมันออกจากที่ดินได้ การทำเช่นนั้น ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ต้องห้ามก็จะจบลง ทั้งยังเป็นข้อเตือนใจให้แก่ผู้อื่นที่จะไม่ทำลายความรักของคู่อื่นอีก และเรื่องนี้จะถูกแก้ไขไปตามธรรมชาติ”
เหยียนหวูโชงถึงกับตกตะลึง กลิ่นอายความร้ายกาจเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างคิ้วของนาง “เอ่ยได้ดีเยี่ยม ทว่าสิ่งนี้ไม่เป็นการลงโทษที่เบาเกินไปหรือ? หากปล่อยพวกมันออกไปด้วยการลงโทษที่เบาเยี่ยงนี้ ข้าเกรงว่าผู้อื่นจะดำเนินตามรอยของพวกมันในอนาคต อาจส่งผลให้ผู้อื่นไม่เคารพในการตัดสินใจในลงโทษข้ารับใช้ของข้า ในความเห็นข้า ควรจับพวกมันไปโบยสักสี่สิบทีแล้วขับไล่ออกไป”

ซูเฉินรู้สึกตกใจมาก “ป้าสี่ เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่ต้องลงโทษสถานหนักเช่นนั้น”

หากทั้งสองถูกขับไล่ในเวลาเดียวกัน คงมิอาจหางานใหม่ได้ในทันที การที่ไม่มีรายได้ใด ๆ แล้วยังต้องถูกโบยอีกสี่สิบที พวกมันอาจต้องนอนพักฟื้นอย่างน้อยเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน อาจทำให้ชีวิตของทั้งคู่เลวร้ายหนักยิ่งกว่าเดิม

เหยียนหวูโชงเหลือบมองไปที่ซูเฉินแล้วเผยรอยยิ้มในทันที “นับว่านายน้อยสี่กล่าวได้ดี เอาล่ะ ข้าจะไว้หน้าเจ้าและลดโทษเป็นโบยเพียงยี่สิบที ลากตัวพวกมันทั้สองไปลงโทษ”

ซูเฉินรู้ว่าที่นางสั่งไปไม่ใช่เพียงเพื่อไว้หน้าของมัน ทว่ามันคือการแสดงอำนาจของนางเพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นสิ่งที่นางแสดงออกมาทำให้ซูเฉินรู้สึกรังเกียจนางเพิ่มมากขึ้น

หลังจากจัดการข้ารับใช้ทั้งสองเสร็จ เหยียนหวูโชงจิบชาของนาง “ข้าได้ยินมานานแล้วว่านายน้อยสี่นั้นเป็นอัจฉริยะในหมู่มนุษย์ ทั้งหนุ่มแน่นและยอดเยี่ยม ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าแล้วในวันนี้ เจ้าช่างเป็นหนุ่มน้อยที่โดดเด่นจริง ๆ ทว่าน่าเสียดายที่วิธีการของเจ้ายังอ่อนโยนเกินไป มันไม่เพียงพอที่จะใช้จัดการเรื่องนี้ เมื่อต้องจัดการกับข้ารับใช้ ทว่ามันคงมิใช่เรื่องแปลกอันใด นายน้อยสี่ผู้ที่เดินตามเส้นทางสู่ความแข็งแกร่งและการพัฒนาร่างกาย มีความจำเป็นอันใดที่ต้องเรียนรู่ศิลปะในการจัดการผู้คนด้วย?”

ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น “ป้าสี่ยกย่องข้ามากไปแล้ว ข้าเป็นเพียงคนตาบอด เส้นทางสู่ความแข็งแกร่งใดกันที่ข้าสามารถเดินไปได้? ข้าไม่คิดที่จะยอมแพ้มันโดยง่ายเพียงเท่านั้น”

“เอ่ยได้ดี” เหยียนหวูโชงปรบมือทั้งสองของนาง ทว่าไม่ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าอันงดงามของนางแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น หากข้าต้องการให้นายน้อยสี่ยอมแพ้ในบางเรื่อง ข้าเกรงว่ามันจะเป็นไปมิได้เสียแล้วกระมั้ง”

ซูเฉินเริ่มขุ่นเคืองเล็กน้อย “ข้าสงสัยว่าป้าสี่กำลังพยายามจะเอาสิ่งใดจากข้ารึ?”

เหยียนหวูโชงตอบกลับไป “ข้าขอเอ่ยว่าข้ามิได้มีเจตนาจะเอาสิ่งใดจากเจ้า ข้าเพียงตระหนักถึงสิ่งที่ดีสำหรับทรัพย์สินของตระกูลซู เจ้ารู้หรือไม่ว่ามารดาของเจ้าป่วยอยู่ ทั้งตัวเจ้าเองก็ตาบอด แม้ว่าสองเดือนก่อนเจ้าจะแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และเอาชนะนายน้อยรองได้ ทว่ามันมิได้ช่วยให้นายน้อยสี่จัดการและอ่านบัญชีการค้าได้ใช่หรือไม่? มันสามารถช่วยเจ้าสังเกตจิตใจของผู้คนและแยกแยะผู้ที่จงรักภักดีกับผู้ที่คิดไม่ซื่อได้หรือไม่? มันช่วยให้เจ้าจัดการทรัพย์โดยไม่ผิดพลาดได้หรือไม่? บางสิ่งบางอย่างมีเพียงผู้ที่มองเห็นเท่านั้นจึงจะกระทำได้”

ซูเฉินชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง “ป้าสี่สนใจในทรัพย์สินที่ท่านแม่ของข้าจัดการอยู่?”

เหยียนหวูโชงเอ่ยแก้ “ทั้งหมดนั้นเป็นทรัพย์สินของตระกูลซูที่ถูกนายหญิงใหญ่จัดการอยู่ชั่วคราวเพียงเท่านั้น ถึงกระนั้น ด้วยร่างกายของนายหญิงใหญ่ที่ไม่ค่อยแข็งแรง ทั้งนายน้อยสี่เองก็กำลังเดินไปสู่เส้นทางสู่ความแข็งแกร่ง เหตุใดจึงยึดถือทรัพย์สินเหล่านี้ไว้กันเล่า? เหตุใดมิปล่อยพวกมันไปแล้วให้ช้าได้เข้าไปจัดการแทนทุกคนเล่า? ทั้งตัวแม่เจ้าและตัวเจ้าเองก็สามารถนังเสวยสุขไปกับการจับจ่ายและเพลิดเพลินไปกับชีวิตที่เหลืออยู่” (TL : เอาเจ๊แกไปเก็บซะทีเถอะ เฉินเฉินเราโดนดูถูกหนักมาก เริ่มเคืองแล้ว ==)

ซูเฉินเอ่ยถาม “ป้าสี่ได้เข้าไปพูดคุยเรื่องนี้กับท่านแม่ของข้าหรือไม่?”

“ข้าทำแล้ว นายหญิงใหญ่ดื้อดึงและมิเต็มใจที่จะยอมฟังสิ่งที่เสนอไป ถึงกระนั้นนางเชื่อมั่นในตัวของเจ้ามาก หากเจ้ายินยอม ข้าเชื่อว่านายหญิงใหญ่จะต้องเคารพในการตัดสินใจของเจ้า”

บัดนี้ซูเฉินเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เหยียนหวูโชงต้องไปพูดคุยเรื่องนี้กับถางหงหรุ๋ย ทว่ากลับโดนปฏิเสธมาแน่นอน และท้ายที่สุดนางก็มาหามันแทน

หากซูเฉินพูดคุยเรื่องนี้กับมารดาของมัน มันก็เป็นไปได้ที่ถางหงหรุ๋ยจะเห็นด้วย

สิ่งเดียวที่เหยียนหวูโชงเอ่ยได้ถูกต้องนั่นก็คือสภาพในปัจจุบันของถางหงหรุ๋ยที่ไม่เหมาะที่จะจัดการทรัพย์สินเหล่านั้น ตัวซูเฉินเองก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน ดังนั้นมันจึงคิดมานานแล้วว่าจะมอบให้กับผู้อื่น

ถึงกระนั้นมีเพียงปัญหาเดียวที่มิอาจโอนสิทธิ์ไปให้ผู้อื่นได้

เหยียนหวูโชงเป็นนายหญิงที่ได้รับการสนับสนุนเพียงผู้เดียว ทว่าถางหงหรุ๋ยไม่เหมือนนาง และจะโอนสิทธิ์ให้กับใครก็ตามที่มิใช่นาง

ความคิดของนางผู้นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก หากมิได้รับสิทธิ์มา นางก็จะบังคับเอามันมาให้ได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงเรียกตัวมันเข้าไปหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้

นางคิดจริง ๆ หรือว่าข้าเป็นหมูที่จะรอถูกเชือดง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?

ดวงตาของซูเฉินแคบลงเล็กน้อย

เหยียนหวูโชงหย่อนชาลงในถ้วยพร้อมกับยกขึ้นดื่มด้วยความผ่อนคลาย “หลังจากนายน้อยสี่จัดการนายน้อยรองได้ แม้ว่าเป้าหมายของเจ้าจะสำเร็จ ทว่าเจ้าได้กระทำผิดต่อนายน้อยรอง รวมทั้งกลุ่มที่สนับสนุนมันด้วย ในช่วงที่ผ่านมานี้ แต่ละวันนายน้อยสี่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวใช่หรือไม่?”

“ป้าสี่กำลังพยายามาเอ่ยถึงสิ่งใดกันแน่?”

“มิใช่สิ่งสำคัญนัก หากจำเป็นต้องเอ่ยในฐานะมนุษย์แล้ว เจ้าต้องมีสหายที่เป็นมิตรไว้บ้าง หากเจ้าสร้างศัตรูมากเกินไป เจ้าอาจไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พวกมันจะแทงข้างหลังเจ้า”

“ป้าสี่กำลังจะเอ่ยว่าให้ข้าก้มศีรษะให้กับความต้องการของผู้อื่น เพียงเพื่อให้มีสหายเพิ่มเข้ามาสองสามคนอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าการหามิตรสหายที่ดีมิจำเป็นต้องทำเช่นนี้”

สีหน้าของเหยียนหวูโชงถึงกับเปลี่ยนไปในทันที

น้ำเสียงของนางเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดอออกมา?”

ซูเฉินยิ้ม “ข้ากำลังเอ่ยว่าท่านลุงสองของข้าได้ใช้เวลากว่าสามปีเพื่อให้ข้าก้มหัวให้ ทว่ากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ส่วนนายน้อยรองที่เป็นผู้สืบทอดโดยตรงของสาขาหลักก็เช่นกัน หากมันมิอาจทำได้ แล้วโสเภณีที่จากมาซ่องนวสันต์จันทราจะกระทำได้อย่างนั้นหรือ นางคงคาดหวังไปเองเสียกระมั้ง?”

 

[1] ต้นเรดบัดจีน

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments