I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Divine Throne of Primordial Blood ตอนที่ 13 ศาลาหยกพิสุทธิ์

| Divine Throne of Primordial Blood | 692 | 2367 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

บทที่ 13 ศาลาหยกพิสุทธิ์

“ปัง!”

ซูเฉิงอานตบลงบนโต๊ะของมันแล้วยืนขึ้น

ใบหน้าบ่งบอกถึงความโกธรเกรี้ยวเป็นอย่างมาก

“มันเอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ อย่างนั้นรึ?”

เหยียนหวูโชงร่ำไห้น้ำตาไหลเป็นสายน้ำ “สามีข้า เป็นดังที่ข้าเอ่ยไป ในเมื่อท่านรับรู้แล้ว ข้าเหยียนหวูโชงมีชีวิตที่ยากลำบาก หลังจากที่ได้ติดตามสามีข้าเข้ามาในตระกูลของท่าน ข้ามิได้ใช้เวลาไปกับการเพลิดเพลิน ข้านั้นได้ทำงานยู่ตลอดเวลา หามรุ่งหามค่ำแทบทุกวันเพื่อจัดการทรัพย์สินของตระกูลซู ทั้งหมดที่ข้ากระทำ ข้าเพียงต้องการที่จะช่วยนายน้อย ทว่าความหวังดีของข้ากลับถูกทำลายจนต้องอับอายแทน การที่นายน้อยปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ แล้วเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ของข้าคือสิ่งใด……”

เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงความตายไปเลย” ซูเฉิงอานโบกมือ ใบหน้าของมันมืดครึ้มและเคร่งขรึม

เหยียนหวูโชงมิได้มีพื้นหลังที่ดีนัก นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ ถึงกระนั้น นับตั้งแต่นางถูกนำตัวมาในฐานะนายหญิงสี่ อดีตจึงกลายเป็นเพียงอดีตไป ทว่าไม่มีผู้ใดในตระกูลกล้าเอ่ยมันขึ้นมา

บาดแผลนี้ถูกซูเฉินฉีกกระชากออกมา ด้วยเหตุนี้จะมิให้ซูเฉิงอานโกรธเกรี้ยวได้อย่างไร?

ในความคิดของเหยียนหวูโชงที่ต้องการทรัพย์สินของถงหงหรุ๋ยที่จัดการอยู่นั้นมา มันรู้เรื่องนี้ดี ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันเลือกที่จะมองข้ามไป

มนุษย์ทุกคนย่อมเป็นเช่นนี้ หากผู้ใดเกิดความลำเอียงขึ้นเมื่อใด ก็มักจะมองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่สอดคล้องกันกับสิ่งที่คิดไว้

ด้วยเหตุนี้ภายในใจของซูเฉิงอาน ซูเฉินกลายเป็นบุตรชายที่ไร้ตัวตนบนโลกใบนี้

การให้กำเนิดบุตรชายเพิ่มอีกสองคน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกลับไปเริ่มต้นใหม่ ความรักของมันที่มอบให้ซูเฉินค่อย ๆ เลือนหายจากไป และด้วยการต่อต้านของซูเฉินที่กระทำมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการแตกหักขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรชายที่มุ่งหน้าไปจนมิอาจกู้กลับคืนมาได้

เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ซูเฉินคงจะกลายเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายอำมหิตที่สุดในสายตาของซูเฉิงอาน

หลังจากตระหนักบางอย่างได้ ซูเฉิงอานเอ่ยขึ้น “ลูกที่มันไม่รักดี มันก็สมควรที่จะได้รับโทษ ทว่าทรัพย์สมบัติภายใต้การควบคุมของถงหงหรุ๋ยต่างได้รับมาจากตระกูลของนาง แม้ว่าจะเป็นในนามของตระกูลซู ทว่าหากปราศจากการยินยอมจากถงหงหรุ๋ยแล้ว แม้จะเป็นข้าก็คงมิอาจเข้าไปจัดการได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ายังคงต้องใช้เวลาเพื่อพิจารณามันอีกชั่วระยะหนึ่งเสียก่อน”

“ยังต้องพิจารณาสิ่งใดอีก?” เหยียนหวูโชงเริ่มโกรธ “เพราะมันเป็นสินสอดทองหมั้นเช่นนั้นหรือ? หลังจากเข้าร่วมตระกูลซูแล้ว ทรัพย์สินเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นของตระกูลซูแล้ว ถงหงหรุ๋ยควบคุมไว้ในมืออย่างเหนียวแน่น และไม่ยินยอมให้ผู้ใดเข้าไป นั่นมันไม่เหมาะสม”

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรต้องทำอย่างไร? แม้ว่าตระกูลถงจะสู้มิได้กับตระกูลซู ทว่าพวกมันยังคงเป็นหนึ่งในผู้ทรงอำนาจที่น่านับถือ เจ้ามิอาจคาดหวังว่าข้าจะสามารถยึดถือเอาสิทธิ์ในการจัดการมาได้ แล้วเจ้าจะทำได้อย่างนั้นหรือ?”

เหยียนหวูโชงครุ่นคิดไว้มานานแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “นับตั้งแต่ซูเฉินไม่เต็มใจที่จะปล่อยสิทธิ์ของมันไป หากเป็นเช่นนั้นเราก็ให้มันไปจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นด้วยตนเองเสีย ข้ามิเชื่อว่าคนตาบอดจะสามารถจัดการมันได้”

ซูเฉิงอานจมอยู่ในความคิดชั่วครู่ก่อนที่แววตาของมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นคมกริบ “นี่เป็นความคิดที่ดี ตราบใดที่มันทำผิดพลาด เราจะได้มีเหตุผลที่จะยึดเอาสิทธิ์ในการจัดการทรัพย์สินจากมันมา ถึงกระนั้น เราควรจะมอบหมายให้มันไปที่ใด?”

เหยียนหวูโชงเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด “นับตั้งแต่มันตาบอด เราควรปล่อยให้มันไปจัดการร้านค้าที่จำเป็นต้องใช้สายตา”

“ศาลาหยกพิสุทธิ์!”

__ __

ศาลาหยกพิสุทธิ์ตั้งอยู่ที่ตรอกพันโค้ง ซึ่งเป็นร้านขายโบราณวัตถุ

ทวีปต้นกำเนิดเป็นโลกที่ผ่านการพัฒนาและผ่านความก้าวหน้ามาช้านาน ครั้งหนึ่งเคยมีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองมาก ทว่ามันกลับค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา ส่งผลให้มีสมบัติโบราณมากมายถูกทิ้งไว้

ในช่วงที่อารยธรรมในจุดที่ทวีปเกิดความรุ่งเรืองถึงขีดสุด ได้มีอาณาจักรเล็ก ๆ บางแห่งได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว และทรงพลังอำนาจของอารยธรรมของมนุษย์ได้ก่อตั้งขึ้น แม้ว่าจะด้วยเหตุผลใด อารธรรมเหล่านี้ได้ถูกทำลายและถูกฝังอยู่ภายใต้ผืนทรายตามกาลเวลาทางประวัติศาสตร์ ทว่ามันยังคงมีสมบัติที่สืบทอดกันมาหลงเหลืออยู่ใต้ผืนทวีปนี้

ด้วยเหตุนี้ บนโลกนี้วัตถุโบราณมิได้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพียงเท่านั้น ทว่ามันยังนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย

ครั้งหนึ่งเคยมีตระกูลหนึ่งในเมืองหลงซางได้มีการค้นพบหลุมฝังศพในยุคโบราณอย่างมิได้คาดฝัน ต่างได้รับทักษะการหลอมโลหะและกลายเป็นเมืองที่ผู้คนร่ำรวยมาก

นี่เป็นเพียงตัวอย่างทั่วไปที่จะบอกว่าเหตุใดการค้าวัตถุโบราณจึงเฟื่องฟูเป็นอย่างยิ่งในโลกใบนี้

ด้วยการค้นพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เริ่มมีของปลอมปะปนเข้ามา

สิ่งนี้ส่งผลให้การตรวจสอบวัตถุโบราณเหล่านี้เข้มงวดและละเอียดมากยิ่งขึ้น

หัวหน้าร้านศาลาหยกพิสุทธิ์คือถางเจินที่เป็นข้ารับใช้เก่าที่เคยติดตามถางหงหรุยมาเข้าร่วมตระกูลซูเมื่อตอนที่นางแต่งงาน และมันได้เป็นหัวหน้าร้านนี้มากว่ายี่สิบปีแล้ว โดยทั่วไปแล้วมันเป็นดั่งทหารผ่านศึกมามากมายนับไม่ถ้วย ผู้ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันยาวนาน มันมีอุปนิสัยรอบคอบและระมัดระวัง ทั้งยังเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์อีกด้วย แม้ว่ามันจะมิเคยผ่านการเจรจาข้อเสนอพิเศษใด ๆ ทว่ามันก็มิเคยทำพลาดพลั้งเลยแม้แต่คราเดียว

สิ่งนี้ส่งผลให้ศาลาหยกพิสุทธิ์มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอย่างมาก ภายในตรอกพันโค้งมันถูกขนานนามว่า ‘ถนนโบราณวัตถุแห่งเมืองหลินเป๋ย’ แม้ว่าอาจจะเปรียบมิได้กับร้านค้าขนาดใหญ่ อาทิ ศาลาพันปี วิหารประเมินสมบัติ และสถานที่แห่งอื่นที่ตั้งอยู่บนตรอกพันโค้ง ทว่ามันยังคงรักษามาตรฐาน ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือเอาไว้ได้ในระดับที่นับว่าสูง ในบรรดาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของถางหงหรุย สิ่งนี้นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ภายในห้องโถงขนาดเล็กบนชั้นสามของศาลาหยกพิสุทธิ์

ซูเฉินนั่งอยู่บนเบาะอย่างสมเกียรติ ขณะที่เจี้ยนซินยืนอยู่ด้างล่างมัน ส่วนถางเจินนั่งบนเบาะด้านขวา ขณะที่หัวหน้าคนที่สองจางเหิง และหัวหน้าคนที่สามเหลาอวี้นั่งอยู่ด้านล่าง

“วัตถุประสงค์ที่ท่านพ่อส่งข้ามาที่แห่งนี้ มีเจตนาก็เพื่อต้องการช่วยท่านแม่ของข้าในการจัดการศาลาหยกพิสุทธิ์แห่งนี้ ทว่าความจริงแล้วท่านคงส่งข้าให้เพื่อมาเรียนรู้ประสบการณ์จากหัวหน้าร้านทั้งสามท่าน ด้วยเหตุนี้ข้าหวังว่าท่านจะไม่รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการเดินทางมาของข้า และขอให้ทุกท่านปฏิบัติดังเดิมที่เคยทำก่อนหน้า” ซูเฉินเอ่ยอย่างช้า ๆ

หัวหน้าร้านค้นทั้งสามตอบรับพร้อมกัน “ตามที่ท่านนายน้อยชี้แนะขอรับ”

“ข้าขอขอบคุณพวกท่านทุกคน” ซูเฉินไม่ลืมที่จะเคารพตอบกลับอย่างสุภาพและอ่อนน้อม “ข้าเข้าใจว่าแต่ละท่านต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นข้าจีงอยากจะชี้แนะเล็กน้อย รบกวนท่านหัวหน้าสองและท่านหัวหน้าสามช่วยไปจัดการร้านค้าไปก่อน ส่วนท่านหัวหน้าจะต้องอยู่กับข้าเพื่อบอกวิธีในดำเนินการค้าวัตถุโบราณให้แก่ข้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่แห่งนี้ ในฐานะมือใหม่ ข้าจำเป็นต้องเรียนรู้ให้เร็วที่สุด”

“เป็นแผนที่ดี” ได้ยินดังนั้น จางเหิงและเหลาอวี้ได้เดินออกไปเพื่อไปจัดการงานที่พวกมันรับผิดชอบ

ซูเฉินได้ไล่เจี้ยนชินออกไป บัดนี้ในห้องมีเพียงตัวมันและถางเจิงในห้องโถงเล็ก ๆ แห่งนี้ ขณะนั้นเองซูเฉินลุกขึ้นยืนแล้วคำนับถางเจิงอย่างนอบน้อม “โปรดช่วยข้าด้วยท่านหัวหน้าร้าน”

“ท่านนายน้อยหมายถึงสิ่งใดหรือขอรับ?” ท่าทางของถางเจิงตกใจเป็นอย่างมากขณะที่มันยืนขึ้นเพื่อช่วยเหลือซูเฉิน “ข้ามิอาจทนรับการคำนับจากท่านนายน้อยได้”

ซูเฉินตอบกลับไป “ผู้เยาว์จะเอ่ยความจริงแก่ท่าน แท้จริงแล้วผู้เยาว์ถูกท่านพ่อบังคับให้มายังที่แห่งนี้”

“ข้าเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อย” ถางเจิงถอนหายใจ

แท้จริงแล้วถางเจิงเองก็สงสัยเช่นเดียวกันว่าเหตุใดคนตาบอดอย่างซูเฉินจึงถูกส่งตัวมายังร้านค้าโบราณวัตถุแห่งนี้ได้ แม้ว่ามันจะมิได้อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลซู ทว่ามันเองก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตระกูลซูมาบ้าง แม้ว่านายน้อยสี่ของมันผู้นี้จะตาบอด ทว่ามันเองก็เคยเป็นจุดรวมความสนใจภายในตระกูลซูมาก่อน

ในแง่ของความเป็นเลิศ มันได้ตำแหน่งนั้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าน่าเสียดายที่สิ่งนี้ส่งให้มีหลายคนเกิดความอิจฉาในความเป็นเลิศนี้

ซูเฉินเล่าสรุปเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเป้าหมายสถานที่แห่งนี้ให้มันฟัง

เมื่อได้รับฟังสิ่งที่ซูเฉินตำหนิเหยียนหวูโชงที่เป็นโสเภณีจากซ่องนวสันต์จันทราทำให้ถางเจิงถึงกับตกตะลึงตาเบิกกว้าง บัดนี้มันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดซูเฉิงอานจึงมอบหมายให้ซูเฉินมายังที่แห่งนี้ การพูดจาเหยียดหยาม ไม่เคารพผู้อาวุโส การลดเกียรติของผู้เป็นป้า นี่มิใช่ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ!

“ก่อนที่ผู้เยาว์จะเดินทางมาที่แห่งนี้ ท่านแม่บอกข้าว่าให้เชื่อฟังคำของท่านหัวหน้าร้าน ท่านที่ทำงานหนักเพื่อตระกูลถางมากว่ายี่สิบปี เป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความรอบคอบและมโนธรรม และเป็นผู้ที่ผู้เยาว์สามารถไว้วางใจได้ ด้วยเหตุนี้ผู้เยาว์จึงได้รับคำสั่งให้มาขอความช่วยเหลือจากท่าน”

“ไอ้หยา ชราผู้นี้มิได้มีความสามารถใด ๆ เลย ที่ข้าทำได้ก็มีเพียงการประเมินสิ่งต่าง ๆ อาทิ โบราณวัตถุ สมบัติล้ำค่าเพียงเท่านั้น แม้ว่าเจ้าจะมิได้บอกเรื่องนี้แก่ข้า แม้ว่าเจ้ามิได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ข้าก็ยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์ แล้วพอจะมีสิ่งใดบ้างที่ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้?”

“ท่านสามารถสั่งสอนข้าได้” ซูเฉินตอบกลับ

ถางเจิงชะงักไปเล็กน้อย “ท่านเอ่ยถึงสิ่งใด? ท่านต้องการศึกษาวิธีการประเมินสิ่งของเช่นนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว!”

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments