แปลไทยโดย  Subaru-Kyun
 
 ตรวจทาน        Subaru-Kyun
 
 =======================================================
 
 เปลวไฟภายในเมืองสุริยันสีชาดได้มอดดับลงในเช้าวันถัดไป บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างกว่าครึ่งถูกเผาทำลายไป ซากศพสามารถพบได้ทุกแห่งหน ชาวเมืองได้เริ่มทำความสะอาดสถานที่ เหล่าผู้คนที่สูญเสียครอบครัวและผองเพื่อนไปร้องไห้จนปอดแทบฉีก พวกเขาทั้งหลายไม่สามารถช่วยไว้ได้ แต่การที่พวกเขาได้สาปแช่งและทรมานร่างที่ตายแล้วของปีศาจโลหิตด้วยการแทงดาบของพวกเขาลงไป ได้ช่วยปลดปล่อยความเกลียดชังของพวกเขา ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ถูกเติมเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก
 
 ความเกลียดชังนั้นมาจากการที่พวกเขาเห็นครอบครัวของเขาถูกฆ่าตาย บ้านของพวกเขาถูกทำลาย ไม่มีอะไรที่สามารถช่วยพวกเขาได้
 
 แม้ว่าพวกเขาจะโศกเศร้าและโกรธเกรี้ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเพียงใด พวกเขาส่วนใหญ่รู้สึกซาบซึ้งบุคคลที่มาช่วยเป็นอย่างมาก ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ได้มาถึงก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้ เขาได้สังหารปีศาจโลหิตทั้งหมด ช่วยพวกเขาจากการถูกฆ่า
 
 ยามรุ่งอรุณ ซากศพจำนวนมากได้เรียงรายอยู่ใจกลางจตุรัสเมือง พวกเขาทั้งหมดมีรูสองรูบนคอของพวกเขา ไม่มีเลือดเหลืออยู่ในร่างกายแม้แต่หยดเดียว
 
 ภายใต้ศพเหล่านั้นมีกองไม้ฟืนขนาดใหญ่ เจ้าเมืองและประชาชนที่เหลือรวมตัวกันรอบๆ ใบหน้าของพวกเขาถูกเติมเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเกลียดชัง จางเหว่ยถือคบเพลิงในมือด้วยท่าทีสั่นเทา
 
 “ท่านเจ้าเมือง”
 
 จางเหว่ยมองไปยังเจ้าเมือง และถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เมืองสุริยันสีชาดเป็นเมืองขนาดเล็กและสงบสุข ไม่เคยมีเรื่องโหดร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มาก่อน
 
 “จุดไฟได้”
 
 เจ้าเมืองปิดตาของเขาลงด้วยความเจ็บปวด เมื่อจางเหว่ยได้รับอนุญาตจากนั้นเขาก็โยนคบเพลิงลงบนกองฟืน เมื่อฟืนเผาไหม้ ทันใดนั้นศพทั้งหมดได้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง มีเสียงปะทุดังออกมาจากกองเพลิง เปลวเพลิงได้ส่องสว่างใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโศกเศร้าเสียใจของชาวเมือง หลายคนร้องไห้และกรีดร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า เจียงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆมีท่าทีหลากหลายกับฉากดังกล่าวนี้
 
 ในโลกของการฝึกตน ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ทำอะไรก็ได้ให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่สนวิธีการ สามารถเป็นปีศาจได้เพื่อความอยู่รอด มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากที่จะได้เป็นสักขีพยานในฉากที่เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์เช่นนี้
 
 “ท่านเจ้าเมือง นี่คือนายน้อยเจียงเฉินจากนิกายทมิฬ มันเป็นเขาที่ช่วยพวกเราสังหารปีศาจโลหิต เขาให้สัญญาว่าจะมาเมืองของเราและช่วยพวกเรา ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเมืองของเราจึงปลอดภัย”
 
 จางเหว่ยมองไปยังเจียงเฉิิน แล้วพูดออกมา
 
 ทุกคนได้ฟื้นฟูขึ้นจากความเสียใจ พวกเขามองไปยังเจียงเฉินกับหวงต้า ท่าทีของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพนับถือและซาบซึ้งใจ พวกเขาได้เห็นว่าชายหนุ่มและหมาแข็งแกร่งเพียงไหน มันทำให้ตกตะลึงถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขา
 
 นอกจากนี้ จางเหว่ยพูดถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะเจียงเฉิน พวกเขาคงไม่ได้มีศพเพียงแค่นี้เป็นแน่ มิเช่นนั้นในตอนนี้ ทั่วทั้งเมืองจะตกสู่เปลวเพลิงนรกอเวจีและกลายเป็นเมืองร้างเป็นแน่
 
 เป็นเพราะเจียงเฉินได้ช่วยชีวิตของพวกเขา หากไม่มีเจียงเฉิน คงไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับพวกเขาอีกต่อไป เป็นบุญคุณที่ไม่อาจทดแทนได้
 
 “ขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้ ขอบคุณ นายน้อยเจียง”
 
 เจ้าเมืองโค้งคำนับต่อหน้าเจียงเฉิน สิ่งที่เจียงเฉินได้ทำให้พวกเขาไม่กี่พันคน พวกเขาไม่อาจตอบแทนได้ ทำได้เพียงนับถือเขาดั่งผู้กอบกู้
 
 “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก เหตุผลที่ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อสังหารปีศาจโลหิตเท่านั้น”
 
 เจียงเฉินโบกมือของเขา และพูดออกมา
 
 “ไม่หรอก นายน้อยเจียง ท่านได้ทำเรื่องยอดเยี่ยมให้แก่พวกเราทั้งหมด! ไม่มีทางที่พวกเราจะตอบแทนความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ของท่านได้! ชื่อของข้าคือจางเจิ้น นับแต่นี้หากท่านมีสิ่งที่ต้องการให้ข้าช่วยได้โปรดสั่งข้ามาได้เลย ข้าจะจัดการให้ท่านทุกเรื่องที่ท่านต้องการ”
 
 เจ้าเมืองจางเจิ้น พูดออกมาด้วยท่าทีจริงจัง
 
 “ตาแก่ ทำไมเจ้าถึงขอบคุณแค่มันกันเล่า เจ้ายังไม่แสดงความขอบคุณนายท่านหมาผู้นี้เลยไม่ใช่รึ?”
 
 หวงต้าอดไม่ได้ที่จะแขวะออกมาเล็กน้อย
 
 นายท่านหมา? จางเจิ้นตกใจในสิ่งที่หวงต้าพูดออกมา แม้ว่าเขาจะรู้สึกซาบซึ้งต่อหวงต้า แต่จะให้เขาเรียกหมาว่านายท่าน เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้จริงๆ
 
 “พอเถอะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาที่ปักหลักให้ชาวเมือง ถึงตอนนี้ปีศาจโลหิตจะถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว แต่พวกมันต้องกลับมาอีกแน่ พวกมันเป็นภัยคุกคามชั้นยอด”
 
 เจียงเฉิน พูด
 
 เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชาวเมืองรู้สึกเป็นกังวลอีกครั้ง เจียงเฉินพูดถูกต้อง ปีศาจโลหิตทั้งโหดร้าย ป่าเถื่อน ในตอนนี้มันได้รับความพ่ายแพ้ในเมืองสุริยันสีชาด มันต้องกลับมาเพื่อล้างแค้นเป็นแน่ และมันจะต้องนำกำลังมาเยือนมากยิ่งขึ้น
 
 “บ้านที่คงเหลือภายในเมืองสุริยันสีชาดนั้นมากพอที่จะให้ผู้คนพักผ่อน แต่พวกเราจะป้องกันได้อย่างไรหากมันบุกโจมตีมาอีกครั้ง”
 
 จางเจิ้นขมวดคิ้วของเขาและถามออกมา
 
 “ไม่ต้องกังวล ข้าจะอยู่ที่นี่ด้วย”
 
 ในตอนแรก เจียงเฉินวางแผนที่จะตรงไปยังเมืองศิลาเหลือง แต่ตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้น อีกเพียงไม่นาน ตั้งแต่ที่ปีศาจโลหิตได้ปรากฏขึ้นรอบบริเวณศิลาแดง เมืองสุริยันสีชาดได้กลายเป็นเป้าหมายแรกของพวกมัน นอกจากนี้พวกมันกลุ่มแรกได้ถูกกำจัดไป ดังนั้นเมืองนี้ก็ได้กลายเป็นเป้าหมายหลักของหัวหน้าหน่วยปีศาจโลหิต สิ่งนี้ทำให้เมืองสุริยันสีชาดเหมาะสำหรับเป็นสนามรบที่จะทำสงครามกับปีศาจโลหิต นี่คือสิ่งที่เจียงเฉินต้องการ ปีศาจโลหิตทั้งหมดจะมาหาเขาเองโดยไม่จำเป็นต้องไปตระเวนหาทั่วทั้งศิลาเหลือง
 
 นอกจากนี้ เมื่อปีศาจโลหิตได้ตัดสินว่าเมืองสุริยันสีชาดเป็นเป้าหมายของพวกมัน การพักในบริเวณศิลาเหลืองปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยตระกูลที่ทรงพลังในเมืองศิลาเหลือง ไม่จำเป็นที่เขาต้องกังวลถึงความปลอดภัยแม้แต่น้อย
 
 “นายน้อยเจียงได้ทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ต่อเมืองของเรา นับจากนี้ ยอดฝีมือแก่นแท้มนุษย์ทั้งหมดจะร่วมต่อสู้เคียงข้างนายน้อยเจียง! พวกเราจะสู้กับปีศาจโลหิตจนเลือดหยดสุดท้าย พวกเราน้อมรับทุกคำสั่งจากนายน้อยเจียง!”
 
 จิตวิญญาณของจางเจิ้นนั้นแข็งแกร่งมาก
 
 “พวกเราจะสู้เคียงข้างนายน้อยเจียงเฉิน จนเลือดหยดสุดท้ายของพวกเรา!”
 
 ยอดฝีมือแก่นแท้มนุษย์ทั้งหมดในเมืองสุริยันสีชาดตะโกนออกมาในเวลาเดียวกัน ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น พวกเขาทั้งหมดเพียงแค่หลบหนีจากความตาย นับจากนี้ ความตายจะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
 
 ภายใต้การนำของจางเหว่ยและคนอื่นๆ ชาวเมืองทุกคนต่างลงหลักปักฐาน เจียงเฉินได้ตามจางเจิ้นและชายแก่คนอื่นจากเมืองสุริยันสีชาดไปยังหอประชุม
 
 ภายในหอประชุม เจียงเฉินนั่งอยู่ด้านหน้าของทุกคน เขาดูสงบเยือกเย็น พลังงานของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อน หลังจากดูดซับแก่นพลังงานปีศาจแก่นแท้สวรรค์ขั้นต้นไปสองลูก เขาก็ได้สร้างตราประทับมังกรเพิ่มขึ้นอีกสามดวง ในตอนนี้เขามีตราประทับมังกรทั้งสิ้นเก้าสิบดวง เขาขยับใกล้แก่นแท้สวรรค์ขึ้นไปอีกก้าว
 
 “จางเจิ้น ช่วยบอกข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในศิลาเหลือง”
 
 เจียงเฉิน พูดออกมา
 
 “ภายในใจกลางของบริเวณศิลาเหลืองคือเมืองศิลาเหลือง ถูกตรากฎโดยตระกูลอี้ ผู้นำตระกูลอี้เป็นถึงยอดฝีมือแก่นแท้สวรรค์ขั้นกลาง มีเมืองน้อยใหญ่จำนวนมากรอบๆเมืองศิลาเหลือง และเมืองสุริยันสีชาดจะค่อนข้างเล็กและเป็นเมืองที่อ่อนแอ พวกเราไม่คาดว่าจะตกเป็นเป้าหมายแรกของปีศาจโลหิต”
 
 จางเจิ้น พูด
 
 “ตั้งแต่ที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเป็นคนปกป้องศิลาเหลืองให้ปลอดภัยเอง”
 
 เจียงเฉินคิดกับตัวเอง ในตอนนี้ เมืองสุริยันสีชาดได้ดึงดูดความสนใจของปีศาจโลหิต เป็นทางเลือกที่ฉลาดสำหรับเขา สิ่งนี้ได้ช่วยเขาจากปัญหาที่จะต้องสู้กับพวกมันจำนวนมาก
 
 เจียงเฉินรู้ดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และสิ่งที่เขาจินตนาการจะมาถึงในเร็วๆนี้ เมืองสุริยันสีชาดจะตกเป็นเป้าหมายของปีศาจโลหิต เทียบกับเมืองสุริยันสีชาดแล้ว เมืองอื่นๆได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเจียงเฉินจึงตัดสินใจที่จะอยู่ในเมืองนี้เพื่อต่อสู้กับปีศาจโลหิตที่กำลังจะมาถึง
 
 แต่ในเวลาเดียวกัน เจียงเฉินไม่ต้องการให้เมืองอื่นตกอยู่ในความเสี่ยง เขาต้องการจัดการภารกิจให้สมบูรณ์แบบ เขาต้องการลบพวกปีศาจโลหิตทุกตนออกจากเขตศิลาเหลือง และไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ทุกคนอีกในอนาคต
 
 ในการจะนำความสงบสุขกลับมายังศิลาเหลือง เจียงเฉินเพียงคนเดียวแน่นอนว่าไม่เพียงพอ หลังจากทั้งหมด เขาเพียงคนเดียวไม่อาจช่วยหลายเมืองได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเขาต้องไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลอี้
 
 “จางเจิ้น ส่งใครสักคนไปยังเมืองศิลาเหลืองในทันที ไปเชิญท่านผู้นำตระกูลอี้มาพบข้า บอกเขาว่าข้าเป็นศิษย์จากนิกายทมิฬ ไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อของข้า”
 
 ในตอนนี้ ผู้คนในเมืองสุริยันสีชาด ได้ตกอยู่ในความสับสนกังวลใจ ปีศาจโลหิตจะมาอีกเมื่อไรก็ได้ ไม่มีทางให้เขาออกจากที่นี่ตอนนี้ได้อีก ในตอนแรกเขาได้เรียกหวงต้าให้ไปเมืองศิลาเหลือง แต่หวงต้าบอกเขาว่ามันไม่อยากจะไปและได้เสนอให้เรียกหยานเฉินหยู่ให้มาที่นี่
 
 “รับทราบ จางเฉวียน เจ้าไปยังตระกูลอี้ที่เมืองศิลาเหลือง นำข้อความของนายน้อยเจียงไปส่ง”
 
 จางเจิ้นไม่ได้ถามว่าทำไมเจียงเฉินถึงต้องการให้ผู้นำตระกูลอี้มาที่นี่ เขาหันตัวกลับไปบอกชายแก่อีกคน ชายแก่คนนั้นชื่อ จางเฉวัยน เป็นยอดฝีมือแก่นแท้มนุษย์ขั้นสูงสุด ด้วยการบ่มเพาะของเขาใช้เวลาเพียงสองถึงสามชั่วโมงก็สามารถไปถึงเมืองศิลาเหลืองได้ นอกจากนี้ปีศาจโลหิตจะโจมตีในเวลากลางคืน พวกเขาไม่เคยเห็นพวกมันออกมาตลอดกลางวัน หากแม้จะบังเอิญพบพวกมัน ด้วยระดับการบ้มเพาะแก้นแท้มนุษย์ขั้นสูงสุดของเขา เขาสามารถหลบหนีพวกมันได้โดยง่าย
 
 “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
 
 จางเฉวียนประสานมือของเขาต่อหน้าเจียงเฉิน จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วจากไป
 
 “จางเจิ้น ส่งคนของท่านไปตรวจตรารอบเมืองสุริยันสีชาด สิ่งอื่นก็แล้วแต่ท่าน แค่เพียงทำภารกิจของท่านให้ลุล่วงก็เพียงพอ”
 
 เจียงเฉินโบกมือของเขา เป็นสัญญาณแก่ทุกคนว่าเขากำลังจะไป
 
 “นายน้อยเจียง ได้โปรดพักผ่อนที่นี่ พวกเราจะไม่รบกวนท่านจนกว่าปีศาจโลหิตพวกนั้นจะแสดงตัวออกมา”
 
 หลังจากที่พูดออกมา จางเจิ้นได้นำคนของเขาทั้งหมดออกไป เมืองสุริยันสีชาดตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เจ้าเมืองก็มีสิ่งที่เขาควรทำ
 
 หลังจากที่ทุกคนจากไป เจียงเฉินมองไปยังหวงต้าแล้วถามอีกครั้ง “หวงต้าทำไมเจ้าถึงไม่ต้องการไปเมืองศิลาเหลือง และขอให้ข้าเรียกผู้นำตระกูลอี้มาที่นี่?”
 
 เจียงเฉิน ถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
 
 “เจ้าเป็นผู้กอบกู้ศิลาเหลือง พวกมันต่างหากที่สมควรมาหาเจ้า สถานะของเราเป็นเช่นไรเจ้าควรรู้”
 
 หวงต้าพูดออกมาขณะที่ส่ายหัวของมัน เจียงเฉินอดไม่ได้ที่จะเอามือก่ายหน้าผากของเขา หวงต้าเรียกพวกเขามาด้วยเหตุผลเช่นนี้รึเนี่ย แต่ที่จริงเจียงเฉินต้องการพบผู้นำตระกูลอี้ ภารกิจสังหารปีศาจโลหิตจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลอี้
 
 “ทำไมเจ้าถึงไม่ไปเมืองศิลาเหลืองด้วยตัวเจ้าเอง?”
 
 เจียงเฉิน ถาม
 
 “นั่นเพราะว่า ข้าพบสมบัติในเมืองสุริยันสีชาดอย่างไรล่ะ”
 
 หวงต้ากระซิบเจียงเฉิน ดวงตาของมันส่องประกาย
 
 เมื่อเจียงเฉินได้ยินคำว่า ‘สมบัติ’ ดวงตาของเขาก็ส่องประกายขึ้น ความสามารถในการหาสมบัติของมันไม่มีใครเทียบได้ นอกจากนี้ สมบัติที่มันพบต้องเป็นบางสิ่งที่ล้ำค่าอย่างแน่นอน ที่มันไม่อยากออกไปจากสถานที่แห่งนี้เพราะว่ามันได้พบสมบัติ
 
 “สมบัติอะไร? มันอยู่ที่ไหน?”
 
 เจียงเฉินถามอย่างกระหาย
 
 “ดูใบหน้าเจ้าสิ ข้าจะบอกเจ้า มันมีมากมายในเวลานี้ หากสัมผัสของข้าไม่ผิดพลาด ภายใต้เมืองนี้มีแหล่งพลังงานใต้ดิน”
 
 หมาสีเหลืองได้ให้ข้อมูลที่ราวกับระเบิดออกมา
 
 “ว่าอะไรนะ? แหล่งพลังงาน?!”
 
 เจียงเฉินตกตะลึง ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าถึงความหมายของแหล่งพลังงาน มีแหล่งพลังงานเพียงสี่สายที่ถูกค้นพบทั่วทั้งแคว้นฉี และพวกเขาได้สร้างสี่นิกายใหญ่ที่นั่น
 
 =======================================================
 
 
 
จบไปแล้วครับ กับอีกตอน อิอิอิ พบกันใหม่ตอนหน้าครับ
            
            
            ตอนที่แล้ว
            
            
            ตอนต่อไป