I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Dragon Martial Emperor ตอนที่ 31 ตระกูลหลิวแห่งเมืองจักรพรรดิ

| Dragon Martial Emperor | 729 | 2363 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ศิษย์ของนิกายเจิ้นเทียนทั้งหมดได้เดินทางมาถึงที่พักที่ จักรพรรดิถังได้จัดเตรียมไว้ให้   ที่พักของศิษย์นิกายเจิ้นเทียนนั้นได้ถูกปรับปรุงใหม่ โดยราชวงศ์ถังทำให้มันกว้างพอที่จะสามารถรองรับคนทั้งหมด 17 คนจากนิกายเจิ้นเทียน

“พวกเจ้าเลือกห้องของพวกเจ้าแล้วเข้าไปพักผ่อนได้เลย เช้าวันพรุ่งนี้ เราต้องเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปภายในอุทยานโสมป่าโบราณ”

‘ผู้อาวุโส ยี่’ กล่าวอีกว่า

“ นอกจากนั้น ศิษย์ของนิกาย เฉียนซีได้ฝึกทักษะประจำนิกายมาด้วย และพวกเจ้าสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะเหล่านั้นได้จากคัมภีร์ไม้ไผ่เหล่านี้ พวกเจ้าต้องเรียนรู้มันด้วยตนเอง ข้าจะไม่แนะนำอันใดให้กับพวกเจ้า”

ต่อจากนั้น ศิษย์จากนิกายเจิ้นเทียนได้รับคัมภีร์ไม้ไผ่มา คัมภีร์เหล่านั้นได้บันทึกทักษะประจำสำนักของ นิกาย เฉียนซี อีกทั้งในนั้นยังมีทักษะของนิกายหาญปิงรวมอยู่ด้วย

หลังจากได้รับคัมภีร์ไม้ไผ่มา ‘หลงยี่’ก็เดินขึ้นไปยังชั้น2 เพื่อหาห้องของมัน และจากนั้นมันก็ได้ไปนั่งที่โต๊ะแล้วเปิดคัมภีร์ไม้ไผ่อ่านข้อความข้างในเงียบคนเดียว

“ศิษย์ของนิกาย เฉียนซี ได้ฝึกทักษะการใช้เงาด้วยหรือนี่ ถ้าพวกมันฝึกได้อย่างสมบูรณ์จึงจะสามารถเชิดเงาของมนุษย์มาต่อสู้ได้ มันสามารถใช้ทักษะได้หลายทักษะพร้อมกันและทำให้มันเป็นตัวเป็นตนได้  ทักษะนี้มันช่างน่ากลัว โหดเหี้ยม และยากที่จะต่อกรจริงๆ”

เชิดเงาแล้วนำมาช่วยสู้อย่างนั้นหรือ?   ‘หลงยี่’ขมวดคิ้วเล็กน้อยและนึกออกทันทีว่าก่อนหน้านี้มันเห็นเงาของคนที่ถูกเรียกว่า เจ้าหญิง แห่งนิกายเฉียนซี ที่ประตูเมือง   ศิษย์นิกายเฉียนซี สามารถแยกตัวเองออกจากเงาได้ และใช้เงาโจมตีได้ยิ่งไปกว่านั้นเงานั้นสามารถพูดได้ มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกจริงๆ

ในทวีป เทียนยี่ ผู้ฝึกตนได้ทำการค้นคว้าวิธีที่จะใช้ ซวนฉี และนั่นจึงทำให้เกิดสำนักต่างๆขึ้น และสุดท้ายหัวใจหลักของทักษะประจำสำนักเฉียนซี คือการใช้ ซวนฉี เชิดเงานั่นเองทำให้ทักษะนี้ถือว่าเป็นทักษะที่วิเศษมาก

“ข้าไม่เคยเห็นการต่อสู้เยี่ยงนี้มาก่อน หลังจากเข้าไปในอุทยานโสมโบราณข้าคงต้องระวังตัวให้มากและหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเงาเพื่อป้องกันการถูกลอบโจมตี”

‘หลงยี่’พูดกับตัวเองและเริ่มอ่านบันทึกในคัมภีร์ไม้ไผ่ต่อไปเพื่อเข้าใจเกี่ยวกับทักษะของนิกายเฉียนซี   และสำหรับทักษะของนิกายหาญปิงและนิกายเจิ้นเทียนนั้นไม่ค่อยแตกต่างกัน ถ้าหากศิษย์ของนิกายหาญปิงเข้าใจเอกลักษณ์นิกายได้อย่างลึกซึ้งมันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้กับพวกมันอย่างมาก

“ถ้าเอกลักษณ์ของนิกายเจิ้นเทียนนั้นให้ความรู้สึกประมาณว่าเป็นการฝืนกฏความเป็นไปของโลก ส่วนเอกลักษณ์ของนิกายหาญปิงคงประมาณการแช่แข็งความเป็นไปของโลกอย่างนั้นสินะ “

‘หลงยี่’คิดว่า ในระหว่างที่อยู่ในอุทยานโสมโบราณนั้นมันไม่อยากจะพบคนที่บรรลุทักษะประจำนิกายอย่างลึกซึ้งเลย อย่างไรก็ตามมัน ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์   มันตั้งใจเรียนรู้ทักษะของนิกายเฉียนซี และ นิกายหาญปิงอย่างละเอียด และท่องจำมันไว้

เพราะว่าข้อมูลเหล่านี้นั้นสำคัญมากและในวันพรุ่งนี้ หลังจากเข้าไปในอุทยานโสมโบราณแล้วมันจะช่วยชีวิตตนได้   เวลานั้นผ่านไปราวกับแสงและในตอนนี้ได้ผ่านไปหลายชั่วยาม*แล้ว   มีคนมาเคาะประตู’หลงยี่’และทันใดนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมา

“น้องชายหลงยี่ เจ้าอยู่ในห้องหรือเปล่า”

เสียงที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในหูของมัน

“เขาเองหรือ”

‘หลงยี่’ที่ได้ยินเสียงนั้นก็นึกออกทันทีว่าเป็นเสียงของศิษย์คนนึงที่มีชื่อว่า ‘หลิง หาน’

‘หลิง หาน’ เป็นศิษย์นิกายเจิ้นเทียน และตอนนี้มันอยู่ที่วู่เต้าลำดับที่ 7 สามารถบอกได้ว่ามันในงานนี้มันเป็นรองเพียง ‘ถาน เจียน’   ‘หลงยี่’นั้นนับถือ’หลิง หาย’ เพราะ ‘ถาน เจี้ยน’นั้นไม่เป็นมิตรต่อมัน แต่ในระหว่างการเดินทาง ‘หลิง หาน’นั้น ได้แสดงความเป็นมิตรต่อ’หลงยี่’

‘หลิง หาน’ย้ำเสมอในใจว่าศิษย์ของนิกายเจิ้นเทียนต้องสามัคคีกันไว้และหวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์จากอุทยานโสมโบราณนี้

“พี่ชาย หลิง หาน เกิดอะไรขึ้นหรือ”

‘หลงยี่’ กล่าวถามด้วยเสียงที่ดัง

“ดี น้องชายหลงยี่ ในขณะนี้เจ้าหญิงของราชวงศ์ถังอยู่ที่ อุทยานโสมโบราณ ข้าจะมาชวนเจ้าไปด้วยกัน ถ้าพวกเราได้ยลโฉมของเจ้าหญิงแล้วมันคงจะดีไม่น้อย”

‘หลิง หาน’ ยืนอยู่หน้าประตูและกล่าวตอบกลับมา   เจ้าหญิงจากราชวงศ์งั้นหรือ?   ‘หลงยี่’ รู้สึกปวดหัว ก่อนหน้านี้มันได้เจอเจ้าหญิงของนิกายเฉียนซีที่ ประตูทางเข้าอุทยานโสมโบราณ และตอนนี้ยังมีเจ้าหญิงจากราชวงศ์ถังมาอีก ทำไมมีเจ้าหญิงมากมายมายังเมืองนี้กันนะ?

แน่นอน หลังจากนั้น’หลงยี่’ก็สามารถเข้าใจว่า เจ้าหญิงที่’หลิงหาน’ พูดคือเจ้าหญิงจริงๆส่วน เจ้าหญิงของนิกานเฉียนซีนั้น คงเป็นชื่อเรียกจากผู้คน

“ ราชวงศ์ถัง ได้สร้างอุทยานโสมโบราณและได้คุมนิกายใหญ่ทั้ง7จากอาณาจักรถัง”

ในตาของ’หลงยี่’เกิดประกาย เหมือนสัมผัสบางอย่างได้   ‘หลงยี่’เคยได้ยินว่า มันเป็นเด็กที่ถูกทิ้งโดยชนชั้นสูงของเมืองหลวง และในอนาคตมันจะต้องไปเมืองหลวงเพื่อหาความจริง   ในตอนนี้ เจ้าหญิงนั้นอยู่ที่นี่ ดังนั้นมันคงจะดีถ้ามันไปพบเธอ

“ในเมื่อพี่ชายลงทุนมาชวนข้าด้วยตัวเอง มีหรือข้าจะปฏิเสธ”

‘หลง ยี่’ตอบตกลง  และ ไปพร้อมกับมัน   มันไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเจ้าหญิงเท่าไหร่ แต่มันนั้นต้องการที่จะเห็นท่าทางของคนที่ถูกเรียกว่าราชวงศ์ถัง

“ฮ่าๆ ในตอนนี้น้องชายหลงยี่ได้ตอบรับคำเชิญข้าแล้ว และสมาชิกของเราในตอนนี้มีทั้งหมด6คน พวกเราไปกันเลยแล้วกัน”

‘หลิน หาน’ กล่าวพร้อมหัวเราะ   ‘หลง ยี่’ เปิดประตูออกมาเห็นชายหนุ่มร่างสูงสวมชุดสีขาวและใส่หมวกที่ประดับไปด้วยหยก ชายคนนั้นนั้นให้ความรู้สึกเหมือนชนชั้นสูงจริงๆ หลังจากได้เห็นชายคนนั้นแล้ว ทำให้’หลงยี่’คิดว่าชายคนนั้นต้องดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างแน่นอน

ชายร่างสูงคนนั้นคือ’หลิง หาน’นั่นเอง

“น้องชายเราจะรออะไรกันอยู่ รีบไปกันเถอะ”

‘หลิง หาน’ยิ้ม และหันกลับเดินไปทางบันได   ‘หลงยี่’ ที่อยู่ข้างหลังของมัน ก็มองไปเห็นอีก4คนที่อยู่ตรงบันได การบ่มเพาะของทั้ง4นั้นไม่ได้ด้อยกว่า’หลงยี่’เลย   เมื่อพวกมันเห็น’หลงยี่’ พวกมันทั้งหมดก็ทำหน้าดูถูก’หลงยี่’

แต่พวกมันยังเห็นแก่หน้าของ’หลิง หาน’จึงไม่อาจจะกล่าวสิ่งใดอีก   ทั้ง 6 นั้นได้เดินทางไปยังลานกว้างของ อุทยานโสมโบราณด้วยกันในยามค่ำคืน โดยปกติแล้ว มีไม่กี่คนที่จะมายังอุทยานโสมหลวงโบราณ เพราะในพื้นที่แถวนี้ มันคล้ายๆกับเมืองร้าง และอุทยานโสมโบราณนั้นก็คล้ายๆกับสวนหลังวังที่ถูกสร้างโดย ราชวังศ์ถัง

ดังนั้นใน 1 ปี จักรพรรดิถังจะเชิญบางนิกายมาร่วมเก็บโสม ที่อุทยานแห่งนี้ และอีกทางจะเป็นการฝึกฝนการต่อสู้ เพื่ออนาคตของอาณาจักรถัง

“เฮ้ นั่นคนจากนิกายหาญปิงนี่ “

พวก’หลงยี่’ เห็นคนจากนิกายหาญปิงอยู่ไม่ไกล พวกมันล้วนเป็นศิษย์จากนิกายหาญปิง คนเหล่านั้นกำลังเดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกับพวกตน   ‘หลงยี่’ มองพวกมันอย่างสบายๆและต่อจากนั้นมันก็เกิดบางอย่างที่ทำให้มันประหลาดใจเล็กน้อย   มันรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นคนบางคนในกลุ่มศิษย์นิกายหาญปิง

ในกลุ่มนั้น มีผู้หญิงใส่ชุดสีเขียวมีผมยาวปะบ่าและมีดาบสีทองแดงห้อยอยู่ตรงเอว   ‘เฟิงเหยา’!   เมื่อ’หลงยี่’เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็น’เฟิงเหยา’เพราะเธอได้ห้อยดาบทองแดงที่เป็นศาตราวุธชั้นยอดที่เธอได้รับมาจาก ‘เฟิง หลงซ่ง’ พ่อของเธอไว้

ที่ข้างๆ’เฟิงเหยา’ มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาส่วมชุดที่ดูสบายๆกำลังเดินอยู่ด้านข้างเธอ ใครที่ได้เห็นก็สามารถที่จะเดาได้ว่าทั้ง2คนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

จากนั้น 4 ศิษย์จากนิกายหาญปิงก็หันมามองยังกลุ่มของ’หลงยี่’

“ดูนั่น ศิษย์จากนิกายเจิ้นเทียน”

“คนที่เดินนำหน้ามานั่นคือหลิง หาน ใช่หรือไม่ มันดูแข็งแกร่งมากทีเดียว ข้าไม่สามารถบอกถึงระดับความแข็งแกร่งของมันได้เลย”

สองศิษย์ผู้หญิงของนิกายหาญปิงพูดกับคนอื่นๆ   และในตอนนัน ‘เฟิงเหยา’ได้บังเอิญไปเห็น’หลงยี่’อยู่ในกลุ่มนั้น   เมื่อ ‘เฟิง เหยา’เห็น’หลงยี่’ เธอก็รู้สึกประหลาดใจในทันที นัยน์ตาดำของเธอเบิกกว้างและกล่าวว่า

“ นั่นมันหรือ เป็นไปไม่ได้ “

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่ด้านข้าง’เฟิง เหยา’ เห็นท่าทางของเธอ จึงถามว่า

“ ศิษย์น้องเหยา เจ้าเห็นใครงั้นหรือ?”

“มันคือเจ้าขยะที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”

‘เฟิง เหยา’ พูดอย่างเร่งรีบ

“เจ้าขยะนั่นอย่างนั้นหรือ?”

ชายหนุ่มมองตามสายตาของ’เฟิงเหยา’ไปและหยุดลงที่’หลงยี่’ในกลุ่มของศิษย์นิกายเจิ้นเทียน   ‘หลงยี่’ในตอนนี้กำลังเดินอยู่ข้างหลัง’หลิงหาน’ และ มีท่าทางเพิกเฉย   ‘หลงยี่’นั้นต้องการจะไปยลโฉมของเจ้าหญิงแต่ดันมาพบกับ’เฟิง เหยา’ แน่นอนมันไม่คิดว่าจะพบกับเธอ

มันเพียงต้องการออกมาดูลักษณะของคนจากราชวงศ์ ในทางกลับกันการเข้าร่วมงานครั้งนี้ของมัน ทำให้’เฟิง เหยา’ รู้สึกกังวล ดังนั้นในงานครั้งนี้มันจะสามารถทำอะไรบางอย่างกับเธอได้   แต่ในตอนนี้ ‘หลงยี่’ นั้นทำเป็นไม่สนใจกลุ่มของฝ่ายตรงข้าม ในความจริงแล้ว

มันไม่สามารถเมินฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะในกลุ่มฝ่ายตรงข้ามนั้น มีคนพุ่งเป้ามาที่เขา จากนั้น ‘หลงยี่’จึงมองไปที่ชายหนุ่มด้านข้าง’เฟิงเหยา’และทำหน้าตาเย้ยหยัน แม้วขณะที่มันกำลังเดินเข้ามาหา ‘หลงยี่’

ในขณะที่ ชายหนุ่มเดินเข้ามา ศิษย์ทั้ง3ของสำนักหาญปิงรวมทั้ง’เฟิงเหยา’ก็เดินตามมันมาด้วย   เมื่อเห็นอาการบนหน้าของชายหนุ่มคนนั้น ‘หลิง หาน’จึงยิ้มแล้วก้าวไปข้างหน้า

” เจ้าเป็นศิษย์นิกาย หาญปิง สินะ ถ้าเจ้ามีบางอย่างจะพูดก็พูดซะ แต่อย่าทำสิ่งที่ไร้สาระเด็ดขาด! “

เมื่อศิษย์หนุ่มนิกาย หาญปิง ได้ยินเช่นนั้นมันจึงทำสีหน้าเย้ยยัน และ ชี้นิ้วไปที่’หลง ยี่’ และกล่าวว่า

“ ให้เจ้าขยะมาตรงนี้ซะข้ามีบางอย่างจะพูดกับมัน”

เมื่อเห็นอย่างนั้น ศิษย์ทั้ง 4ที่ยืนข้าง’หลงยี่’ก็ถอยหลังไป 1 ก้าว พวกมันไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับความวุ่นวายครั้งนี้   แต่ ‘หลิง หาน’ก็ยืนอยู่ที่เดิม และทั้งหมดนั่น เพื่อให้’หลงยี่’สามารถซ่อนอยู่หลังของมันได้

“หลง ยี่ เจ้าอยู่ในเมืองนี้นะ และอย่าไปไหนไกลล่ะ”

‘หลิงหาน’ยิ้ม และกล่าว แต่ในตอนนี้น้ำเสียงของมันยังแข็งกร้าวเช่นเดิม แม้ว่าจะโดนฝ่ายตรงข้ามดูถูกเย้ยยัน แต่มันก็ไม่แสดงความอ่อนแอออกมา มันยังยืนอยู่ข้างหน้าของกลุ่มและเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

“พี่ชาย หลิง หาน ให้ข้าได้ไปเถิด “

เห็น’หลิงหาน’ปกป้องมันจึง เกิดความรู้สึกอบอุ่นในใจของ’หลงยี่’เล็กน้อย   ในเวลานั้น ‘หลิง หาน’ ก็ก้าวขึ้นมาช่วยมัน แต่วิธีการช่วยของ’หลิง หาน’อาจทำให้ตัวมันเองต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้ไปด้วย

นอกจากนี้ คนที่หลงยี่ยังรู้สึกแค้นใจคือ ‘เฟิง เหยา’ ไม่ใช่ ‘หลิง หาน’   ‘หลงยี่’ไม่คิดจะให้ ‘หลิง หาน’จะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวในเรื่องนี้ด้วย

“ น้องชาย เจ้า…”

‘หลิง หาน’ หันหัวกลับไปมอง ‘หลงยี่’ และเห็นความมั่นใจที่อยู่ในตาของมัน ดังนั้นมันจึงยิ้มและกล่าวว่า

“ พูดได้ดี เชิญเลย แสดงพลังของเจ้าให้มันได้เห็นซะ “

‘หลิน หาน’ จำได้ว่าในนิกายเจิ้น ‘เทียน เฟิงหยุน’นั้นถูกกระแทกให้ลอยขึ้นไปบนฟ้าและตกลงมากลิ้งเหมือนลูกบอลและนั่นมันทำให้’เฟิงหยุน’สาหัสมาก   มันรู้ว่า ‘หลงยี่’ นั้นแข็งแกร่ง และมีความลับอยู่อีกมาก   ที่’หลิง หาน’ ยืนมือเข้าไปมีส่วนร่วมครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมเสียแล้ว

“ เจ้าขยะ เจ้ากล้าเสนอหน้าออกมาจริงหรือเนี่ย ความกล้าหาญของเจ้าไม่น้อยเลยนะ ข้าคิดว่าเจ้าจะทำได้เพียงหลบอยู่ด้านหลังของผู้อื่นเสียอีก “

เมื่อเห็น ‘หลง ยี่’ก้าวออกมา ก็เกิดรอยยิ้มดูถูกบนใบหน้าของชายหนุ่มสำนักหาญปิง   แต่ ‘หลงยี่’ไม่ได้ตอบโต้อะไรมันกลับไป   มันเอียง ศรีษะและมองไปที่เฟิงเหยา และพูดในขณะที่ยิ้มว่า

“ เหยา น้อยไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเลี้ยงหมาไว้ด้วย แต่ทำไมเจ้าถึงปล่อยหมาให้เห่าไปทั่วเช่นได้นี้ล่ะ?”

เห่าไปทั่วงั้นหรือ?   เมื่อได้ยินประโยคนั้น ใบหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนสีทันที เจ้าขยะนี่กล้าเรียกมันว่าหมาต่อหน้าผู้คนนจำนวนมากอย่างนั้นหรือ

“มัน คือญาติของข้า เป็นสมาชิกตระกูล หลิว  หลิว หมิงซวน และมันก็เป็นศิษย์นิกายหาญปิงเช่นเดียวกับข้า “

‘เฟิง เหยา’ กล่าวพร้อมกับสายตายั่วยุ และต้องการรู้ว่า’หลงยี่’จะมีปฎิกิริยาเช่นไร   ‘หลิว หมิงซวน’ ของตระกูลหลิว จากเมืองหลวงงั้นหรือ?

ในที่สุด’หลงยี่’ก็รู้ว่า เจ้าหมาที่กำลังเห่าอยู่นั้น คือญาติของ’เฟิงเหยา’ ที่มาจากตระกูลญาติของเธอ เพราะว่า แม่ของ’เฟิงเหยา’ ‘หลิว ยี่’ นั้นมาจากตระกูล หลิว และเธอก็ได้แต่งงานกับ’เฟิง หลงซ่ง’

นั่นหมายความว่า ‘เฟิง หลงซ่ง’นั้น ได้สละตัวออกมาจากเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ?   เรื่องนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ   ‘หลงยี่’ คิดในใจ ถ้ามันต้องการรู้ว่าจริง มันไม่ยากเลย มันก็แค่เข้าไปในเมืองหลวงแค่นั้นมันก็สามารถคลี่คลายปริศนาได้หลายอย่างแล้ว

…………………………

แปลโดยทีมงาน DME

Marionette : ลูกพี่อยู่นิ่งๆพอเรื่องนี้มัดรวมมาให้ผม เมียผมผมตบเอง หลงยี่ไม่ได้กล่าว

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments