I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Dragon Martial Emperor ตอนที่ 30 เจ้าหญิงแห่งเฉียนซี

| Dragon Martial Emperor | 773 | 2363 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ประสาทสัมผัสอันว่องไวและเฉียบคมถึงขีดสุดของ’หลงยี่’สัมผัสได้ถึงจิตสังหาร เมื่อมองตามก็พบว่าดวงตาสองคู่กำลังจ้องมองมาที่มัน ‘หลงยี่’จำได้ว่าสองคนนั้นคือ ‘เฟิงเฉียนเฉียน’ และ ‘ถานเจี้ยน’

“นั่นคงเป็นเฟินเฉียนเฉียนและถานเจี้ยน ดูเหมือนว่าพวกมันก็จะเดินทางไปด้วยกัน….”

‘หลงยี่’ยังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ และก้าวเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

“ไอ้เศษสวะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายของข้า เฟิงหยาง ในการแข่งขันครั้งนี้ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้อย่างสาสม”

วาจาของ’เฟิงเฉียนเฉียน’เต็มไปด้วยนํ้าเสียงที่คุกคาม ท่าทีของนางแสดงถึงความดูหมิ่นเหยียดหยาม’หลงยี่’อย่างชัดเจน

“จนกระทั่งตอนนี้ เจ้าก็ยังเรียกข้าว่า ‘เศษสวะ’ แต่พี่ชายของเจ้า เฟิงหยาง กลับพ่ายแพ้ให้แก่ข้า หากข้าคือเศษสวะมิใช่ว่าพี่เจ้าเป็นยิ่งกว่าเศษสวะหรือ?”

วาจาของ’หลงยี่’ทั้งปัดและตอกกลับคำพูดของนางอย่างเจ็บแสบ!

“แม้เจ้าจะมีฝีปากกล้าแต่มันก็ไร้ประโยชน์ ข้าหวังว่าฝีมือเจ้าจะเหมือนฝีปาก”

‘เฟิงเฉียนเฉียน’เยาะเย้ยด้วยถ้อยคำอันสวยหรูก่อนที่นางจะเบือนหน้าหนี ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความรังเกียจและเหยียดหยาม ริมฝีปากของนางเริ่มบิดเบี้ยว สำหรับนางผู้ซึ่งมีระดับวู่เต้าลำดับที่7

‘หลงยี่’ก็เป็นเพียงเศษสวะที่ไม่มีคุณค่าพอที่จะพูดคุยกับนาง นั่นเพราะนางไม่ทราบว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ‘หลงยี่’ไม่เพียงแต่ไม่พ่ายแพ้ แต่กลับสามารถฆ่า’ฉินเทียนขู’ ผู้อยู่ในระดับวู่เต้าลำดับที่7เช่นเดียวกับนาง!

เมื่อเทียบกับ’เฟิงเฉียนเฉียน’ ‘ถานเจี้ยน’ ที่ยืนอยู่ด้านข้างดูมีความสุขุมกว่ามาก ‘ถานเจี้ยน’มีระดับวู่เต้าลำดับที่8 ชายร่างกำยำผู้นี้มิได้เอ่ยวาจาอะไรแม้แต่คำเดียว สิ่งที่ทำมีเพียงมองหลงยี่ด้วยสายตาที่อาฆาตเคียดเเค้น สิ่งที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งคือจิตสังหาร!

มันเป็นคนถือดี ไม่ต้องกล่าวอันใดเพียงแค่ปรายตามองเป็นการเตือน’หลงยี่’ ‘หลงยี่’กล้าทำร้าย’ถานเยว่’ ทั้งเตะและหักขาของนาง ‘ถานเจี้ยน’คือพี่ชายของ’ถานเยว่’ เป็นไปได้อย่างไรที่มันจะไว้ชีวิตตน? ไม่มีอะไรต้องกล่าวไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ในการแข่งขันอุทยานโสมโบราณครั้งนี้ ชายร่างกำยำผู้นี้จะต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ’หลงยี่’อย่างแน่นอน แม้ดวงตาของ’ถานเจี้ยน’จะเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่’หลงยี่’ก็ยังคงไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

‘ถานเจี้ยน’ไม่เคยพบเคยเจอบุคคลประเภทนี้มาก่อน ‘หลงยี่’ไม่สนใจพวกมันอีก เพียงเดินเข้าไปรวมกลุ่มเพื่อเตรียมตัวแข่งขัน เนื่องจากกำลังออกเดินทางไปอุทยานโสมโบราณ เหล่าศิษย์นิกายเจิ้นเทียนจึงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง พวกมันจึงหาได้สนใจภาพความขัดแย้งอันล็กน้อยระหว่าง’หลงยี่’ กับ’เฟิงเฉียนเฉียน’และ’ถานเจี้ยน’

กลุ่มนี้มีทั้งหมด15คน เมื่อรวม’หลงยี่’และผู้อาวุโสยี่แล้วจะมีทั้งหมด17คน คนกลุ่มนี้คือตัวแทนของนิการเจิ้นเทียนในการเข้าแข่งขันงานอุทยานโสมโบราณ ทุกคนขี่ม้าเพื่อให้ไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ดยิ่งขึ้น

“ถ้าพวกเจ้าอยากก้าวเข้าสู่ขอบเขตของวิทยายุทธระดับตำนาน เจ้าจำเป็นต้องมีการผสานฟ้าดิน เพื่อที่จะสามารถทะยานขึ้นโบยบินบนฟากฟ้า แต่ช่างน่าสมเพศยิ่งนักที่แคว้นถังมีผู้คนเพียงหยิบมือ”

ผู้อาวุโสยี่มองระยะทางพลางควบม้าคลั่ง และกล่าวออกมาอย่างมิได้จริงจังมากนัก แต่ในความเป็นจริง ผู้อาวุโสยี่จงใจกล่าวเช่นนี้เพื่อให้เหล่าศิษย์ทั้ง 16 คนนี้ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้ การผสานฟ้าดิน สิ่งที่ทรงพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้คือขอบเขตของวิทยายุทธจริงหรือ?

“ข้านั้นมีอายุมากแล้ว ขอบเขตของวิทยายุทธนั้นกว้างใหญ่ไพศาล แต่สำหรับเด็กอย่างพวกเจ้า ยังคงไปได้อีกยาวไกล”

ขณะที่ผู้อาวุโสยี่กำลังกล่าวนั้นมิได้มองมาทางพวกมัน หากแต่ทุกคนกลับได้ยินอย่างชัดเจน

“อุทธยานโสมโบราณเป็นเพียงก้าวแรกของเส้นทางแห่งวู่เต้า หากพวกเจ้าเผชิญภยันตรายสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเจ้าต้องรักษาไว้คือชีวิตของพวกเจ้า เข้าใจที่ข้าพูดไหม?”

“ขอรับ”

ทุกคนพยักหน้า เส้นทางแห่งวู่เต้าคือเส้นทางที่นำไปสู่ความแข็งแกร่งและเป็นที่เคารพยํ้าเกรง แต่ความเเข็งแกร่งมีพื้นฐานบนชีวิต หากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่หากไร้ซึ่งชีวิตถึงมีวู่เต้าและแข็งแกร่ง แต่แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด? ทุกคนเข้าใจถึงสัจธรรมข้อนี้ดี!

แต่ครั้งนี้คือโอกาสที่หาได้ยากบนเส้นทางแห่งวู่เต้า ไม่มีใครสามารถหยุดความรู้สึกตื่นเต้นนี้ไว้ได้ เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากความแข็งแกร่งแล้ว ทุกคนก็เลือกที่จะเสี่ยงชีวิต ทั้งกลุ่มควบม้าคลั่งไปบนเส้นทางสู่อุทธยานโสมโบราณ อุทธยานโสมโบราณอยู่ไกลออกไปทางตอนเหนือของนิกายเจิ้นเทียน หากขี่ม้าจะต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 วัน

ไปกลับใช้เวลาเดินทางโดยรวมแล้วประมาณ20วัน นอกจากนี้ยังมี 10 วันสำหรับการแข่งขันในงานอุทธยานโสมโบราณ ทั้งหมดนี้กินเวลาประมาณเดือนนึง

“หลังจากกลับจากการแข่งขันอุธยานโสมโบราณ การแข่งขันประจำปีของตระกูลเฟิงน่าจะเริ่มขึ้นพอดี…”

‘หลงยี่’คิดกับตนเองพลางลอบสังเกตุศิษย์นิกายเจิ้นเทียนที่เดินทางมาพร้อมกับมัน นอกจาก’หลงยี่’แล้ว ศิษย์อีก 15 คนที่เหลือเป็นศิษย์สายใน และมีระดับวู่เต้าอยู่ที่ลำดับที่6และ7 มีเพียง ‘ถานเจี้ยน’ที่มีระดับวู่เต้าลำดับที่8 ทั้งยังมีฝีมือที่แข็งแกร่งและเหี้ยมโหดอย่างหาตัวจับได้ยาก

หากพูดถึงความแข็งแกร่งของ’ถานเจี้ยน’ มันสามารถที่จะลองประลองกับศิษย์หลักได้ และหากชนะ มันก็จะกลายเป็นศิษย์หลัก แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ได้ทำเช่นนั้น นิกายเจิ้นเทียนมีศิษย์หลักจำนวนรวมทั้งหมด 108 คน และถ้านับศิษย์ในที่ต้องการจะเข้าเป็นศิษย์หลัก

‘ถานเจี้ยน’ต้องประลองกับหนึ่งในศิษย์หลัก และหลังจากได้รับชัยชนะ มันถึงจะสามารถขึ้นเป็นศิษย์หลักแทนที่ผู้พ่ายแพ้ได้ แต่บางที ‘ถานเจียน’ต้องการรอจนถึงตอนกลับจากการการแข่งขันอุทธยานโสมโบราณ

เพราะเหตุนี้ ความแข็งแกร่งของมันจึงเพิ่มขึ้น และด้วยความแข็งแกร่งที่ถูกยกระดับขึ้น มันจะสามารถท้าประลองกับศิษย์หลักได้ และในกรณีนี้ มันก็จะสามารถเข้าสู่ลำดับที่สูงด้วยการประลองในครั้งแรก และหลังจากนั้น ก็จะสามารถท้าประลองศิษย์หลักเพียง1ครั้งต่อครึ่งปี

“หากเปรียบเทียบกันแล้ว การเข้าเป็นศิษย์สายในนั้นเรียบง่ายกว่ามากนัก”

‘หลงยี่’คิดเช่นนี้เพราะหากระดับของศิษย์สายนอกผู้หนึ่งก้าวเข้าสู่วู่เต้าลำดับที่6 ผู้อาวุโสจะต้องทำการตรวจสอบ และหากผ่าน ศิษย์ผู้นั้นก็จะกลายเป็นศิษย์สายในของนิกายเจิ้นเทียน

หลังจากที่เข้าเป็นศิษย์สายใน นิกายจะมอบรางวัลให้ ได้แก่ ศาสตรวุธระดับตํ่าเพื่อเพิ่มพลังกาย อย่างไรก็ตาม หลงยี่มีรองเท้าวายุเหมันต์เป็นศาสตราวุธของมันอยู่แล้วและมันก็ไม่ได้แตกต่างกับศาสตราวุธที่เป็นรางวัลของศิษย์สายในมากนัก

ยามนี้ เหล่าศิษย์ผู้ถูกคัดเลือกเป็นตัวแทนของนิกายเจิ้นเทียนทั้ง16 นั้น ไม่มีผู้ใดเป็นศิษย์หลัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าศิษย์หลักไม่แข็งแกร่ง แต่เพราะอายุพวกมันมากกว่า20ปี ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมแข่งขันอุทธยานโสมโบราณ

“ดูเหมือนจะเป็นไปตามข่าวลือ ตอนนี้ยอดฝีมือแห่งนิกายเฉียนซีได้เข้าร่วมการแข่งขันอุทธยานโสมโบราณ แต่ใครจะรู้ว่าการบ่มเพาะระดับนั้นเเท้จริงแล้วความแข็งแกร่งจะมากกว่าถานเจี้ยนอยู่เท่าใด”

‘หลงยี่’แอบคิดและคาดหมายเล็กน้อย นานมาแล้วตั้งแต่ที่มันมีระดับวู่เต้าลำดับที่7 ไม่สำคัญว่าทำไม แม้’ถานเจี้ยน’จะมีระดับวู่เต้าลำดับที่8 จึงยังคงไม่สามารถสู้กับมันได้ แต่โอกาสที่จะก้าวเข้าสู่วู่เต้าลำดับที่7ขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการแข่งขันอุทธยานโสมโบราณ.

ถ้า’หลงยี่’สามารถจัดการเก็บโสมโบราณและดูดซับหลิงชี่มาจากมันได้ แม้จะได้โสมในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้สามารถก้าวเข้าสู่วู่เต้าลำดับที่7ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ตลอดเส้นทาง’หลงยี่’ควบม้าไปบนเส้นทางที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งผืนใหญ่ภายใต้ผืนนภาสีครามปกคลุมไปด้วยเมฆาสีขาว

ในระหว่างนั้น ‘หลงยี่’ที่ไม่มีอะไรทำก็เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ที่มันได้รํ่าเรียนที่หอคัมภีร์ของนิกายเจิ้นเทียนแต่ขอบเขตการบรรลุได้เพียงระดับเริ่มต้นเท่านั้น ตามที่ผู้อาวุโสยี่อธิบายนั้น วิทยายุทธ์ของเจิ้นเทียนนั้นแน่นอนว่าย่อมมีแก่นหลัก ที่ถูกรังสรรค์โดยผู้สร้างนิกายเจิ้นเทียน

ซึ่งมาจากการบรรจุหลักการชั้นสูงของโลก หากหลงยี่บรรลุในระดับที่สูงขึ้น มันจะทำให้มันแข็งแกร่งและสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โชคไม่ดี ที่สิบวันที่ผ่านมานั้น หลงยี่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรมากนัก มีแต่การควบคุมความแข็งแกร่งของจิตเร้นลับที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่าการจะบรรลุศาสตร์เจิ้นเทียนนั้นยากยิ่งนัก ไม่ประหลาดใจเลยว่าเหตุใดจึงมีเพียงศิษย์หลักที่สามารถเข้าถึงจิตเร้นลับได้…”

‘หลงยี่’มิได้หมดหวัง หลังจากที่มันเข้าสู่โลกแห่งวู่เต้า ตราบใดที่มันยังคงฝึกฝน สักวันมันจะต้องเก่งกาจเหนือผู้ใดได้อย่างแน่นอน หลังจาก10วัน ภาพเมืองเก่าแก่โบราณบนเนินเขาก็ปรากฎแก่สายตาของทุกคน!

“เมืองอุทธยานโสมโบราณ สร้างจากราชวงศ์ในเเคว้นถัง ราชนิกูลประทับและคอยควบคุมดูแลเมืองนี้ อุทธยนาโสมโบราณตั้งอยู่ที่ด้านหลังของเมือง”

ผู้อาวุโสยี่อธิบายหลังจากที่มาถึงเมืองแล้ว ‘หลงยี่’มองไปยังเมืองอุทธยานโสมโบราณ ‘หลงยี่’รู้สึกแปลกใจที่เมืองนี้เล็กกว่าเมืองยี่กวน แต่กำแพงที่หนาถูกสร้างมาอย่างพิเศษเพื่อปกป้องอุทธยานโสมโบราณ

ในอดีต ราชนิกูลและศิษย์ของนิกายชั้นเลิศต่างพำนักอยู่ที่เมืองแห่งนี้ก่อนที่จะเข้าไปยังอุทธยานโสมโบราณ ผู้อาวุโสยี่ควบม้ามายังประตูเมืองที่ปิดอยู่ และตะโกนขึ้นไปว่า

” นิกายเจินเทียน ข้า ซุยหยุน ยี่ ได้พาศิษย์มาแล้ว”

ประตูเมืองขนาดยักษ์ถูกเปิดออก เสียงครืดของประตูเป็นสัญญาณว่าพวกมันสามารถผ่านเข้าไปได้

“ตามมา”

ผู้อาวุโสยี่นำเหล่าศิษย์ควบม้าเข้าไปในเมืองอุทธยานโสมโบราณ เมื่อพวกมันเข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่’หลงยี่’เห็นคือถนนกว้างขวางที่สร้างจากอิฐโบราณนำทางไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลังเมืองนี้และที่ใจกลางของถนนเงาร่างที่ยืนตระหง่านอยู่นั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!

‘หลงยี่’มองไปด้วยความฉงนและตื่นตะลึงเพราะเงามืดนั้นช่างแปลกเหลือเกิน! แม้ว่านี่จะดูคล้ายกับผู้หญิงที่มีเรือนร่างได้สัดส่วนงดงาม แต่หลงยี่แน่ใจว่าสิ่งนี้ย่อมมิใช่มนุษย์ เพียงเป็นแค่เงาที่คล้ายมนุษย์เท่านั้น

แต่เงามืดนั้นสามารถยืนขึ้นขวางทางของศิษย์นิยายเจิ้นเทียนได้ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งนัก “คนๆนี้มาจากนิกายเฉียนซี” บางคนในกลุ่มศิษย์นิกายเจิ้นเทียนพึงพัมกับตนเอง นิกายเฉียนซี?

‘หลงยี่’ขมวดคิ้ว เบื้องหลังของนิกายเฉียนซีนั้นเป็นเช่นไร เหตุใดจึงสามารถสร้างศิษย์ที่มีความสามารถในการสร้างเงามืดให้ตั้งตระหง่านได้เช่นนี้ ในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ เงามืดที่ยืนตระหง่านอยู่นั้นก็พูดขึ้นมา! มันเป็นเสียงที่ใสกระจ่างของเด็กสาว เอ่ยคำดูถูกขึ้นมาว่า

“พวกเจ้ามาจากนิกายเจิ้นเทียนช่างดูไร้พิษสง ดูเหมือนระดับของพวกเจ้าจะอ่อนแอเกินกว่าจะแข่งขันกับศิษย์จากนิกายหาญปิงเสียอีก”

นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้วที่เห็นเงาดำนั้นสามารถพูดได้! เมื่อศิษย์จากนิกายเจิ้นเทียนได้ยินดังนั้น พวกเขาย่อมหม่นหมอง เหตุใดท่านผู้นี้จึงกล่าวว่าศิษย์จากนิกายเจิ้นเทียนนั้นอ่อนแอ และแข็งแกร่งน้อยกว่าศิษย์จากนิกายหาญปิง นํ้าเสียงของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามนั้นได้ซึมซับความไม่พอใจเข้าสู่หัวใจของเหล่าศิษย์จากนิกายเจิ้นเทียน

มีเพียงถานเจี้ยนเท่านั้นที่ยังคงเยือกเย็นและกล่าวอย่างสุภาพ

“หรือว่าท่านคือเจ้าหญิงแห่งเฉียนซี?”

“สายตาของเจ้าช่างหลักแหลม หึ เจ้าหญิงเช่นข้าไม่สนใจเจ้าหรอก จะไปไหนก็ไป!”

เงามืดนั้นพูดพร้อมเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน เศษชิ้นส่วนเล็กๆกลายเป็นควันดำและหายไปราวกับเด็กสาวมิได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก เจ้าหญิงเเห่งเฉียนซี?

“ศิษย์พี่ถานเจี้ยน เจ้าหญิงแห่งเฉียนซีคือผู้ใดหรือ?”

ศิษย์ที่มีรูปร่างสูงและอ่อนเยาว์และมีระดับวู่เต้าลำดับที่7ได้เอ่ยถาม’ถานเจี้ยน ‘

“เจ้าหญิงแห่งเฉียนซี คือลูกสาวของเจ้านิกายเฉียนซี และนางคือศิษย์หลักเพียงผู้เดียวที่เข้าร่วมงานแข่งอุทธยานโสมโบราณในปีนี้ บางทีนางอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าก็เป็นได้”

“ถ้าเจ้าพบนางในอุทธยานโสมโบราณ จงระวัง หญิงสาวผู้นี้ทั้งโหดเหี้ยมและอำมหิต”

ศิษย์ทุกคนของนิกายเจิ้นเทียนที่ได้รับฟังและพยักหน้ารับ พวกมันไม่อาจจิตนาการได้เลยว่าหลังจากที่เข้าไปในเมืองอุทธยานโสมโบราณแล้ว ศิษย์ที่ทรงพลังที่สุดของนิกายเฉียนชีจะเข้ามาเตือนและดูถูกพวกมัน ซ่อนความเย้ยหยันในท่าทีหยิ่งยโส การที่ใช้เงามืดบดบังนั้นเรียกได้ว่าอัจฉริยะยิ่งนัก

‘หลงยี่’ไม่สนใจเรื่องที่เกิดนี้ แต่ความกระหายใคร่รู้เกี่ยวกับวิทยายุทธของอัจฉริยะอย่างเจ้าหญิงแห่งเฉียนซีก็พลันปรากฎขึ้นในใจของมัน วิชาประหลาดอะไรที่ศิษย์จากนิกายเฉียนชีใช้ในการฝึกพวกมันกัน? วิชาที่จัดการกับเงาของมนุษย์นั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก

ตั้งแต่ที่เงาร่างนั้นเริ่มพูด เป็นธรรมดาที่วิชานี้จะสามารถใช้ในการต่อสู้ได้ นางช่างเป็นคู่แข่งที่มีความสามารถที่แปลกประหลาดยิ่งนัก หลงยี่สังหรณ์ใจว่าการมาเยือนอุทธยานโสมโบราณครั้งนี้แม้จะต้องรีดเร้นเอาความสามารถทั้งหมดที่มีก็มิอาจรับประกันสิ่งใดได้อีกต่อไป!

ขณะเดียวกันนั้นเองผู้อาวุโสยี่ที่กำลังนำคณะอยู่นั้น กลับท่าทีบางอย่างที่เปลี่ยนไป

…………

Marionette : ตอนนี้ขอบคุณคุณเขียวซังนะครับ สรุปหลงยี่จะได้ปักธงมั่งไหมน้อ

เขียวซัง : สวัสดีค่ะ! เป็นนักแปลหน้าใหม่สดๆร้อนๆจากเตาค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ!

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments