ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“นั้นมันนกอินทรีหัวขาว!”
ขณะที่พวกเขามองไปที่นกอินทรีหัวขาวขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าแล้วบนหลังนกก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งคนแต่มีถึงสองคน พวกเขาจึงสงสัยว่าจะเป็นผู้ใดกันถึงได้นำนกอินทรีหัวขาวมาที่นี่? เพราะธรรมชาติพวกเขาทั้งหมดรู้ว่านกอินทรีหัวขาวนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามาก แม้แต่เมืองวิหคเพลิงยังไม่มีนกอินทรีหัวขาวเลยแม้แต่ตัวเดียว
ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าผู้ใดกันที่นั่งอยู่บนหลังของนกอินทรีหัวขาว? หรือจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาคือคนที่กวาดล้างเมืองทอง-ม่วง? เมื่อพวกเขามีความคิดเช่นนั้นมันจึงทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกที่จะหวาดกลัวแล้วตื่นตระหนก
แต่หลังจากที่นกอินทรีหัวขาวร่อนลงสู่พื้นดินไม่เพียง แต่ความไม่สบายใจของพวกเขาหายไปพวกเขากับเปรมปรีดิ์แทนเพราะคนสองคนที่นั่งอยู่บนนกอินทรีหัวขาวนั้นไม่ใช่ศัตรู แต่มันเป็นองค์หญิงลำดับที่ 2 ของเมืองวิหคเพลิง ‘ซูรู่’ และ อัจฉริยะหนุ่มที่สั่นสะท้านไปทั่วเมืองวิหคเพลิง’ชูเฟิง’
“มันเป็นองค์หญิงลำดับสอง! นี้เป็นสิ่งที่ดีองค์หญิงลำดับสองยู่ที่นี่ ตอนนี้เราก็มีคนหนุนหลังแล้ว. “
หลังจากที่ได้เห็น ‘ซูรู่’ เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายต่างได้รีบกันไปเพื่อต้อนรับเธอ เพราะพลังวิญญาณของพวกเขานั้นอยู่แค่ที่จุดสูงสุดของแดนกำเนิดวิญญาณเท่านั้น ถ้าเกิดมีคนที่ทำลายเมืองปรากฏตัวขึ้นมาในตอนนี้อย่างแน่นอนว่าพวกไม่มีความสามารถที่จะสู้กับพวกมันได้
อย่างไรก็ตาม ‘ซูรู่’ นั้นเป็นผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้าและเธอก็ยังเป็นคนที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงในแดนแก่นแท้วิญญาณดังนั้นการปรากฏตัวของ’ซูรู่’ จึงเป็นธรรมชาติที่จะทำให้พวกเขามีความปลอดภัยมากขึ้น
“ชูเฟิงเจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ”
ในขณะที่พวกเขายินดีต่อการปรากฏตัวของ’ซูรู่’ แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมที่จะปลอบใจ’ชูเฟิง’ เพราะ พวกเขากลัวเป็นอย่างมากว่าชายหนุ่มผู้นี้จะไม่สามารถที่จะทนเห็นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้ ‘ชูเฟิง’พยักหน้าพร้อมแสดงรอยยิ้มอย่างฝืนๆและผลักดันฝูงชนออกและเดินออกไปมุ่งหน้าสู่ในใจกลางเมืองทอง-ม่วง
เมื่อเดินมาถึงเขาได้เห็นคำใหญ่ที่ถูกเขียนขึ้นด้วยเลือดอยู่ในอากาศ มันจึงทำให้เขารู้ว่าภัยพิบัตินี้ได้ถูกนำมาโดยเขา เขาจึงเดินเข้าไปในใจกลางเมืองและได้เห็นคนถูกแขวนคออยู่บนคลานสูง มีทั้งคนเฒ่าคนแก่ยันไปจนถึงเด็กเล็กๆที่พึ่งหัดดูดนมแม่ และทุกคนยังเป็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคยทั้งนั้น
มันเลยทำให้หัวใจของ’ชูเฟิง’นั้นแตกสลาย รู้สึกเหมือนถูกมีดกวนอยู่ในท้องของเขา เพราะการที่พวกคนเหล่านั้นต้องตายล้วนเป็นเพราะเขา ทันใดนั้นร่างกายของ’ชูเฟิง’ได้สั่นอย่างรุนแรงหัวใจของเขานั้นรู้สึกเหมือนโดนมีดนับร้อยนับพันแทงทะลุผ่านร่างกาย น้ำตาของเขาได้เริ่มหลั่งไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เพราะเขาได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย มันเป็นคนที่คอยดูแลและเอาใจใส่เขามาตลอด 15 ปีมันเป็นพ่อบุญธรรมของเขา ‘ชูหยวน’และถัดออกไปก็เป็นอดีดผู้นำตระกูล ‘ชูหยวนป้า’ และเช่นเดียวกับพ่อของ’ชูเยว่’ ‘ชูเร้นยี่’ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำดีต่อเขาหรือเป็นคนที่ทำร้ายเขาก็ตามในอดีตที่ผ่านมาแต่ ณ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนตายสิ้น ผู้คนเหล่านี้ต่างตายเพราะเขา
“ข้าขอโทษ … ข้าขอโทษ … ข้าฆ่าพวกท่านทั้งหมด … พวกท่านทั้งหมดต่างตายเพราะข้า … ข้าขอโทษ!!!!”
ทันใดนั้น’ชูเฟิง’ได้คุกเข่าบนพื้นดินและพูดขอโทษอย่างฉกาจฉกรรจ์พร้อมกระแทกหัวของเขาลงไปที่พื้น พลังที่แข็งแกร่งของเขาได้ทำให้กินที่อยู่ด้านล่างนั้นยุบตัวและกลายเป็นหลุมลึก ในขณะนั้นหินที่ถูกกระแทกก็ได้มีเศษหินกระเดนออกมาพร้อมกับน้ำตาของเขา
“ชูเฟิงอย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาแล้วเจ้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้โดยการกระทำเช่นนี้”
พอเห็นเช่นนั้น ‘ซูรู่’ได้รีบออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะดึง’ชูเฟิง’ออกมา แต่เธอก็ไม่มีความสามารถที่ดึง’ชูเฟิง’ออกมาได้ ต่อมาเมื่อเธอก็ไม่ได้ขัดขวางเขาอีกต่อไป เมื่อเธอรู้ว่า’ชูเฟิง’นั้นจะต้องเจ็บปวดเท่าใดที่ได้รับรู้ความจริงว่าตระกูลของเขาเองได้ถูกฆ่าตายทั้งหมดก็เพราะเขา
แค่ความรู้สึกตรงนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น ไม่สามารถที่จะตำหนิใครได้นอกจากตัวเองด้วยความเจ็บปวดที่ได้รับมันก็มากเกินพอที่จะทำให้เขารู้สึกต้องการที่จะตาย วันเวลาได้ผ่านล่วงเลยไป 3 วัน
‘ชูเฟิง’ยังคงที่จะคุกเข่าอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ในวันที่สี่กองทัพจากเมืองวิหคเพลิงได้มาถึง ‘ซูเฮิน’ และ ‘ซูเหม่ย’ ได้รีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเมื่อได้เห็นภาพเหล่านั้นและ’ชูเฟิง’ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นมันทำให้หัวใจของพวกเขาทุกคนรู้สึกปวดร้าวและไม่ทราบว่าจะเข้าไปปลอบ’ชูเฟิง’ด้วยวิธีใด
ในช่วงเทียงของวันที่สี่คนหนุ่มสาวของตระกูลชูที่ได้รับการปลูกฝังพลังวิญญาณที่สำนักมังกรฟ้า ก็ได้มาถึง
“พ่อ ~~~~~”
“แม่ ~~~~~”
“อ้าา ~~~~~”
***ออกแนวกรี๊ดและร้องโหยหวน***
เมื่อ ‘ชูเว้ย’ ‘ชูเฉิง’ ‘ชูเซิน’ ‘ชูเยว่’ ‘ชูซุย’ และคนอื่น ๆ เข้ามาใน เมืองทอง-ม่วง และเห็นหัวพ่อแม่ของตัวเองถูกแขวนอยู่บนคลานมันจึงทำให้พวกเขาทั้งหมดสูญเสียการควบคุมเอง พวกเขาทั้งหมดรีบวิ่งและกระโดดข้ามกันมายังศพของพ่อแม่อย่างรวดเร็ว พวกเขาตกอยู่ในความโศกเศร้าและความสิ้นหวัง ขนาดใหญ่ที่ไม่อาจหลุดพ้นได้
แม้แต่ ‘ชูซุย’ที่ออกมาจากที่เกิดเหตุแล้วก็ยังไม่อาจยอมรับความเป็นจริงนี้ได้
“ชูเฟิง ไอ้สารเลวเอ้ย! หากเจ้าไม่ได้ไปก่อปัญหาขึ้นมาละก็ตระกูลชูของข้าก็คงไม่จบลงเช่นนี้!!? เอาพ่อแม่ของข้าคืนมา!! “
บางคนก็ได้สูญเสียจิตใจของตัวเองไปเมื่อเห็นคนในตระกูลของตนเองนั้นเสียชีวิตอย่างอนาถพวกเขาได้วิ่งไปที่’ชูเฟิง’ด้วยความโมโห พวกเขาทั้งเตะทั้งจิกและกัด ในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากลับการโจมตีที่แสนจะรุนแรงของพวกเขา ‘ชูเฟิง’ไม่ได้หลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงพวกเขาเลยแม้แต่น้อยเขายังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เขายินดีที่จะรับความเจ็บปวดและคำสาปแช่งจากพวกเขาโดยที่ไม่ส่งเสียงใดๆออกมา
“พอได้แล้ว!! เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าพวกเจ้าทุกคนโกรธแค้นกันละก็ ก็ไปลงกลับไอ่พวกที่มันฆ่าพ่อแม่ของพวกเรา ไม่ใช่เอามาลงกลับเขาโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้?”
ในขณะนี้คนที่มีเหตุผลมากที่สุดคือ ‘ชูเว่ย’ ในฐานะที่เขาเป็นพี่คนโตในตระกูลชูตอนนี้ เขาจะต้องเข้มแข็งและอดทนความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัวในตอนนี้เขาจะต้องลุกขึ้นยืนให้ได้ เขาได้ดึงคนที่ทำร้ายชูเฟิงออกไปและเข้าไปปลอบโยน’ชูเฟิง’
“ชูเฟิง เจ้าไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเองมากเกินไป เจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้เพราะคนเดียวที่สามารถล้างแค้นให้กลับตระกูลของข้าได้นั้นก็คือเจ้า”
แต่’ชูเฟิง’นั้นไม่ได้ตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนกลับว่าเขาได้ตัดขาดจากทางโลกและไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆรอบตัวได้ เขายังคงนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้นและแสดงออกถึงความเจ็บปวดในใจออกมาทางสีหน้า ตอนนี้ผู้คนเริ่มที่จะสังเกตเห็นแล้วว่า’ชูเฟิง’นั้นไม่ได้กระพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียวมาเป็นระยะเวลาที่นานมากแล้ว ทั้งสองตาของเขาเต็มไปด้วยการตำหนิตนเองในขณะที่เขามองไปที่ซากศพของคนในตระกูลชู
“ชูเฟิง, เจ้ายังไหวอยู่ใช่ไหม? อย่าทำให้พวกเราตกใจแบบนี้สิ. “
พอเห็นเช่นนั้น ‘ชูเยว่’จึงรีบเดินไป ในขณะนั้นสิ่งที่ออกมาจากดวงตาของ’ชูเฟิง’นั้นไม่ได้เป็นน้ำตาอีกต่อไปแล้วแต่มันคือ เลือด!! น้ำตาของ’ชูเฟิง’นั้นได้ไหลออกมาเป็นสายเลือด เคยมีคนได้กล่าวเอาไว้ว่าถ้าเกิดว่าเมื่อถึงจุดๆนึ่งที่คนได้โศกเศร้าเสียใจจนเจียนตาย น้ำตาของพวกเขาเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนเป็น สายเลือด
“ชูเฟิงเจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าอย่าได้คิดที่จะเหยียบย่ำตัวเองเช่นนี้ การที่เจ้าทำเช่นนี้มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มันจะเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเอง”
‘ซูรู่’ รีบวิ่งเข้าไปด้วยความกังวลที่เต็มใบหน้าของเธอ
“ชูเฟิงเจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าขอร้องละเจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย….”
‘ซูเหม่ย’ได้รีบวิ่งออกไปเช่นกัน แต่เธอไม่ได้มีใบหน้าที่สงบเหมือน ‘ซูรู่’เพราะในตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยน้ำตา แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปกระตุ้น’ชูเฟิง’พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนย้าย’ชูเฟิง’ออกมาได้เลย มันราวเหมือนกลับว่าเขาถูกครอบงำโดยปีศาจ
และเขาในตอนนี้นั้นยังคงคุกเข้าอยู่เช่นเดิมทำได้แค่ร้องไห้ต่อไปเท่านั้น น้ำตาที่กลายเป็นเลือดของเขาได้ไหลลงมาจนอาบเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม ที่ว่ามานี้ไม่ต้องพูดถึงคนที่คอยเป็นห่วง’ชูเฟิง’อยู่ตลอดแม้แต่เหล่าหนุ่มสาวตระกูลชูที่เกลียด’ชูเฟิง’เพราะพ่อแม่ของตัวเองต้องถูกฆ่ายังเริ่มที่จะไปช่วยกระตุ้น’ชูเฟิง’
แต่จะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ไร้ประโยชน์ไม่ว่าใครจะพูดยังใงก็ไม่สามารถที่จะกระตุ้น’ชูเฟิง’ได้แม้แต่นิดเดียว จนมาถึงยามค่ำคืน’ชูเฟิง’ได้เริ่มกระสับกระส่ายและดวงตาทั้งสองของเขาได้ปิดลงและเริ่มเอียงตัวล้มลงไปที่พื้น ในที่สุดเขาก็หมดสภาพด้วยความเจ็บปวดจากความโศกเศร้าของเขาได้ทะลุขีดจำกัดของตัวเอง เขาจึงหมดสติไป
และเขาในตอนนี้เขาก็ได้อยู่ในอาการโคม่าเป็นเวลาสองวันสองคืน เมื่อสติของเขากลับมาเขาก็ได้ลืมตาและพบว่าเขานั้นได้นอนอยู่บนเตียง ซึ่งมันดูเหมือนเป็นเต็นท์ทหารชั่วคราวโดยพื้นที่ภายในก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่สิ่งที่เขาได้เห็นคือใบหน้าของ ‘ซูรู่’ และ ‘ซูเหม่ย’ องค์หญิงของเมืองวิหคเพลิงและยังมีอาหารและยาบางอย่างอยู่อีก
โดยไม่ต้องคิดไรมากเพราะ’ชูเฟิง’รู้ว่ามันจะต้องเป็นสำหรับเขาอย่างแน่นอน
“ฮึบ”
‘ชูเฟิง’นั้นพยายามที่จะลุกขึ้น แต่เขาก็ค้นพบว่า’ซูเหม่ย’นั้นได้นอนหลับอยู่ที่หน้าอกของเขาและไม่เพียงแค่นั้นมันดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยมากและหมดแรง มีแม้กระทั่งคราบน้ำตาที่ติดอยู่ที่แก้มของเธอ
ในทันทีหัวใจของ’ชูเฟิง’ยิ่งรู้สึกปวดรวดร้าวขึ้นไปอีก เพราะเขาได้รับรู้ว่าการที่’ซูเหม่ย’ตกอยู่ในสภาพแบบนี้นั้นจะต้องเป็นเพราะว่าเธอนั้นกังวลเกี่ยวกับตัวของเขาอย่างแน่นอน
“เจ้าคุกเข่าเป็นเวลาสามวันสามคืนและเธอลุกยืนอยู่กับเจ้าเป็นเวลาสามวันสามคืนด้วยเช่นกัน แม้ว่าเจ้าจะออกมาแล้วเธอก็ยังคงอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ. “
‘ซูรู่’ ได้เดินเข้ามาแล้วกล่าวกับ’ชูเฟิง’
###########################################################################################
เอาล่ะเข้าสู่สาระเร้าใจท้ายบทกับ : นายกระทิข้น
ปล.ที่ 1. ว่ากันด้วยเรื่องเม้ามอย เรื่องในตอนนี้นั้นก็ไม่มีไรมากครับพูดง่ายๆก็กำตามสนองเท่านั้นเอง 55555 แต่คือแบบมันทำไปได้ไงนั่งคุกเข่าอยู่กับที สามวันสามคืน แถมยังไม่มีใครสามารถขยับมันได้อีกนะแหม่จะโหดไปไหน
ปล.ที่ 2.ว่ากันด้วยเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเรื่อง คือในตอนนี้ผู้อ่านก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าการทำลายร้างนี้นั้นมีเบื่องหลังแล้วเบื่องหลังนี้จะซ่อนเงื่อนมากน้อยแค่ไหนก็ต้องติดตามกันไป 5555 และก็ภายในเวลา สามวันสามคืน+นอนโคม่าอีกสองวันของพี่เฟิงเรา ผมไม่เชื่อหรอกว่าเมืองวิหคเพลิงและเจ้าเมืองคนอื่นๆแม้งจะไม่ได้ข่าวสารส้นตีนอะไรกันมาเลย ผมบอกได้เลยว่ามันจะต้องมีข่าวของตัวการผู้ที่ได้ทำลายล้างเมืองทอง-ม่วงมาแล้วแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าข่าวนี้มาถึงหูพี่เฟิงของเราล่ะก็มันจะเป็นเช่นไรกันล่ะที่นี้ 55555 พวกมันจะต้องชดใช้กับการคุกเข่าสามวันสามคืน+นอนโคม่าอีกสองวันของข้า
ปล.ที่ 3. ว่ากันด้วยเรื่องพระเอกในตอน ตอนนี้ชูเว่ยเป็นพระเอกจริงๆนะ
ปล.ที่ 4. ทิ้งท้าย แล้วพี่ชายชูเฟิงชูกูยู กูละหายไปน๊ายยยย ยถากรรมจะเป็นเช่นไรโปรดติดตามเนื้อเรื่องกันต่อไปไม่ใกล้ไม่ไกลเดี้ยวเราจะได้รู้กัน ชูกูยู ผู้โดดเดียวแม้แต่พ่อตายก็ยังไม่มีสิทธิได้รับรู้แม่มน่าสงสาร .. ชูหยวน
ปล.ที่ 5.เดี้ยวก่อนขออีกสัก ปล. สาระเร้าใจ : นายกระทิข้นในช่วงหน้านั้นจะเป็นการออกแนว สปอยในเชิงลึกเกี่ยวกับเนื้อเรื่องย่อยก่อนที่จะถึงงานประลองว่าสถานหลังจากการกวาดล้างตระกูลชูเฟิงแล้วจะเกิดเหตุการณ์ใดต่อไปในช่วงหน้าเราจะได้รู้กันแต่รับลองได้ว่ามันจะไม่ทำให้ผู้อ่านเสียอรรถรสในการอ่านอย่างแน่นอน ################################################################################################# …..####
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ : นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน####…..
ที่มา: