ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปข้อแรก ทำไมศพของ’จ้าวอี้เปย’ถึงมาปรากฏที่นี่? และข้อสอง ชัดเจนว่าร่างนั้นไร้ชีวิตแล้ว แต่ทำไมถึงยังขยับตัวได้?
หัวใจของ’เย่เฟิง’รู้สึกหนาวเย็น เขาเอ่ยขึ้นเสียงสั่น
“เสี่ยวฉีอยู่ห้องไหน เราต้องรีบไปหาเธอเดี๋ยวนี้!”
“อยู่ที่ชั้น 4 ตึก 2 ……..”
ชายสวมหน้ากากเพิ่งจะเอ่ยขึ้นไม่ทันจบ ‘เย่เฟิง’ก็ใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงาพุ่งไปที่นั่นทันทีอย่างไม่ลังเล
ในโลกเทวะนั้น มีทักษะที่เกี่ยวพันกับคนตายมากมาย อย่างเช่นทักษะควบคุมวิญญาณซึ่งสามารถควบคุมศพของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้ ยิ่งกว่านั้น มันยังคงความสามารถก่อนตายของศพเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหวั่นเกรงเอามากๆ
แต่บนโลกใบนี้ มันมีทักษะประเภทนั้นอยู่จริงๆงั้นหรือ? ‘เย่เฟิง’ไม่คิดอะไรให้มากความอีก เขาเพียงแค่วิ่งอย่างรวดเร็วจนไม่นานก็มาถึงที่หน้าตึก 2 เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ใจของเขาก็พลันสั่นสะท้าน เขามองเห็นชายคนหนึ่งในชุดที่ขาดวิ่นเหมือนกับจ้าวอี้เปย ยืนอยู่บนระเบียงชั้น 3 ของตึก
“ขวานวายุ?!”
ใจของ’เย่เฟิง’เต้นรัวด้วยความแตกตื่น ร่างสูงและกำยำร่างนั้น มีใบหน้าที่ซีดเซียวและมีรอยแผลบริเวณลำคอที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน รอยแผลนี้เกิดจากมีดบินของ’จูไป่เหนี่ยว’และ’เย่เฟิง’ยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ดี
ศพของ’ขวานวายุ’ถูก’หน้าบาก’และ’จ้าวอี้เปย’โยนทิ้งลงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไป แล้วร่างของมันมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
ถึงแม้จะยังสับสนกับสิ่งเหล่านี้ แต่’เย่เฟิง’ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรมากอีก โดยไม่รอให้ชายสวมหน้ากากตามมา ‘เย่เฟิง’ควบแน่นเจินชี่ของเขาไว้ที่เท้าทั้งสองข้าง ก่อนจะกระโดดและใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงาควบคู่ไปด้วยกัน ชายหนุ่มกระโดดขึ้นไปบนระเบียงชั้น 3 ในทันที!
หากเป็นคนทั่วไปในโลกยุทธภพที่มีวรยุทธ์ระดับ 5 หรือแม้แต่ 10 ปี ก็ไม่อาจกระโดดสูงถึงระดับนี้ได้ ถึงอย่างนั้น ‘เย่เฟิง’เพียงอาศัยความแข็งแกร่งของเจินชี่ควบคู่ไปกับทักษะย่างก้าวไร้เงา ความสามารถของเขาก็สูงเหนือล้ำคนธรรมดาไปหลายต่อหลายเท่า
ฉัวะ!
ก่อนที่’ขวานวายุ’จะได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ประกายกระบี่เจินชี่สีแสดในมือ’เย่เฟิง’ก็พลันฉายวาบ หัวของมันขาดกระเด็นพร้อมกับร่างกำยำที่ล้มชนผนังของระเบียงอย่างรุนแรง และทันใดนั้น ร่างของมันก็พลันถูกเผาไหม้จนเหลือเพียงขี้เถ้ากองหนึ่ง!
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ใจของ’เย่เฟิง’พลันหยุดเต้นไปชั่วขณะ พร้อมกับสมองของเขาที่ว่างเปล่าไปชั่วครู่ ในเมื่อศพของ’ขวานวายุ’เป็นแบบนี้ ถ้างั้น ศพของ’จ้าวอี้เปย’ที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้ก็……
“ตามที่คาดไว้ เขามาที่นี่…….”
เวลานี้ น้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นมาจากในห้องของระเบียงแห่งนี้ พร้อมด้วยเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวที่ดั่งตามมา นอกจากนั้น ยังมีเสียงคำรามของชายหนุ่มดังขึ้นราวกับคนไร้สติ
“เสี่ยวฉี , หลินซิวเหวิน? แล้วชายชราคนนั้นเป็นใครกัน?”
‘เย่เฟิง’ระมัดระวังตัวมากขึ้น เขากำกระบี่เจินชี่ในมือแน่น ก่อนจะใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงาอีกครั้งเพื่อพุ่งทะลุประตูระเบียงเข้าไปในห้อง ‘เย่เฟิง’มองเห็นห้องนอนสีชมพูของหญิงสาวที่’หลินซิวเหวิน’กำลังยืนอยู่ในอาการที่แปลกประหลาด ร่างช่วงบนของเขาเปลือยเปล่าและมองเห็นผิวหนังที่มีสีแดงเข้ม
ชายหนุ่มเปล่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าขณะผลักหญิงสาวคนหนึ่งไปที่มุมห้อง ซึ่งหญิงสาวคนนี้ก็คือเพื่อนรักของ’หลินชื่อฉิง’และเป็นเจ้าของร้านกาแฟฉีฉี เธอคือ’เสี่ยวฉี’นั้นเอง
แต่ตอนนนี้ มีรอยคราบเลือดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยแจ่มใสพร้อมด้วยชุดราตรีสีขาวของเธอที่ขาดรุ่งริ่ง หญิงสาวถือรองเท้าส้นสูงไว้ในมือขณะพยายามทุบตี’หลินซิวเหวิน’เพื่อกันไม่ให้เขาเข้ามาใกล้เธอ
ชัดเจนว่า’หลินซิวเหวิน’คลุ้มคลั่งราวกับสัตว์ป่าไปแล้ว และในสภาวะคลุ้มคลั่งนี้ เขาพยายามทำอันตรายต่อ’เสี่ยวฉี’ แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาที่จะนั่งรอเฉยๆให้คนมาช่วย เธอจึงพยายามทุบตี’หลินซิวเหวิน’ไปพร้อมๆกับการร้องขอความช่วยเหลือ
ถึงอย่างนั้นนอกจากสองคนนี้ ภายในห้องก็ไม่มีคนอื่นอยู่อีกเลย
“แต่เมื่อกี้เราได้ยินเสียงชายชราไม่ผิดแน่?”
‘เย่เฟิง’ยังคงระมัดระวังตัวสุดขีด เขาทิ้งภาพติดตาเอาไว้ด้านหลังขณะพุ่งไปปรากฏตัวอยู่หน้า’เสี่ยวฉี’ และในเสี้ยววินาทีถัดมา ชายหนุ่มเตะเข้าใส่ร่างที่คลุ้มคลั่งของ’หลินซิวเหวิน’อย่างแรงจนลอยไปชนกำแพงด้วยเสียงดัง
“ปัง”
“เป็นอะไรไหม?”
‘เย่เฟิง’ที่สวมหน้ากากใบหน้าบูดบึ้งไว้ หันมามอง’เสี่ยวฉี’และเอ่ยถาม
“ม…ไม่เป็นไร….”
หญิงสาวยังตกอยู่ในอาการหวาดผวา ดวงตาสีครามของเธอจับจ้องไปมายัง’เย่เฟิง’ด้วยความตื่นกลัวอย่างระวังตัว
ชายสวมหน้ากากคนนี้เป็นใครกัน? เขาเข้ามาทางระเบียงได้ไง?
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้หญิงสาวสงสัย ถึงแม้ว่าชายสวมหน้ากากคนนี้จะเตะร่างอันคลุ้มคลั่งของหลินซิวเหวินออกไปเพื่อช่วยเธอไว้ แต่มันอาจกลายเป็นการหนีเสือปะจระเข้ก็ได้ ใครจะรู้ ‘เย่เฟิง’รับรู้ว่าเธอคนนี้ยังคงหวาดกลัวและสงสัยในตัวเขา แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรอีก
เขาเดินไปยังร่างของ’หลินซิวเหวิน’ด้วยความระวัง และตอนนี้ ‘เย่เฟิง’แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครคนอื่นในห้องนี้อีก ชายหนุ่มจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย ‘เย่เฟิง’มองไปยัง’หลินซิวเหวิน’และเห็นดวงตาของเขาแดงเป็นสีเลือด ผิวหนังของชายหนุ่มคนนี้ร้อนเหมือนน้ำเดือดและดูเหมือนว่าตอนนี้เขายังมีสติหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
ยิ่งกว่านั้น เสียงครวญครางหลังจากถูก’เย่เฟิง’เตะไปชนผนัง แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้บาดเจ็บหนัก เขาคงลุกขึ้นมาไม่ได้สักพัก หรือแม้แต่คลานยังเป็นเรื่องยาก
“เกิดอะไรขึ่้นกับเขา?”
‘เย่เฟิง’ถามด้วยเสียงโทนต่ำ
“ฉันไม่รู้แล้วก็……”
‘เสี่ยวฉี’เอ่ยขึ้นมาด้วยความกลัว
“ก่อนหน้านี้ ชายชราคนหนึ่งมาด้วยกันกับเขา เขาคิดจะ คิดจะ…..”
“ชายชราคนหนึ่งงั้นหรอ?”
‘เย่เฟิง’ถามซ้ำอีกครั้ง
“เขาเป็น….เขาเป็นมนุษณ์รึเปล่า?”
‘เสี่ยวฉี’มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใครอีก มันจึงทำให้เธอรู้สึกขนลุกขนพอง
ปัง! ไม่ไกลจากหอพักแห่งนี้ มีเสียงยิงปืนดังขึ้นเบาๆซึ่ง’เย่เฟิง’สามารถรับรู้ได้ทันที
“เธอดูแลเจ้าหมอนี่ไปก่อน ฉันต้องไปแล้ว”
โดยไม่คิดให้มากความ ‘เย่เฟิง’ตรงเข้าไปต่อยใส่ร่างของซานเชาแห่งตระกูลหลินจนเขาหมดสติ ก่อนจะกระโดดออกไปทางระเบียง เสียงยิงปืนที่ดังขึ้นเมื่อกี้ ชัดเจนว่าเป็นของชายหน้ากากโครงกระดูก ซึ่งเขาอาจจะกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู หรือบางทีมันอาจจะเป็นชายชราคนนั้น!
(note: ซานเชาคือบุตรชายคนที่สาม)
‘เสี่ยวฉี’พลันรู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นเย่เฟิงกระโดดออกไปทางระเบียงชั้น 3 เธอรีบวิ่งไปที่ระเบียงอย่างรวดเร็วและเมื่อมองลงมา หญิงสาวก็ไม่เห็นใครอยู่สักคนในบริเวณนี้แล้ว เธอจึงหันกลับมามองร่างที่ฟุบอยู่ของซานเชาแห่งตระกูลหลิน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้’เสี่ยวฉี’รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสั่นหลัง
และด้วยความว้าวุ่นใจ หญิงสาวรีบวิ่งไปล้วงเอาโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใต้หมอน ก่อนจะกดโทรออกไปหา’หลินชื่อฉิง’อย่างเร่งรีบ
…………..
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ‘เย่เฟิง’กระโดดลงมาจากระเบียงชั้น 3 และมุ่งไปยังที่ที่เสียงปืนดังขึ้นก่อนหน้านี้ ที่ใจกลางแหล่งที่พักอาศัยแห่งนี้นั้น มีทะเลสาบจำลองที่ล้อมรอบด้วยป่าไผ่อยู่ เมื่อ’เย่เฟิง’มาถึงที่นี่ เขามองเห็นร่างที่ซีดเซียวมากมายในป่าไผ่ซึ่งทำให้สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที
ร่างทั้งหมดนั้นล้วนเป็นคนที่เขาคุ้นเคยทั้งสิ้น! ‘เย่เฟิง’มองเห็น’จูไป่เหนี่ยว’ และศิษย์ทั้งสองจากสำนักหมัดเทพทวารา ‘หลัวลี่’และ’หลัวเล่ย’ รวมทั้งจ้าวอี้เปยและคนอื่นๆ ร่างอันซีดเซียวทั้งแปดในชุดที่ขาดวิ่นกำลังรอบล้อมชายหน้ากากโครงกระดูกเอาไว้
ชายคนนั้นกำลังอยู่อยู่ในสถานะการลำบากเพราะแม้ว่าเขาจะมีปืนอยู่ในมือ แต่เมื่อเขาลั่นกระสุนใส่หน้าผากของ’จูไป่เหนี่ยว’ ร่างอันซีดเซียวร่างนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดฝีเท้าลงแม้แต่น้อย เมื่อเห็นชายสวมหน้ากากถูกล้อมเอาไว้ภายใน ‘เย่เฟิง’รีบควบแน่นเจินชี่ไปที่เท้าเพื่อใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงา
ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาชายสวมหน้ากากเพื่อหมายจะพาเขาออกจากวงล้อมอันหนาแน่น
“เจ้าพวกนั้นมัน……เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
‘เย่เฟิง’หยุดฝีเท้าลงใกล้ๆกับทะเลสาบจำลอง ก่อนจะถามชายสวมหน้ากากเสียงสั่น
“ศพพวกนั้นถูกชายชราคนหนึ่งควบคุมไว้ มันคือผู้ใช้ความตายที่มาจากทางตะวันตกของหูหนาน”
ชัดเจนว่าชายสวมหน้ากากล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดต่อด้วยเสียงหนักแน่น
“ตั้งแต่ที่มันถูกขับออกมาจากนิกาย มันก็มาที่เมืองเหยียนจิง และได้พบกับไซ่เชาหงโดยบังเอิญ…..”
ผู้ใช้ความตายที่ควบคุมศพเดินได้งั้นรึ? ‘เย่เฟิง’ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนิยายเหล่านั้น แต่เขาคาดเดาว่านั่นคงเป็นนิกายในโลกยุทธภพ และจากคำพูดของชายสวมหน้ากาก ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าศัตรูที่แท้จริงของเขาไม่ใช่พวกศพเดินได้เหล่านั้น แต่เป็นชายชราที่ซ่อนตัวอยู่
“เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก”
ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงแหบแห้งดังสะท้อนมาจากทุกสารทิศ
“ข้าคือผู้ใช้ความตาย! ข้าถูกหักหลังจากพวกคนทรยศ! ข้าจึงหนีมาจากที่นั่นและต้องขอบคุณความเมตตาของท่านไซ่เชาที่ให้ที่สิงสถิตแก่ข้า ข้าจึงทำงานให้เขาเป็นการตอบแทน ข้าขอรู้ชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้มีเกียรติหน่อยได้หรือไม่”
“โม่จิ่วเกอ”
‘เย่เฟิง’ตอบไปเบาๆอย่างระวังตัว การที่ได้ยินเพียงเสียงอันแหบแห้งขณะที่ชายชราซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทำให้’เย่เฟิง’ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างมาก
ยิ่งกว่านั้น ศพทั้งแปดที่ตกอยู่ในการควบคุมของชายชรา กำลังก้าวเข้ามาหาเขาเรื่อยๆแล้ว เมื่อ’เย่เฟิง’มองไปยังใบหน้าอันซีดเซียวของ’จ้าวอี้เปย’ ใจของเขาก็พลันกลายเป็นมืดครึ่ม
ชายหนุ่มคนนี้ยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยตัวเขา แต่เมื่อตายลง ชายหนุ่มคนนี้กลับไม่ได้ไปสู่สุคติ ศพของเขาถูกผู้ใช้ความตายทำให้กลายเป็นผีดิบและไล่ทำร้ายผู้คนไปทั่ว สิ่งเหล่านี้ทำให้’เย่เฟิง’รู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก!
……………………
แปลโดย Solar Spark
Solar Spark : อย่าให้พี่เย่ต้องโมโหนะเฟร้ย
ที่มา: