ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปไม่นาน ‘หลินชื่อฉิง’ก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้’หลินเต๋อเทียน’พ่อของเธอฟัง
ผู้นำตระกูลหลินในปัจจุบันนี้คือ’หลินเต๋อเทียน’ และ’หลินชื่อฉิง’ก็คือลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา ขณะที่คุณหนูและคุณชายของตระกูลอย่างเช่น ‘หลินจื่อฉิง’ ‘หลินซิวเหวิน’ และคนอื่นๆเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องกันในตระกูลหลิน
ถึงแม้ว่า’หลินเต๋อเทียน’จะมีอำนาจมากที่สุดในตระกูลหลินรองจาก’หลินหงชวน’ผู้เป็นบิดา แต่เขาก็ไม่ได้มองข้ามพี่น้องคนอื่นๆเช่นกัน เหตุผลเดียวที่ตระกูลหลินเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิง เป็นเพราะว่าผู้คนในตระกูลนั้นสามัคคีกัน เห็นแก่ส่วนรวม และคอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน
“อะไรนะ? หลินซิวเหวินงั้นหรอ?”
เมื่อ’หลินเต๋อเทียน’ได้ยินข่าวเรื่อง’หลินซิวเหวิน’เสียสติ เขาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก!
จะมีใครไม่รู้บ้างว่า’หลินซิวเหวิน’ที่กลายเป็นปัญญาอ่อนนั้น เป็นหลานชายสุดรักของผู้เฒ่าตระกูลหลิน ‘หลินหงชวน’ผู้ชราต้องบ้าคลั่งแน่เมื่อได้ยินข่าวนี้ และเมืองเหยียนจิงก็คงตกอยู่ในความยุ่งเหยิงไปทั้งเมือง
หลังจากพูดคุยกับ’หลินชื่อฉิง’ ‘หลินเต๋อเทียน’วางสายโทรศัพท์และตัดสินใจจะตรงไปที่อพาร์ทเม้นท์ของ’เสี่ยวฉี’เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบแก่หลายสิ่ง ดังนั้น ‘หลินเต๋อเทียน’จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หลุดรอดไปยังภายนอกอย่างเด็ดขาด
แต่ไม่นาน ‘หลินชื่อฉิง’ก็โทรมาหาเขาอีกครั้ง
“พ่อคะ ไซ่เชาหงเพิ่งจะโทรหาหนูเมื่อกี้นี้”
เสียงหวานใสของ’หลินชื่อฉิง’ดังขึ้นในสายโทรศัพท์
“หือ? แล้วเขาบอกว่าไงมั่ง?”
‘หลินเต๋อเทียน’ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ชายสวมหน้ากากมาที่อพาร์ทเม้นท์ของเสี่ยวฉีค่ะ”
(ชายสวมหน้ากากที่ว่านี่คือเย่เฟิงนะครับ ส่วนอีกคนคือชายหน้ากากโครงกระดูก แต่ตอนแรกผมขี้เกียจพิมพ์ยาวเลยใช้แค่ชายสวมหน้ากากไป 55+)
หญิงสาวพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่ใช่แค่ซิวเหวินที่ถูกชายสวมหน้ากากทำร้ายจนบาดเจ็บ เสี่ยวฉีก็ถูกลักพาตัวไปด้วย ที่นี่ก็ไม่มีร่องรอยของเธออยู่เลย….”
ก่อนหน้านี้ที่’เสี่ยวฉี’โทรมาหาเธอ ‘เสี่ยวฉี’ยังไม่แม้แต่จะได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้น หญิงสาวก็ถูกใครบางคนใช้กำลังขัดขวางและวางสายโรศัพท์ไป ดังนั้น ‘หลินชื่อฉิง’จึงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“แล้วเขารู้ได้ไงว่าเป็นชายสวมหน้ากาก?”
‘หลินเต๋อเทียน’ยังไม่ปักใจเชื่อทันที เขาจึงถามออกไป
“เพราะว่าก่อนจะโทรมาหาหนู เสี่ยวฉีโทรไปขอความช่วยเหลือจากเขา”
ถึงแม้’หลินชื่อฉิง’จะรู้สึกแปลกใจเช่นกัน แต่เธอก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้มากความอีก เพราะตอนนี้เธอไม่มีข้อมูลอะไรอย่างอื่นอยู่เลย
ในเมื่อ’ไซ่เชาหง’สามารถทำทุกสิ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหล่าหญิงสาวก็คงรู้สึกปลอดภัยที่สุดเมื่อได้อยู่ใกล้ๆกับเขา ยิ่งกว่านั้น ทั้ง’หลินชื่อฉิง’ ‘ไซ่เชาหง’ และ’เสี่ยวฉี’ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน การที่’เสี่ยวฉี’จะโทรไปขอความช่วยเหลือจากเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ชายสวมหน้ากาก…..”
เมื่อ’หลินเต๋อเทียน’ได้ยินดังนั้น เขาก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“พ่อเข้าใจล่ะ ลูกรีบพาซิวเหวินไปโรงพยาบาลก่อน แล้วดูว่าอาการของเขาเป็นไงบ้าง”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หญิงสาวพูดต่อ
“อีกเรื่องค่ะพ่อ ไซ่เชาหงบอกหนูว่าเป้าหมายสูงสุดของชายสวมหน้ากากคือตัวเขา เพราะงั้นพ่อ…..”
“เข้าใจแล้ว”
‘หลินเต๋อเทียน’คิดอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า
แน่นอน ‘หลินเต๋อเทียน’รู้ว่าชายสวมหน้ากากเป็นใคร เขาคือผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะที่เป็นเพื่อนกับ’เย่เฟิง’ เป็นไปได้ว่า’เย่เฟิง’ต้องการกำจัดคู่แข่งทางด้านความรักของเขา จะมีใครไม่รู้บ้างว่า’ไซ่เชาหง’และ’หลินชื่อฉิง’มีความรู้สึกอย่างไรต่อกัน?
“พ่อจะไม่ปล่อยให้แฟนหนูต้องเป็นอะไร”
‘หลินเต๋อเทียน’พูดก่อนจะวางสาย จากนั้น เขาจึงรีบเตรียมการสำหรับการนำคนของเขาไปประจำไว้รอบๆบ้านของ’ไซ่เชาหง’ นี่ไม่ใช่เพื่อรับประกันความปลอดภัยของ’ไซ่เชาหง’เท่านั้น เพราะเป้าหมายหลักก็คือการจับกุมตัวชายสวมหน้ากาก
หลังจากได้คุยกับพ่อของเธอ ‘หลินชื่อฉิง’ก็รู้สึกสับสนในใจ
ถึงแม้’ไซ่เชาหง’จะบอกว่าเขารักเธอ แต่สำหรับหญิงสาวแล้ว ทุกๆครั้งเธอคิดถึงเขา เธอไม่เคยรู้สึกกับเขาแบบคนรักเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกของหญิงสาวที่มีต่อชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกที่เธอมีต่อคนทั่วไป มันมีเพียงความเฉยชาและไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
แล้วแบบนี้เรียกว่าความรักอย่างงั้นหรอ?
ไม่หรอก ไม่ใช่แน่นอน…..
ในฐานะที่เป็นสมาชิกตระกูลหลิน ‘หลินชื่อฉิง’ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ และแม้แต่เรื่องของความรัก เธอก็ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของตระกูลมากกว่าสิ่งอื่นใด
‘ไซ่เชาหง’นั้น ถึงแม้ว่าเขาจะดูสมบูรณ์แบบ แต่เธอไม่รู้สึกอะไรกับเขาเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อย ความจริงแล้ว หญิงสาวเพียงแค่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตระกูลเท่านั้น เธอจึงถือว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
‘หลินชื่อฉิง’อดจะนึกถึงตอนที่ได้เจอกับ’เย่เฟิง’ครั้งแรกไม่ได้ เธอเพิ่งได้เจอกับเขาเมื่อตอนเช้านี้เอง
อาจบอกได้ว่าตอนนี้ หญิงสาวมีเพียงแค่สองตัวเลือก คือเลือกไซ่เชาหงที่ให้ผลประโยชน์แก่ตระกูลของเธอ หรือเลือก’เย่เฟิง’ตามคำขอร้องของคุณปู่
เธอมีเพียงแค่สองตัวเลือกเท่านั้นใช่ไหม?
เมื่อ’หลินชื่อฉิง’หันไปมองน้องชายของเธอที่หลับเป็นตายอยู่บนเก้าอี้ เธอเห็นชายหนุ่มยังคงมีน้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปากราวกับเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หญิงสาวจึงส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น หากว่าชายสวมหน้ากากที่เป็นเพื่อนกับ’เย่เฟิง’ เป็นคนทำให้’หลินซิวเหวิน’ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนี้ และเป็นคนลักพาตัว’เสี่ยวฉี’ไปจริงละก็ เธอจะไม่มีทางให้อภัยเขาอย่างเด็ดขาด
…………..
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ‘เย่เฟิง’ไม่รู้เลยว่าเวลานี้ ‘ไซ่เชาหง’ได้ป้ายสีเรื่องราวทั้งหมดไปให้เขา และเตรียมการต้อนรับสำหรับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว
ณ ป่าไผ่
‘เย่เฟิง’ได้สร้างความสับสนให้แก่ชายชรา จึงทำให้เขาสามารถสังหารชายชราได้อย่างราบรื่น หลังจากที่ชายชราตายแล้ว เขาได้เอาไหวิญญาณสีดำติดมือมาด้วย ก่อนจะตรงเข้าไปจัดการกับศพของ’ไห่ถัง’และ’จ้าวอี้เปย’จนกลายเป็นขี้เถ้ากระจายอยู่บนพื้น
เมื่อจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ ชายหน้ากากโครงกระดูกจึงขึ้นมายังริมฝั่งของทะเลสาบจำลอง
หลังจากสังหารชายชราได้แล้ว พวกเขาโยนร่างของชายชราลงไปในทะเลสาบจำลอง จากนั้นจึงมุ่งไปยังหมู่บ้านเหยียนซีในทันทีโดยไม่ให้เวลาสูญเปล่า ไม่ว่าจะเป็นชายหน้ากากโครงกระดูกหรือ’เย่เฟิง’ พวกเขาทั้งคู่ล้วนรู้ตำแหน่งของบ้าน’ไซ่เชาหง’ดี และคิดว่าเป็นไปได้สูงที่’ไซ่เชาหง’จะอยู่ที่บ้านในเวลานี้
พวกเขาจึงรีบมุ่งไปยังบ้านของมันอย่างเร็วสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะลบชื่อของ’ไซ่เชาหง’ออกไปจากโลกใบนี้!
ถึงอย่างนั้น เป้าหมายสูงสุดจริงๆของ’เย่เฟิง’คือการได้มาซึ่งพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อันมหาศาล พลังนั่นถูกซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของบ้าน และสำหรับเรื่องนี้ เขาย่อมไม่บอกต่อชายหน้ากากโครงกระดูกแน่นอน
ระหว่างทาง ‘เย่เฟิง’ได้สำรวจและตรวจสอบไหวิญญาณสีดำอันนี้ ถึงอย่างนั้น เขาไม่พบความพิเศษอันใดของมันเลย มันดูไม่ต่างจากไหสีดำธรรมดาทั่วไปที่ไว้เก็บขี้เถ้าของคนตาย
‘มันต้องมีวิญญาณของจ้าวอี้เปยอยู่ในไหสีดำอันนี้แน่ แต่มันคงไม่สามารถกักเก็บวิญญาณไว้ได้ตลอดไป เพราะงั้น หากเรามีวรยุทธ์สักระดับ 10 ปีเมื่อไหร่ เราก็จะใช้‘ทักษะชุมนุมวิญญาณ’อันเชิญวิญญาณของเขาออกมาจากไหนี้ได้……’
‘เย่เฟิง’คิดเช่นกันว่าไหอันนี้ต้องเป็นของล้ำค่า และเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สร้างศพเดินได้ขึ้นมา ยิ่งกว่านั้น สถานะของชายชราคนนั้นยังดูสูงไม่เบา ไหอันนี้จึงต้องเป็นของคุณภาพสูงแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ‘เย่เฟิง’ไม่ได้มีความสนใจจะใช้งานไหอันนี้ เขาเพียงแค่รอเวลา เมื่อใดที่เขามีวรยุทธ์ระดับ 10 ปี เขาจะอัญเชิญวิญญาณของ’จ้าวอี้เปย’ออกมา
ส่วนวิญญาณของคนอื่นๆ มันใช่เรื่องของเขาเสียที่ไหน?
ด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด พวกเขาทั้งคู่ใกล้มาถึงบ้านของไซ่เชาหงที่อยู่ในหมู่บ้านเหยียนซีแล้ว
“ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งผิดปกติ”
ชายหน้ากากโครงกระดูกพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“การที่นายฆ่าชายชราคนนั้นไป เรื่องนี้คงรู้ถึงหูไซ่เชาหงแล้ว และมันคงรู้ว่าพวกเราต้องมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อฆ่ามัน เพราะงั้น พวกเราต้องระวังให้มาก ไม่อย่างนั้น แผนที่วางไว้คงได้ล้มเหลวอย่างย่อยยับแน่”
“คิดว่ามันจะเตรียมพร้อมทุกสิ่งแล้วงั้นหรอ?”
‘เย่เฟิง’ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณบอกผมมาก่อน สิ่งที่ถูกเรียกว่า‘มือดี’พวกนั้นมันคืออะไรกัน?”
“เจ้าพวกนั้นก็เหมือนพวกเราที่เป็นคนธรรมดา ถึงอย่างนั้น หลังจากได้รับยาเสพติดตัวใหม่จนครบหนึ่งปี เซลล์ทั่วร่างก็จะเกิดการกลายพันธุ์ และกลายเป็นสิ่งที่พวกเราได้เห็นในที่สุด”
ชายหน้ากากโครงกระดูกอธิบายต่อไปว่า
“เมื่อพวกคนเหล่านั้นได้รับยาทางพันธุกรรมบางชนิดเข้าไปในร่างเป็นเวลานานจนเซลล์เกิดการกลายพันธุ์ รูปร่างของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไป พร้อมกับความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น แม้แต่ผิวของพวกเขาก็กลายเป็นแข็งเหมือนเหล็ก”
เมื่อ’เย่เฟิง’ได้ฟังดังนั้น เขาก็คิดในใจว่าการที่ชั้นผิวหนังของพวกนั้นแข็งเหมือนกับเหล็ก มันเป็นเพราะผลจากการกลายพันธุ์ของเซลล์อย่างงั้นหรอ?
ดูเหมือนว่าระดับเทคโนโลยีของเผ่ยเขิงกรุ๊ปจะสูงส่งจนน่าเหลือเชื่อ หากพวกมันทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จแล้วละก็ ประเทศนี้คงได้ถึงการอวสารอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ ตระกูลหลินไม่ได้รับรู้ถึงแผนการเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
“มาถึงสักที”
ชายหน้ากากโครงกระดูกพูดเบาๆเมื่อพวกเขามาถึงด้านนอกของหมู่บ้านเหยียนจิงภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อปกปิดร่องรอยอย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่สามารถมาที่นี่ด้วยรถแท๊กซี่ได้ จึงทำได้แค่วิ่งมาด้วยฝีเท้าของตัวเอง
ชายทั้งสองได้เข้าไปแบบเงียบๆ และซ่อนตัวอยู่ข้างหลังโขดหินที่เรียงไว้รอบๆทะเลสาบจำลอง ก่อนจะเพ่งความสนใจไปยังบ้านของ’ไซ่เชาหง’ เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ พวกเขาก็รับรู้ภัยคุกคามที่น่าสงสัยอยู่รอบๆบ้านหลังนั้น พวกเขาจึงไม่กล้าประมาท
“มีคนซุ่มอยู่รอบบ้านหลังนั้น”
‘เย่เฟิง’จับตามองดูอย่างระวังและเอ่ยเตือนขึ้น เขามองเห็นเงาของคนมากมายในชุดอำพรางซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้รอบๆบ้าน’ไซ่เชาหง’ สีหน้าของคนเหล่านั้นแสดงออกถึงความจริงจังและหนักแน่น
“ลงมือแยกกันเถอะ”
ชายหน้ากากโครงกระดูกมองไปยังแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ในบ้าน แล้วตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“คนเหล่านั้นคือพวก NSA ที่ตระกูลหลินส่งมา ฉันจะเข้าไปดึงความสนใจของพวกนั้นให้ นายหาโอกาสเข้าไปในบ้านแล้วจัดการฆ่าไซ่เชาหงซะ!”
(NSA ย่อมาจาก National Security Agency – กองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ)
‘เย่เฟิง’หรี่ตาลงพร้อมกับพยักหน้า
ตระกูลหลินส่งพวก NSA มาคุ้มกัน’ไซ่เชาหง’งั้นหรอ? คนพวกนั้นช่างแส่ไม่เข้าเรื่องจริงๆ
………………….
แปลโดย Solar Spark
Solar Spark: ฆ่ามานนนนนนน
ที่มา :