I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Genius Sword Immortal ตอนที่ 121 ตระกูลหลิน!

| Genius Sword Immortal | 2538 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

เมื่อ’เย่เฟิง’ได้เห็นร่องรอยความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าดวงวิญญาณเหล่านั้น ชายหนุ่มก็เพียงแค่ยิ้มตอบ

สายตาของเขายังคงมองไปที่’ไซ่เชาหง’

“ไซ่เชา เรื่องที่นายว่างแผนจะทำลายประเทศนี้ ฉันรู้หมดแล้ว ตอนนี้ให้บอกฉันมาว่านายมีพวกกี่คน แล้วพวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”

‘ไซ่เชาหง’ยังคงเงียบขณะมอง’เย่เฟิง’ด้วยสายตามืดมน

“นายนี่ปากแข็งจริงๆนะ”

‘เย่เฟิง’พูดเบาๆก่อนจะชูมือขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดกระแสลมขึ้นมา พร้อมด้วยเสียงดัง “ปุ” วิญญาณของ’หลัวลี่’แห่งสำนักหมัดเทพทวาราก็ระเบิดออก และสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ต่อจากนี้ จะไม่มีชายที่ชื่อ’หลัวลี่’บนโลกใบนี้อีกต่อไป

“ถ้านายยังปากแข็งอยู่อีก นายจะกลายเป็นเหมือนเจ้านั่นที่ต้องหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล”

‘เย่เฟิง’จ้องมอง’ไซ่เชาหง’ และกล่าวข่มขู่

“แกคิดว่าฉันโง่รึไง?”

‘ไซ่เชาหง’พูดเย้ยหยันขณะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

ในเมื่อตอนนี้เขาตายแล้ว ต่อให้พูดอะไรออกไปทุกอย่าง เขาก็ไม่มีทางจะฟื้นขึ้นมาได้ แล้วแบบนี้จะตอบคำถามของมันไปทำไม? นอกจากนี้ เขาไม่มีทางจะให้ความร่วมมือกับคนที่ฆ่าเขาแน่

อีกด้านหนึ่ง เมื่อดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของ’หลัวเล่ย’เห็น’เย่เฟิง’ทำลายดวงวิญญาณของพี่ชายไป เขาก็กลายเป็นตื่นตระหนก

คำพูดของ’ไซ่เชาหง’นั้นทำให้’หลัวเล่ย’รู้สึกร้อนใจ แล้วก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ‘เย่เฟิง’ชูมือขึ้นอีกครั้งเพื่อใช้ทักษะปลดปล่อยวิญญาณ และในทันทีก่อนที่’หลิวเล่ย’จะได้คิดอะไรอีก เขาก็รู้สึกถึงสายลมที่แตกกระจายกลางอากาศ ส่งผลให้สติของเขาดับวูบไปในทันที

สำหรับสองพี่น้อง’หลัวลี่’และ’หลัวเล่ย’ ‘เย่เฟิง’ไม่ได้แสดงความเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าแผนชั่วร้ายของสองพี่น้องนั่นจะช่วยเขาและ’หลงหวางเอ๋อ’ทางอ้อม แต่ในเมื่อคนพวกนั้นกล้าวางยา’หลงหวางเอ๋อ’ แล้วจะไม่ให้เขารู้สึกไม่พอใจได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น เขาจึงได้ลบวิญญาณของทั้งคู่ออกจากโลกนี้เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู!

“เห็นแบบนี้แล้ว นายไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยรึไง?”

‘เย่เฟิง’เอียงคอ และมอง’ไซ่เชาหง’อย่างไม่แยแส

“ถ้าแกจะทำอย่างนั้นกับฉันก็ทำเสียเลยสิ!”

‘ไซ่เชาหง’ยิ้มเย้ย

ปุ!

‘เย่เฟิง’ใช้ทักษะปลดปล่อยวิญญาณทันทีอย่างไม่ปราณี วิญญาณของ’ไซ่เชาหง’จึงแตกกระจายกลายเป็นฝุ่นควันไปในทันใด

มุมปากของ’เย่เฟิง’โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาคิดว่าเจ้าหมอนี่ไม่กลัวอะไรเลยจริงๆหรือไง น่าเสียดายที่’เย่เฟิง’ไม่อยากเสียเวลาคุยกับวิญญาณคนตายอีก สำหรับชายหนุ่มแล้ว หากฝ่ายตรงข้ามไม่คิดจะให้ร่วมมือกับเขา มันก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะเก็บดวงวิญญาณดวงนั้นเอาไว้อีก

น่าเสียดายที่ภายใต้สถานะดวงวิญญาณ ทักษะสะกดจิตของ’เย่เฟิง’ไม่มีผลอันใด หากจะให้ทักษะชุมนุมวิญญาณ และสัมผัสวิญญาณที่มีระดับสูงกว่านี้ เขาต้องมีวรยุทธ์อย่างน้อยระดับ 20 ปีเสียก่อน สำหรับตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสลายวิญญาณ’ไซ่เชาหง’ไปตลอดกาล

สำหรับผู้สมรู้ร่วมคิดและคนหนุนหลัง’ไซ่เชาหง’ แม้ตัวเขาจะยังไม่ได้รับคำตอบตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีหาคำตอบ เมื่อไหร่ที่ได้พบชายหน้ากากโครงกระดูกอีกครั้ง ‘เย่เฟิง’เชื่อว่าเขาจะได้รู้ทุกอย่างชัดเจนแน่นอน

แต่’เย่เฟิง’ก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้รู้ว่าเหตุใด ‘หลินซิวเหวิน’ถึงกลายเป็นคนปัญญาอ่อน และเหตุใดลูกปัดสวรรค์ถึงอยู่ที่ห้องลับใต้ดินนั่น อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คิดจะหาคำตอบตอนนี้อยู่แล้ว

‘เย่เฟิง’เงยหน้าขึ้นก่อนจะมองไปที่ดวงวิญญาณของ’ไห่ถัง’และ’ขวานวายุ’

ดวงวิญญาณของทั้งคู่ไม่สามารถหนีไปไหนได้เพราะพวกเขาไม่สามารถออกห่างจาก’เย่เฟิง’ได้เกิน 3 เมตร ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่กล้าด่าว่าชายหนุ่มอีกแล้ว สังเกตได้จากความตื่นกลัวที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น’ขวานวายุ’ หนึ่งในคู่หูเจียงซูที่อาละวาดไปทั่วประเทศจีน หรือ’ไห่ถัง’ หนึ่งในคู่รักสุขสรรค์แห่งวังกระบี่สวรรค์ ความหยิ่งยโสที่เคยมีอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่หายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย

เมื่อดูจากกรณีของ’ไซ่เชาหง’แล้ว การที่’เย่เฟิง’ถามคำถามเพียงสองครั้ง แล้วฝ่ายตรงข้ามยังคงไม่ปริปาก ชายหนุ่มก็ลบดวงวิญญาณของ’ไซ่เชาหง’ออกไปจากโลกนี้ทันที นี่แสดงให้เห็นว่า’เย่เฟิง’ก็กล้าจะจัดการพวกเขาแบบเดียวกันอย่างไม่แยแสสักนิด

“จะถามอะไรก็ได้นะ ฉันสัญญาว่าจะตอบให้หมดทุกอย่างเลย ขอร้องล่ะ ไว้ชีวิตฉันเถอะ”

ใบหน้างดงามของ’ไห่ถัง’ มีบางส่วนที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากการได้รับความเสียหาย หญิงสาวพูดต่อไปอีกว่า

“ใช่แล้ว ถ้านายไว้ชีวิตฉันละก็ ต่อจากนี้ไป ฉันจะยอมบริการนายทุกอย่างเลย……”

หลังจากพูดแบบนั้น ‘ไห่ถัง’ก็ค่อยๆลูบไล้เรือนผมอย่างมีจริต ด้วยการกระทำที่ดูน่าเย้ายวน

น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ ‘เย่เฟิง’ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะยังไงชายหนุ่มก็ไม่คิดจะช่วยหญิงสาวตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถใช้ทักษะผนึกวิญญาณเพื่อช่วยรักษาการเสื่อมสภาพของดวงวิญญาณเหมือนกับที่ทำให้’จ้าวอี้เปย’ก่อนหน้านี้ได้ แต่ทักษะนั้นต้องใช้เจินชี่ไปไม่น้อยเลยทีเดียว ในเมื่อตอนนี้’เย่เฟิง’ต้องมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน แน่นอนว่าเขาต้องการประหยัดเจินชี่ไว้และไม่ใช้ไปกับเรื่องไร้ประโยชน์

“พวกคุณทั้งสองเข้าไปในนี้ ไว้ผมต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ ผมจะเรียกพวกคุณออกมาอีกทีหนึ่ง”

‘เย่เฟิง’โบกมือ ส่งผลให้ดวงวิญญาณทั้งสองถูกดูดลงไปในไหวิญญาณทันที การที่เขาเก็บดวงวิญญาณของ’ไห่ถัง’ไว้ แน่นอนว่า’เย่เฟิง’มีเหตุผลบางอย่าง เป็นไปได้ว่าในอนาคต เขาอาจจะต้องการรู้บางอย่างเกี่ยวกับวังกระบี่สวรรค์ ส่วนดวงวิญญาณของ’ขวานวายุ’นั้น เขาคิดว่าชายคนนี้รู้หลายสิ่งหลายอย่างในโลกยุทธภพ ฉะนั้นในอนาคต เขาอาจจะพอได้ใช้ประโยชน์บ้าง

‘เย่เฟิง’เก็บไหวิญญาณลงไป และหันหน้ามองไปยังทิศเหนือ

เขตฉางผิงนั้นตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองเหยียนจิง และห่างจากมหาลัยเหยียนจิงประมาณ 20-30 กิโลเมตร ซึ่งมีคฤหาสน์ตระกูลหลินตั้งอยู่ที่นั่น

‘เย่เฟิง’กำมือแน่น เขาคิดว่าคืนนี้จะได้นอนหลับอย่างสบายใจอยู่แล้วเชียว ตระกูลหลินก็ดันสร้างเรื่องให้เขาอีกจนได้ เอาเถอะ ยังไงก็ตาม เขาจะจบเรื่องทั้งหมดในคืนนี้แหละ!

………

ณ เขตฉางผิงในเมืองเหยียนจิง

คฤหาสน์ตระกูลหลินนั้นค่อนข้างกว้างขวางและสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เวลานี้ สมาชิกตระกูลหลินมากมายต่างมารวมตัวกันในค่ำคืนแห่งนี้ เพราะสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มันทำให้ทุกคนต้องตกอกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว

‘หลินซิวเหวิน’ ซานเชาแห่งตระกูลหลินกลับกลายเป็นคนปัญญาอ่อนอย่างแปลกประหลาด และคนที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ก็คือชายสวมหน้ากาก!

(ซานเชา – บุตรชายคนที่สาม)

ในการประชุมที่ห้องโถงอันกว้างขวางของคฤหาสห์แห่งนี้ ‘หลินเต๋อเทียน’ ‘หลินจื่อฉิง’ และคนตระกูลหลินอีกนับสิบคน รวมทั้งธันเดอร์ที่เป็นหัวหน้าหน่วย NSA นั่งล้อมวงอยู่หน้าโต๊ะประชุม ขณะรอคอยอะไรบางอย่าง

“พี่สอง แล้วชื่อฉิงของพวกเราอยู่ที่ไหน?”

‘หลินเหรินเทียน’ พ่อของ’หลินซิวเหวิน’ซึ่งอ่อนกว่า’หลินเต๋อเทียน’เอ่ยขึ้นมา การที่ชายคนนี้สวมแว่นตาทำให้เขาดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม เวลานี้สีหน้าของเขาดูตึงเครียด ‘หลินเหรินเทียน’นั่งลงเงียบๆตรงข้ามกับ’หลินเต๋อเทียน’ขณะเอ่ยถาม

“ชื่อฉิงอยู่ที่โรงพยาบาล เธอกำลังดูแลสาวน้อยตระกูลเสี่ยวอยู่”

‘หลินเต๋อเทียน’จ้องมองอย่างแน่วแน่ขณะพูดขึ้นว่า

“เมื่อไหร่ที่เธอคนนี้ตื่นขึ้นมา พวกเราจะได้รู้เรื่องทุกอย่างชัดเจน ถึงอย่างนั้นตอนนี้ มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่ชายสวมหน้ากากจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ฉันได้สั่งให้คนติดตามร่องรอยของเย่เฟิงจากสัญญาณโทรศัพท์แล้ว ถ้าหาเขาเจอได้ก็หมายความว่า พวกเรายังมีความหวังในการล่าตัวชายสวมหน้ากาก”

“ฉันคิดว่าเจ้าหนูนั่นน่าจะมาที่นี่เอง”

ใครบางคนเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อแฟนสาวของเขาถูกพวกเราคุมตัวเอาไว้ ถ้าเขาไม่กล้ามาที่นี่ นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดตาขาวที่ไม่สนใจชื่อเสียงของตระกูลเย่หรือไง?”

“อืม พูดถึงเรื่องนี้ฉันก็อดจะโมโหไม่ได้จริงๆ คงเป็นผู้เฒ่าเย่เองที่นำพาลูกชายของเขาไปสู่เส้นทางที่น่าอนาถ ไม่งั้นเขาจะกลายเป็นคนไม่เอาอ่าวแบบนั้นได้ไงกัน?”

(ลูกชายผู้เฒ่าเย่ นี่หมายถึงพ่อของเย่เฟิงนะครับ)

‘หลินเต๋อเทียน’พูดด้วยความฉุนเฉียว

“ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราควรจะจัดการเรื่องนี้แล้ว ถ้าลูกชายฉันรักษาให้หายขาดไม่ได้ ฉันจะเอาเรื่องตระกูลเย่ให้ถึงที่สุดแน่!”

‘หลินเหรินเทียน’พูดอย่างเก็บอาการ เวลานี้ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือลูกชายที่ป่วยทางจิต ส่วนการตายของ’ไซ่เชาหง’นั้น เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้วเพราะชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเขา การตายของทหารหน่วย NSA ทั้งสามคนก็เช่นเดียวกัน ทหารพวกนั้นไม่ได้เป็นคนของเขาอยู่แล้ว

“ไม่ว่ายังไง ต่อให้ชายสวมหน้ากากหนีไปสุดขอบโลก ฉันก็ต้องตามจับตัวมันมาให้ได้ เพราะเรื่องนี้ส่งผลต่อความมั่นคงระดับประเทศ”

‘หลินเต๋อเทียน’พูดอย่างมีน้ำโหพร้อมกับทุบโต๊ะ

‘ธันเดอร์’ที่นั่งอยู่ไม่ไกลดูเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความลังเล เขาก็ยังไม่กล้าจะเสนอมุมมองของเขาออกไป สำหรับชายผิวดำคนนี้แล้ว จากการที่เขาตรวจสอบในทุกๆจุดที่เป็นไปได้ เขากล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าเรื่องนี้มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย ‘ธันเดอร์’คิดว่าตัวตนของ’ไซ่เชาหง’ดูมีพิรุธอะไรบางอย่าง

ถึงอย่างนั้นตอนนี้ หลักฐานทุกอย่างถูกทำลายไปในกองเพลิง ในเมื่อปราศจากหลักฐานแล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้ปากเปล่าโดยไม่มีหลักฐานอะไรมารองรับ

ทันใดนั้น เสียง “ปัง!”ก็ดังมาจากประตูห้องโถง

“ซูเหมิงหานอยู่ที่ไหน?”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความโมโห ดังไปทั่วบริเวณ

ทุกๆคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ต่างผงะด้วยความตกใจ พวกเขารู้สึกมึนงงไปชั่วขณะเมื่อมองไปที่ประตูห้อง บานประตูถูกชายคนหนึ่งเตะให้เปิดออก ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาช้าๆ แน่นอนว่าชายคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก’เย่เฟิง’

เมื่อเห็น’เย่เฟิง’เดินเข้ามาอย่างหยิ่งยโส ‘หลินเต๋อเทียน’ก็ทุบโต๊ะด้วยความโกรธอีกครั้ง เขายืนขึ้นก็จะพูดด้วยความเกรี้ยวกราด

“ธันเดอร์ จับตัวเขาไว้!”

‘หลินเต๋อเทียน’คิดในใจว่าทำไมเจ้าหนูนี้ถึงได้แสดงความจองหองออกมานัก มันลืมไปแล้วหรือไงว่าที่นี่เป็นคฤหาสน์ตระกูลหลิน หรือมันคิดว่าตัวเองเป็นหลานชายของ’เย่เวิ่นเทียน’ถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไรแบบนี้?

………………………
แปลโดย Solar Spark

Solar Spark: ผมไม่แน่ใจว่าทักษะปลดปล่อยวิญญาณนี่จะทำให้วิญญาณไปสู่สุคติ หรือแตกดับไปเฉยๆเลยนะครับ จากตอนที่แล้วเขาใช้ประโยคว่า “it is used to directly disperse the soul of an ordinary human, who has stayed in this human world. In other words, it grants salvation to the souls”

ที่มา : 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments