ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเพจใหม่ !! อัพเดทตอนใหม่ล่วงหน้าที่นี่ค่ะ >>>
“ข้า…”
หานซั่วอ้าปากจะพูด แต่ไม่ทันได้มีคำใดหลุดออกมา หมัดของเธอก็ต่อยเข้าไปที่หน้าเขาทันที พร้อมกับสาปแช่ง
“ไบรอัน เจ้าคนสารเลว กล้าดียังไงมาจูบข้า จูบแรกของข้าต้องมาถูกคนบ้าขโมยไปเหรอเนี่ย บ้าจริง น่าขยะแขยงชะมัด ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หานซั่วหัวร้อน เขาเพิ่งจูบลิซ่าก็จริง มันเป็นจูบแรกของเธอ ก็แล้วใครบอกล่ะ ว่านั่นไม่ใช่จูบแรกของเขาเองเหมือนกัน?
สีหน้าของลิซ่าดูหวาดกลัว และเพราะอาการเจ็บที่ก้น หมัดแบบเด็กผู้หญิงของเธอจึงไม่มีความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย หานซั่วไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกจั๊กจี้เลยด้วยซ้ำ เขาจึงไม่ขัดขืน แต่กำลังครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่งว่าจะหาทางจัดการไม่ให้ลิซ่าเอาเรื่องกับเขาเพราะเรื่องครั้งนี้ยังไงต่อไป
ลิซ่าดูเหนื่อยหลังจากต่อยเขาไปได้สักพัก ทว่าดวงตายังคงแดงก่ำและเบิกกว้าง ขณะส่งสายตามุ่งร้ายไปที่หานซั่ว หลังจ้องมองเขาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ลิซ่าก็นิ่วหน้าและพูดอย่างเย็นชาว่า
“ไบรอัน ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็ได้ ถ้าเจ้ายอมบอกข้ามาอย่างหนึ่ง”
หานซั่วตะลึงไปชั่วขณะ และถามกลับด้วยท่าทีบ้า ๆ บอ ๆ ว่า
“บอกอะไรงั้นรึ?”
“ทำไมช่วงนี้ความแข็งแกร่งของเจ้าถึงได้เพิ่มขึ้นนัก? ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยหลบนักรบโครงกระดูกได้เลยสักครั้ง แต่ตอนนี้ ขนาดนักรบผีดิบยังไล่เจ้าไม่ทัน แม้แต่เจ้าบาคปัญญาอ่อนนั่นก็โดนเจ้าเล่นงาน ออร่าต่อสู้ของคล็อดก็เพิ่งพุ่งใส่ตัวเจ้าไปเมื่อเช้า ทำไมเจ้าถึงไม่ตาย? ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะอะไรกัน?”
ลิซ่าจ้องมองหานซั่วอย่างใกล้ชิดขณะสอบสวนเขา
โอ แย่ล่ะสิ หานซั่วคิดขณะใจหล่นวูบ ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ จากการบ่มเพาะแก่นมนตรา ใครจะไปคิดว่าลิซ่าสังเกตเห็นไวขนาดนี้
เขาพิจารณาหาคำตอบอย่างรวดเร็ว และตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มโง่ ๆ ว่า
“ข้า… ข้าก็ไม่รู้… ไม่นานมานี้ ข้าแค่กินของสองสามอย่างแล้วรู้สึกเหมือนแข็งแรงขึ้นก็เท่านั้นเอง”
ตาของลิซ่าเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัดหลังหานซั่วพูดจบ และยื่นหน้าเขาไปใกล้หานซั่วอย่างสนใจใคร่รู้ เธอจ้องมองเขาเขม็งและพูดว่า
“เจ้ากินอะไร? ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้าวันนี้ ตราบใดที่เจ้ายอมบอกข้า”
“ใช้น้ำยาเร่งปฏิกิริยามนตราผสมกับหางกิ้งก่าและเขี้ยวหมาใน… แช่ไว้ในน้ำอุ่น 1 วัน แล้วค่อยดื่ม มันช่วยทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้นะ”
หานซั่วขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อธิบายขั้นตอนเหล่านั้นออกมาและยิ้มอย่างไม่ประสีประสา
ลิซ่ามีท่าทีจริงจังและเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่คำพูดของหานซั่ว เธอทวนประโยคนั้นซ้ำและพึมพำกับตัวเอง
“เอ๋? ของน่าขยะแขยงพวกนั้นจะมีผลก็ต่อเมื่อเอามาผสมกันงั้นรึ?”
หานซั่วไม่ตอบ เอาแต่จ้องมองและส่งยิ้มโง่ ๆ ให้ลิซ่า
“ฮึ! วันนี้ข้าปล่อยเจ้าไปก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาตามตัวเจ้ามาฝึกซ้อมเวทมนตร์อีกวันหลัง”
ลิซ่าคิดครู่หนึ่ง และประคองตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
“โอ๊ยย!”
เธอร้องอย่างโกรธเคือง
“บ้าจริง ไบรอัน เจ้าเตะแรงชะมัดเลย ทำไมข้าถึงโชคร้ายตลอดเวลาเลยนะเวลาอยู่ใกล้ ๆ เจ้า!?”
ลิซ่าออกจากห้องฝึกซ้อมไปพลางสาปแช่งอย่างบ้าคลั่ง มือข้างนึงนวดก้นไปด้วย ทันทีที่เธอจากไป หานซั่วรีบเดินตามออกไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครทันสังเกต
เย็นวันนั้น หานซั่วค่อย ๆ ย่องออกมาที่ที่ทิ้งขยะกลางดึก ทีแรก เขาพยายามใช้พลังจิตสั่งให้โครงกระดูกตัวเล็กปรากฏตัวออกมา แต่ก็ยังสื่อถึงมันไม่ได้ เขาอดทนกับกลิ่นขยะเหม็นเน่าอย่างไม่เต็มใจ และคุ้ยกองขยะทั้งกอง จนกระทั่งเจอโครงกระดูกอยู่ด้านล่างสุดของกองขยะนั่น
โครงกระดูกตัวเล็กถูกกองขยะห่มทับราวกับว่ามันกำลังนอนหลับอย่างไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต เศษกระดูกเล็กน้อยกะเทาะแตกออกมาจากซี่โครงเพราะได้รับบาดเจ็บหนัก ด้วยความผูกพันที่เขามีต่อโครงกระดูก หานซั่วจะไม่มีวันทิ้งมัน เขาทั้งสงสารและรู้สึกผิดเมื่อเห็นสภาพของโครงกระดูก เพราะที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะมันรับคำสั่งจากเขาที่ให้ไปแก้แค้นลิซ่า
“คล็อดเอ๋ย คล็อด รอก่อนเถอะ สักวันนึงข้าจะแก้แค้นเจ้าแน่!”
เขาจับโครงกระดูกขึ้นมาโอบประคองไว้ และค่อย ๆ ย่องกลับไปที่โรงเก็บของอีกครั้งภายใต้ความมืดมิดของรัตติกาล กระดูกซี่โครงที่สั่นคลอนของมันกระทบกันไปมาขณะวิ่ง ซึ่งบีบหัวใจของเขาอีกครั้ง
หานซั่วค่อย ๆ ปิดประตูเมื่อพวกเขากลับมาถึงโรงเก็บของ เขาหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะวางโครงกระดูกตัวเล็กลงในถังไม้ใบใหญ่อีกครั้ง และรื้อกองขยะจนพบเศษกระดูกแตก 7 ชิ้น ก่อนจะใส่ทั้งหมดลงไปในถังด้วย เขาโคจรแก่นมนตราลงไป และพยายามสร้าง “ห้วงมิติพินิจมนตราหยิน” โดยตั้งใจจะแก้ไขร่างกายของโครงกระดูกด้วยวิธีซ่อมแซม “ขุมพลังปีศาจ”
ต่างกับความอ่อนแอเมื่อครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้หานซั่วรู้สึกดีขึ้น แม้จะใช้แก่นมนตราใส่เข้าไปในถัง ดูเหมือนว่าแก่นมนตราจะเพิ่มขึ้นมากทีเดียวหลังจากกำจัดออร่าต่อสู้ของคล็อดออกไปได้ หานซั่วจึงเริ่มเข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลนี้มากขึ้นอีกข้อ
เมื่อคลายกังวลเรื่องโครงกระดูกแล้ว เขาหยิบ “ตำราเวทมนตร์ขั้นพื้นฐาน” ออกมาจากใต้เตียง ช่วงนี้เขาจะศึกษาตำรากลางดึกแบบนี้ทุกวันไม่ขาด แม้เสียงฟ้าผ่าหรือฟ้าร้องก็ไม่อาจทำให้เขาละสายตาจากหนังสือไปได้
แม้นี่จะเป็นเพียงตำราพื้นฐาน และไม่มีคาถาเวทมนตร์ใด ๆ ของศาสตร์แห่งความตายอยู่เลย ตำราเล่มนี้ก็ซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้เวทย์มือใหม่อย่างหานซั่วอยู่ดี
คืนนี้ เขาอ่าน “ตำราเวทมนตร์พื้นฐาน” คู่กับ “พจนานุกรมคำศัพท์เวทมนตร์” และค่อย ๆ จมลงสู่เนื้อหาในหนังสือทีละน้อย ๆ อย่างไรก็ตาม แม้มี “พจนานุกรมคำศัพท์เวทมนตร์” คอยช่วย แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจคำศัพท์เฉพาะทางในเล่มหลายคำ
เขาถอนหายใจยาว และถือหนังสือทั้งสองเล่มไว้ในมือ พลางคิดกับตัวเองว่า เขาเพิ่งเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนตร์มาได้เพียง 10 กว่าวัน ถ้าเพียงแต่เขาสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในตำราพวกนี้ได้ ก็ไม่มีความหมายอะไรที่จะอยู่ในวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนต่อไปอีก หลังคิดไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจว่าจะใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของเขาในตอนนี้ แอบฟังห้องเรียนศาสตร์แห่งเวทมนตร์ตอนที่กำลังมีการสอน
หานซั่วรวมพลังสมาธิกลับเข้าฌานหลังจากสงบใจและปล่อยจิตให้ว่างแล้ว เขาอยากใช้ทุกขณะของเวลาว่างที่มีให้เกิดประโยชน์ที่สุด เพื่อเข้าฌานและเพิ่มพลังจิตให้มากขึ้น ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาก็ฝึกสมาธิเข้าฌานได้เป็นอย่างดีจนหลับสนิทด้วยใจสงบ
หานซั่วสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตเต็มเปี่ยมหลังจากตื่นขึ้นในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ราวกับว่าร่างกายของเขามีพลังงานมากมายไร้ที่สิ้นสุด โครงกระดูกตัวเล็กในถังไม้ใบใหญ่ข้างเตียงยังแน่นิ่งไร้สัญญาณชีวิตเหมือนเดิม แต่มีน้ำวนเล็ก ๆ 7 แห่ง หมุนวนอยู่ข้าง ๆ เศษกระดูกทั้ง 7 อัน เกิดเป็นแสงสีดำจาง ๆ ไหลเวียนอยู่ในน้ำ
เมื่อเพ่งพิจารณาใกล้ ๆ โดยอย่างไรมิอาจรู้ได้ กระดูกซี่โครงที่แตกออกได้ผสานตัวเองขึ้นใหม่ ในดวงตากลวงโบ๋ของมันเหมือนจะมีแสงสีดำส่องประกายอยู่ภายในดูน่าขนลุก
หานซั่วพยายามสื่อสารกับโครงกระดูกโดยใช้แก่นมนตราและสัมผัสได้ทันทีว่าโครงกระดูกดูเหมือนจะดีอกดีใจที่ได้มีชีวิตใหม่ หานซั่วซึ่งรู้สึกเช่นเดียวกันก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดกับตัวเองว่า
“โอ เจ้าโครงกระดูกตัวน้อย โชคดีจังเลยนะที่เจ้ามาเจอข้า ข้าสามารถช่วยฟื้นฟูให้เจ้าได้ตลอด ตราบใดที่ข้ามีแก่นมนตราเพียงพอ ผลก็คือเจ้าจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ไม่นานนี้แหละ คล็อดจะได้รู้ว่าเขาต้องเจอกับอะไร”
ขณะที่ปล่อยให้โครงกระดูกค่อย ๆ ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองอยู่ในถังไม้ต่อไป หานซั่วก็ลุกขึ้นและเอาขยะของเมื่อวานไปทิ้ง และเมื่อเขาล้างหน้าด้วยน้ำที่เย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งแล้ว เขาก็ไปทำความสะอาดรูปปั้นทุกชิ้นอย่างกระฉับกระเฉง และรีบวิ่งอย่างร่าเริงไปที่ห้องเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตายทันที พร้อมด้วยไม้กวาดในมือ
“ในการที่จะปลดปล่อยเวทมนตร์ได้อย่างสมบูรณ์นั้น ทั้งการร่ายเวทย์และหัตถ์มนตราคือหัวใจสำคัญ ถ้าคาถาผิด หรือท่าทางการร่ายเวทย์ผิด เจ้าก็จะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เวทมนตร์คือพลังอำนาจที่ลึกลับ เป็นศาสตร์ของการหยิบยืมพลังของธาตุต่าง ๆ ที่มีอยู่บนโลกและสวรรค์ผ่านการใช้พลังจิต ร่วมกับเวทมนตร์คาถาที่สลับซับซ้อน จนกระทั่งพลังเวทมนตร์พบเป้าหมายผ่านทางหัตถ์มนตรา…”
นักเรียนศาสตร์แห่งความตายมีทั้งพวกที่ตั้งอกตั้งใจเรียนและพวกที่นั่งหมดอาลัยตายอยากขณะฟังอาจารย์จีนสอน หานซั่วพยายามฟังอย่างสุดความสามารถ ขณะกวาดไม้กวาดในมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ
จีน เป็นจอมเวทย์ระดับสูงของศาสตร์แห่งความตายเหมือนแฟนนี่ และเป็นอาจารย์สอนที่สาขานี้เช่นกัน แต่จีนจะสอนความรู้เบื้องต้นและพื้นฐานเวทมนตร์ ดูแลและคอยช่วยเหลือเวลานักเรียนเจอโจทย์ยาก ๆ ส่วนแฟนนี่จะสอนเสริมเกี่ยวกับการใช้เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายในการต่อสู้ และกำกับดูแลนักเรียนในการทำการทดลองเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย
สำหรับการเรียนของสาขาอื่น ๆ ในวิทยาลัย ไม่เพียงแต่มีจอมเวทย์ระดับสูงเป็นอาจารย์สอนหลายคน อีกทั้งยังมีองค์ความรู้มากมาย พลังเวทมนตร์ที่ทรงพลัง และจอมเวทย์ที่เก่งกาจเป็นจุดแข็ง เพราะนักเรียนของสาขาศาสตร์แห่งความตายมีจำนวนน้อย จีนและแฟนนี่จึงเป็นอาจารย์เพียงสองคนของสาขานี้ และมีตารางสอนอยู่เพียงเท่านั้น เพราะเหตุผลแรก ด้วยความจริงที่ว่าไม่ควรสิ้นเปลืองทรัพยากรมากมายในการสอนสาขาเล็ก ๆ อย่างศาสตร์แห่งความตาย และเหตุผลที่สอง เป็นเพราะศาสตร์แห่งความตายไม่ใช่สาขาที่ได้รับความนิยมอีกแล้ว จึงเป็นผลให้ต้องลดจำนวนอาจารย์ลงด้วยเช่นกัน
ที่วิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลน นักเรียนสามารถจบการศึกษาได้ตราบใดที่ผ่านการทดสอบเวทมนตร์ที่หนักหน่วง แน่นอนว่า หากนักเรียนต้องการเรียนที่วิทยาลัยไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็สามารถอยู่และเรียนในรั้ววิทยาลัยต่อไปได้อย่างอิสระเช่นกัน สาขาเวทมนตร์อื่นจะแบ่งชั้นเรียนเป็น 3 ระดับ ได้แก่ชั้นเรียนสำหรับนักเวทย์ฝึกหัด นักเวทย์ระดับต้น และนักเวทย์ระดับกลาง แต่เพราะสาขาศาสตร์แห่งความตายมีนักเรียนน้อยมาก ชั้นเรียนจึงถูกยุบรวมเหลือเพียงห้องเรียนเดียว
ในตอนนั้นเอง หานซั่วกำลังตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏลงบนใบหน้าขณะหัวของเขาก้มต่ำลง แม้เป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่ในที่สุดหานซั่วก็สามารถเข้าใจทฤษฎีบางอย่างที่เคยทำให้เขาสับสนมาตลอดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะคำสอนของจีน น้ำเสียงราบเรียบมืดมนของเขาเปรียบเสมือนบทเพลงขับกล่อมของเหล่านางฟ้าสำหรับหานซั่ว และทำให้เขาหลงอยู่ในนั้น
พลั่ก!
เสียงดังขึ้นเมื่อนักเรียนคนหนึ่งในชุดคลุมนักเวทย์ อยู่ดี ๆ ก็ล้มลงตรงหน้าหานซั่ว ก้นเขาลอยขึ้นในอากาศ ในขณะที่เอาหน้าทิ่มลงไปบนพื้นหินอ่อนสีขาวอย่างแรง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดขณะพยายามยันตัวเองขึ้น และหันไปจ้องเขม็งใส่หานซั่ว และพูดอย่างโกรธเคืองว่า
“ไบรอัน เจ้ากล้าดียังไงเอาไม้กวาดมาขัดขาข้า!”
“เอ๋…ข้าแค่กวาดพื้นอยู่เฉย ๆ เองนะ”
หานซั่วตอบกลับทันทีด้วยความตกใจ และเสียงแหลมสูงขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าคน ๆ นั้นคือ ฟิทช์
ฟิทช์ เป็นเด็กหนุ่มสูง 176 เซนติเมตร และมีผมสีฟ้าอ่อน มีรูปร่างผอมแต่สวมเสื้อคลุมนักเวทย์ตัวหลวมโคร่ง ทำให้เขาดูเหมือนแท่งไม้ที่ถูกห่อเป็นมัด เขาเป็นนักเวทย์ระดับกลางของสาขาศาสตร์แห่งความตาย และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะผ่านการทดสอบและได้รับเลื่อนขั้นเป็นจอมเวทย์ระดับสูง แต่โชคไม่ดี เพราะเขาสอบตกมาแล้วหลายครั้ง ลือกันว่าเขาเพิ่งไปรับการทดสอบเมื่อหลายวันก่อน และเพิ่งกลับมา
หานซั่วหลงใหลในเนื้อหาการสอนของจีนเรื่องพื้นฐานเวทมนตร์ จึงไม่ได้ใส่ใจไม้กวาดในมือ ฟิทช์จึงสะดุดล้มลงอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอ๋? ฟิทช์กลับมาแล้ว หึหึหึ สอบตกอีกแล้วล่ะสิ? ดูเหมือนว่าเจ้าต้องพยายามให้หนักกว่านี้นะถ้าอยากเป็นจอมเวทย์ชั้นสูง ขอต้อนรับการกลับมา เมื่อกี้ไบรอันคงไม่ได้ตั้งใจหรอก อย่าไปสนใจเขาเลย”
จีนหัวเราะเบา ๆ จากในห้องเรียน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
ทว่าหานซั่วไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณที่จีนช่วยพูดแทนตัวเขาเองเลย แต่กลับสาปแช่งที่มายุ่งไม่เข้าเรื่องแบบนี้มากกว่า
ฟิทช์ซึ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก แม้จะสอบตกการเลื่อนขั้นจอมเวทย์ระดับสูงกลับมานับครั้งไม่ถ้วน เขาก็ยังคงทำการทดลองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยใจรักในศาสตร์แห่งความตาย ฟิทช์เป็นหัวหน้ากลุ่มของบาคและอีกไม่กี่คน แต่ไม่ได้ชอบหาเรื่องไบรอันหรือเด็กรับใช้คนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ทั้งฟิทช์และจีนต่างแอบชอบแฟนนี่เหมือนกันทั้งคู่ ฟิทช์ถึงได้พยายามอย่างหนักในการพยายามเลื่อนขั้นเป็นจอมเวทย์ระดับสูงให้ได้ตามที่แฟนนี่เคยพูดกับเขาก่อนหน้านี้
“ข้าจะพิจารณาเจ้าก็ต่อเมื่อเจ้าเป็นจอมเวทย์ชั้นสูงได้เท่านั้นแหละ”
ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่อาจารย์และนักเรียนคู่นี้ไม่เคยชอบขี้หน้ากันเลย แม้คำพูดของจีนจะทำให้หานซั่วรอดพ้นจากการแก้แค้นอีกครั้งหนึ่งมาได้ แต่เมื่อจีนพูดออกมา กลับก่อให้เกิดผลที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
(0 votes) 0/10