ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลังจากนั้นไม่นานนัก ก็ได้มีหลายเจ้าสำนักลำดับ 2 และเหล่าผู้อาวุโสเช่นเดียวกับเหล่าศิษย์ที่แข็งแกร่งได้เข้ามาถึงกันอย่างต่อเนื่อง จากการประมาณการดูแล้วน่าจะมีเกือบเกือบร้อยสำนักลำดับ 2 ที่มาดูการจัดการประลองในครั้งนี่ ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาศที่หาได้ยากมากที่จะได้เห็นเหล่าสำนักลำดับที่ 2 หลายร้อยสำนักมารวมตัวกัน
ดังนั้นการมาถึงของเหล่าตัวเป้งๆเช่นนี้จึงก่อให้เกิดความโกลาหลแก่เหล่าศิษย์ในสำนักมังกรฟ้าเป็นอย่างมาก และพวกเขาทั้งหมดได้มีความรู้สึกที่กลายเป็นความตื่นเต้นมากขึ้น
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันนี้จะเป็นการประลองกันที่น่าสนใจขนาดนี้ ถึงกับดึงดูดตัวเป้งๆอย่างเหล่าเจ้าสำนักลำดับ 2 มาได้มากมายถึงเพียงนี้ นี่เป็นเพียงแค่การต่อสู้กันระหว่างศิษย์ในสำนักมังกรฟ้าเท่านั้นแต่กลับดึงดูดเหล้าผู้มีอำนาจเช่นนี้มารับชมการประลองได้ โดยธรรมชาติแล้วทำให้เหล่าผู้ที่เป็นศิษย์ของสำนักมังกรฟ้านั้นรู้สึกถึงความภาคภูมิใจอย่างเหลือล้น
“เฮ่!..นั้น!..ไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าเมืองวิหคเพลิงใช่หรือไม่? แม้แต่เขายังมา? “
ถ้ามันบอกว่าการมาถึงของเหล่าเจ้าสำนักลำดับสองต่างๆ นั้นเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายแล้ว แต่ว่าการมาถึงของเจ้าเมืองวิหคเพลิง ‘ซูเฮิน’นั้นเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายยิ่งกว่า
เมืองวิหคเพลิงนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองลำดับที่ 1 และ’ซูเฮิน’ก็ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งซึ่งในตอนนี้เขายังมีพลังวิญญาณอยู่ใน ระดับ 6 แดนแก่นแท้วิญญาณ ซึ่งความแข็งแกร่งของเขานั้นยังเป็นที่เหนือกว่าในหลายๆเจ้าสำนักลำดับ 2 ณ ที่นี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้เข้าชมที่โดดเด่นที่สุดก็ยังคงเป็นกองทัพจากเมืองเต่าดำอยู่ดี การมาถึงของพวกเขานั้นได้รับการคาดหวังเอาไว้แล้ว แต่พวกเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะมีการปรากฏบุคคลผู้ทรงอำนาจดังมากมายขนาดนี้
หนึ่งในนั้นคือเจ้าเมืองเต่าดำ ‘กง เทียนพิ๋ง’ พ่อของ ‘กง ลู่หยุน’ เป็นถึงผู้มีพลังวิญญาณระดับ 7 แดนแก่นแท้วิญญาณ และยังมีเหล่าผู้อาวุโสจำนวน 30 คนจากเมืองเต่าดำซึ่งทุกคนต่างอยู่ในแดนแก่นแท้วิญญาณทั้งหมด แม้แต่บางเจ้าสำนักในที่นี้ก็ยังด่อยกว่าพวกเขา
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำใมเมืองเต่าดำถึงได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าให้เป็นเมืองอันดับที่ 1 ของเหล่าเมืองลำดับ 1 ในอาณาจักมังกรฟ้า
***หมายถึงเป็นที่ 1 ในหมู่ของเหล่าเมืองลำดับ 1 อ่ะ***
ในเวลานี้ผู้คนจากเมืองเต่าดำทั้งหมดนั้นได้ส่งออกถึงบรรยากาศที่ดูเป็นสง่าราศีอย่างมากพวกเขาดูมีอำนาจและสุขุมเยือกเย็น แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือมันไม่ได้มีเพียงแค่คนของจากเมืองเตาดำเท่านั้น แต่ยังมีบางเจ้าสำนักลำดับ 1 ที่เดินอยู่ด้านหลังพวกเขาและกำลังคุยกับเจ้าเมืองเตาดำ ‘กง เทียนพิ๋ง’ จนเข้ามาถึงในสำนักมังกรฟ้า
และหนึ่งในนั้นก็ยังมีบุคคลหลักสำคัญที่จะเข้าสู่การต่อสู้ในงานประลองวันนี้นั้นก็คือ ‘กง ลู่หยุน’และรอบๆตัวเขายังเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์จากสำนักลำดับ 1 ที่กำลังพูดคุยและหัวเราะกันแบบชิวๆต่อหน้าต่อตาของเหล่าผู้คนที่ได้จับจ้องไปที่พวกเขา
“ตระกูล กง มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าสำนักลำดับ 1! มันดูเหมือนว่าชูเฟิงจะชะตาขาดแล้วมั้งแบบนี้”
หลังจากที่คนของเมืองเต่าดำปรากฏตัวเหล่าเจ้าสำนักลำดับ 2 ก็ได้เริ่มพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง
เพราะการปรากฏตัวของกลุ่มคนจากเมืองเต่าดำและเหล่าเจ้าสำนักลำดับที่ 1 ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นขุมพลังอำนาจที่แข็งแกร่งในอาณาจักรมังกรฟ้าแต่พวกเขากลับมารวมตัวกันที่สำนักมังกรฟ้า มันจึงทำให้เหล่าเจ้าสำนักลำดับ 2 ต่างๆถึงกับตกตะลึง
“เฮ้อ…ชั่งห่างชั้นกันจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงอำนาจที่อยู่เบื่องหลังของผู้อาวุโสกงหรอกแค่เพียงตัวเขาเองก็นับเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากแล้ว ข้ายังได้ยินมาอีกว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาศิษย์อันดับ 1 จากสำนักลำดับแรก อย่างสำนักพัดลม ยังพ่ายแพ้ให้แก่เขา และตอนนี้ผู้อาวุโสกงยังเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญพลังวิญญาณระดับที่ 4 แดนแก่นแท้วิญญาณอีกด้วยในตอนนี้เขาควรจะเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นนำในเหล่าหมู่คนรุ่นใหม่ของอาณาจักรมังกรฟ้าได้แล้วเป็นแน่”
“จริงรึ? อย่างนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆนิสิ! หนึ่งปีที่ผ่านมาผู้อาวุโสกงได้อยู่แล้วในดินแดนแก่นแท้วิญญาณ เพียงแค่เขาใช้เวลาหนึ่งปีเขาได้บ่มเพาะพลังวิญญาณของเขาไปจนถึงระดับที่ 4 ของแดนแก่นแท้วิญญาณ! โอ้วนี่เขาใช้วิธีการบ่มเพาะพลังวิญญาณแบบไหนกันชั่งน่ากลัวจริงๆ”
“นี่คือผู้อาวุโส กง ความสามารถของเขานั้นหาที่ใดเปรียบไม่ได้อย่างแน่นอน แต่กับไอ้เด็กเวรชูเฟิงนั้นกับท้าทายเขา มันชั่งไม่รู้ขีดจำกัดความสามารถของตัวเองจริงๆ”
“ที่เจ้ากล่าวมานั้นมันก็ไม่ถูกซะที่เดียวหลอกนะ แต่เจ้าอย่าลืมสิว่าชูเฟิงนั้นก็มีความสามารถที่ดีมากเช่นกัน เขาถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่มีทักษะในการต่อสู้ที่ทำให้เขาสามารถเอาชนะผู้ที่อยู่เหนือเขา 4 ระดับได้เชียวนะ แม้แต่ อู๋ จิ่ว ผู้ที่อยู่ในระดับ 5 แดนกำเนิดวิญญาณก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่เขาอย่างง่ายดาย ทั้งที่เขาอยู่เพียงแค่ระดับ 1 แดนกำเนิดวิญญาณ นอกจากนี้ ชูเฟิงยังมีคนที่คอยสนับสนุนเขาในสำนักมังกรฟ้าอีกนั้นคืออาจารของเขา ผู้อาวุโส จูเกอ หลิวหยุน ยังใงล่ะ?”
“ฮื่ม ท่านผู้อาวุโส จูเกอ คืออาจารของมันยังงั้นรึ? มันคิดว่ามันได้พบใครที่มันสามารถพึ่งพาได้แล้วหรือไม่? คิดว่าผู้อาวุโส จูเกอ จะสามารถปกป้องมันได้อย่างงั้นรึ? รู้ไหมว่าท่านปู่ของผู้อาวุโส กง คือใคร เขาคือหัวหน้าตระกูลหลินและยังเป็นถึงผู้จัดการคฤหาสน์องค์กิเลน หลิน หลาน”
“ใช่ใช่. แม้ว่า ผู้อาวุโส จูเกอ หลิวหยุน จะเป็นบุคคลที่น่ากลัวในสำนักมังกรฟ้าแต่เมื่อเทียบกับผู้จัดการ หลิน หลาน ล่ะก็เขาก็เป็นเพียงแค่ฝุ่นในอากาศ เพราะงั้นการต่อสู้ในวันนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้อาวุโส กง จะสามารถดับฆ่าชูเฟิงได้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว”
หลังจากที่ ‘กง ลู่หยุน’ ปรากฏบนเวทีความวุ่นวายโดยรอบก็ได้หยุดลงและจ้องมองไปที่ ‘กง ลู่หยุน’บนเวทีพร้อมกลับถอนหายใจในความชื่นชมพลังวิญญาณของ ‘กง ลู่หยุน’ และคนที่คอยสนับสนุนเขาอยู่เบื่องหลัง แต่ในทันที่ผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์บางกลุ่มที่มีความคาดหวังต่อ’ชูเฟิง’เริ่มสูญเสียความมั่นใจ
“โอ๋ว~~~~~~”
เพียงแค่ในเวลานั้นได้มีเสียงร้องออกมาจากบนฟ้า มันเป็นเสียงที่โหยหวนเจาะไปถึงแก้วหูอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ และเสียงมันก็เริ่มดังขึ้นเลื่อยๆและมุ่งหน้ามายังสถานที่แห่งนี้
ใบหน้าของทุกคนที่ยินเสียงได้เกิดความตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะต้องยกหัวของพวกเขาแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้คาดหวังเอาไว้ว่าอะไรอยู่บนนั้น แต่หลังจากที่พวกเขาได้เห็นก็เกิดอาการตกตะลึงหนักขึ้นยิ่งกว่าเก่า เพราะสิ่งที่อยู่บนฟ้านั้น
มันคือเงาของนกอินทรีหัวขาว เพียงแค่มีนกอินทรีหัวขาวเพียงตัวเดียวก็บงบอกได้ถึงความมั่งคลังมหาศาลแล้ว แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของผู้คนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงเงาเดียวที่ปรากฏแต่มันมีถึงหลายร้อยเงาด้วยกันที่ปรากฏอยู่ในสายตาของพวกเขา
ซึ่งแม้แต่เหล่าสำนักลำดับแรกก็มีเพียงโหลเดียวหรืออาจน้อยกว่านั้นและอีกหลายๆสำนักลำดับสองนี่ไม่ต้องพูดถึง มีเพียงส่วนที่น้อยมากที่จะมีมัน แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้นั้นมันได้ปรากฏถึงหลายร้อยตัวและคุณภาพของมันนั้นยังถือได้ว่าดีเยี่ยมที่สุดในหมู่เหล่านกอินทรีหัวขาวที่พวกเขาได้เคยพบเห็น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่เห็นถึงกับตกใจจนเนื้อตัวสั่น
“โอ้วสวรรค์…พวกเขาเป็นใครกันถึงได้ปรากฏตัวได้ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้?”
หลายคนตะโกนโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยความประหลาดใจ
“ หรือพวกเขาอาจจะเป็นคนของคฤหาสน์องค์ชายกิเลน? เพราะหลังจากที่ทุกคนรู้ว่า หลิน หลาน นั้นเป็นปู่บุญธรรมของ กง ลู่หยุน มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะไม่ได้ให้ความสนใจชีวิตและความตายของ กง ลู่หยุน ที่จะได้สู้รบกับใครบางคน?”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกน่า ถึงแม้ว่าคฤหาสน์องค์ชายกิเลนนั้นจะล่ำรวยมหาศาล แต่หลิน หลาน นั้นเป็นเพียงแค่หัวหน้าตระกูลหลินเท่านั้นซึ่งเขาก็ไม่น่าจะมีความสามารถพอที่จะรวบรวมนกอินทรีหัวขาวได้มากมายขนาดนี้”
“ผู้ใดกันที่กำลังจะมาถึงสำนักมังกรฟ้า? สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดจากขุมพลังที่ใหญ่ที่สุด เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะเป็นสำนักหลิงหยุน?”
ขณะที่พวกเขามองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนอากาศมันทำให้พวกเขาคาดเดากันไปต่างๆนาๆ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่จ้องมองและรอให้คำตอบนั้นมันเผยออกมาเอง
ภายใต้สายตาเกือบล้านคนได้จับจ้องมองไปที่เหล่านกอินทรีหัวขาวที่บินเป็นวงรอบอากาศและค่อยๆล่อนลงมาจากฟากฟ้า หลังจากนั้นมันก็ได้ล่อนลงมาและลงจอดในจุดศูนย์กลางของเวที
หลังจากที่พวกเขาเห็นคนที่นั่งอยู่บนหลังของนกอินทรีหัวขาว พวกเขาก็ได้ตกตะลึงกันอย่างไม่รู้จบและอ้าปากค้างอยู่ในอาการช็อกจนถึงขนาดลืมหายใจ บางคนยังถึงขั้นกับล้มลงไปที่พื้นและเกิดอาการชักเพราะความตกใจ
มันเป็นเพราะผู้ที่อยู่บนหลังหลายร้อยนกอินทรีหัวขาวนั้นใส่เสื้อคลุมยาวและมีสัญลักษณ์ ที่ปรากฏชัดเจนมันแสดงถึงสถานะของพวกเขาว่าเป็นผู้เชื่อมต่อฯ แถมยังมีหลายร้อยเหล่าเสื้อคลุมสีขาวและยี่สิบเสื้อคลุมสีเทา ถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่ยี่สิบแต่พวกเขาก็เป็นถึงผู้เชื่อมต่อฯเสื้อคลุมสีเทา
เหตุใดกันทำใมเหล่าผู้เชื่อมต่อฯถึงมาที่นี่? และในหมู่พวกเขาหลายร้อยคนยังปรากฏเหล่าผู้เชื่อมต่อฯเสื้อคลุมสีเทาที่โดดเด่นเช่นนี้อีก เนื่องจากขณะนี้ในอาณาจักมังกรฟ้านั้นมีเหล่าผู้เชื่อมต่อฯเสื้อคลุมสีเทาเพียงแค่สามคนเท่านั้น แต่ ณ ที่ตรงนี้ในสถานการณ์เช่นนี้กับปรากฏอยู่ในสายตาของพวกเขาถึงยี่สิบคน มันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้เห็นในวันนี้
ไม่ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวที่สำนักลำดับสอง สำนักมังกรฟ้า หรือ จะปรากฏตัวที่คฤหาสน์องค์ชายกิเลน หรือ จะเป็นสำนักหลิงหยุนก็ตาม มันก็จะยังคงเกิดสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ขึ้นอย่างแน่นอน
***ก็ประมาณว่าไม่ว่าจะปรากฏตัวที่ไหนก็สามารถทำให้คนอึ่งกริ่มกี่ได้เสมอประมาณนี้อ่ะครับ***
ผู้แปล #นายกระทิข้น
สาระขอพักไว้ก่อนเด๋วจะไม่ทัน เขาว่างี้. . . . . .
ที่มา: