I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Great Demon King ตอนที่ 48 เหรียญทองล่อตาล่อใจ

| Great Demon King | 2538 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

หลังผละจากกลุ่มของเฟเบียนมา หานซั่วก็เดินทางมุ่งหน้าสู่พื้นที่ชายขอบของป่าทมิฬตามเส้นทางเดิมที่พวกเขาเคยใช้มาก่อนนี้

ระหว่างทาง หานซั่วก็ฝึกฝนเวทมนตร์ไปเรื่อย ๆ เมื่อเขาบรรลุ “อาณาจักรพลังรูปธรรม” แล้ว รู้สึกราวกับได้เกิดใหม่ และการทุ่มเทฝึกฝนเวทมนตร์ด้วยความอุตสาหะมาอย่างต่อเนื่องก็ส่งผล แก่นมนตราสามารถโคจรไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดังใจนึก

ในโลกของเวทมนตร์ปีศาจ ประกอบด้วย 9 อาณาจักรพลังด้วยกัน ซึ่งหานซั่วในตอนนี้ ได้เข้าสู่ “อาณาจักรพลังเบิกทาง” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการฝึกฝนระหว่างอาณาจักรพลัง “เบิกทาง” และ “รูปธรรม” จะแตกต่างกันเล็กน้อย ในอาณาจักรพลังนี้จะมุ่งเน้นการเสริมแกร่งเส้นชีพจร1 โดยเพิ่มทั้งขนาดและความทนทานของเส้นชีพจรอย่างมหาศาล ทว่า ระหว่างการฝึกเพื่อ “เบิกทาง” จะทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน ราวกับมีแมลงตัวเล็ก ๆ นับร้อยนับพันกำลังกัดแทะอยู่ภายในเส้นชีพจรนั้น

1 Meridians เดิมแปลว่า เส้นลมปราณ เปลี่ยนเป็น เส้นชีพจร

อาณาจักรพลัง 3 ระดับแรกของเวทมนตร์ปีศาจ ได้แก่ อาณาจักรพลังรูปธรรม เบิกทาง และหลอมวิญญาณ ซึ่งล้วนเป็นอาณาจักรพลังขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง การก้าวสู่อาณาจักรพลังในแต่ละระดับ การฝึกฝนจะทวีความยากลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่จากประสบการณ์ก่อนบรรลุระดับ “รูปธรรม” หานซั่วจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการฝึกฝนเวทมนตร์ประเภทนี้ ต้องมีความเจ็บปวดที่รุนแรงเกินกว่ามนุษย์จะทานทนตามมาเสมอ ซึ่งความเจ็บปวดของการฝึกระดับ “เบิกทาง” ก็เป็นไปตามคาด เขาใช้แก่นมนตราเสริมแกร่งเส้นชีพจรอย่างทรหดอดทนโดยไม่เว้นแม้เพียงวินาที

หลังจากฝึกฝนและเดินทางมาตลอด 12 วันเต็ม หานซั่วก็ยังไม่เจอแฟนนี่และคนอื่น ๆ ในที่สุด เขาก็ออกจากป่าทมิฬเพียงคนเดียว และมุ่งหน้าสู่เมืองดรอลเมื่อพลบค่ำ

เมื่อเทียบกับ 1 เดือนก่อน หานซั่วได้ผ่านพ้นบททดสอบที่เต็มไปด้วยภยันตรายและความยากลำบากต่าง ๆ ของป่าทมิฬ จนกระทั่งความแข็งแกร่ง ทัศนคติ และรูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง หานซั่วในตอนนี้สูงกว่า 170 เซนติเมตร และถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่ได้มีมัดกล้ามเด่นชัดนัก แต่ก็ไม่ได้ผอมกะหร่องอีกต่อไปแล้ว

ราวกับได้รับการชำระล้างด้วยเลือดสด ๆ ทั้งความกล้าหาญและความรู้ของหานซั่วก็พัฒนาก้าวหน้าไปมาก แม้แต่ออร่าในตัวเขาเองก็ยังเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด เพราะแต่ละสถานการณ์ที่เขาได้ประสบพบเจอล้วนส่งผลให้เขาค่อย ๆ เปลี่ยนไป แม้เขาเองก็ไม่เคยรู้ตัว

ยามพลบค่ำ เมืองดรอลเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ นักผจญภัยหลายคนกลับมาจากป่าทมิฬ บ้างก็เศร้าโศกเสียใจจากการสูญเสียสหายร่วมทาง ในขณะที่หลายคนต่างยิ้มหน้าระรื่นเพราะของมีค่ากำไรงามที่ได้รับ และวางแผนจะเสพสุขอันเสื่อมทรามในเมืองดรอลตลอดทั้งคืน

ในตอนนั้นเอง ที่แรกที่หานซั่วรีบไปตรวจสอบคือคอกม้า ที่เขา จีน และคนอื่น ๆ เคยนำม้าที่เช่ายืมมาเก็บไว้ก่อนออกเดินทาง เขาเพ่งมองดูมันจากระยะไกล และพบว่าม้าพวกนั้นยังอยู่ เขาจึงคิดว่าพวกแฟนนี่และทุกคนอาจจะยังกลับมาไม่ถึงเมืองดรอล

เมื่อจ่ายเงินเช่าม้าไปแล้ว จึงมีแต่อาจารย์และนักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้มัน เมื่อกลับไปยังเมืองซาโจสกี้ พวกเขาก็ต้องคืนม้าพวกนั้นให้กับทหารรักษาการณ์ของเมืองภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับที่รับมา แต่เมื่อม้าพวกนั้นยังอยู่ ก็ยังอาจแปลได้ว่าแฟนนี่มาถึงแล้วแต่ยังไม่ออกจากเมือง

หานซั่วรู้ตัวว่าตนเองเดินทางมาด้วยความรีบร้อน โดยหวังว่าจะตามคณะเดินทางของแฟนนี่ที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ได้ทัน หรือว่าแฟนนี่กับคนอื่น ๆ จะเสียเวลากับสัตว์วิเศษที่เจอระหว่างทาง เขาจึงคิดว่าแฟนนี่และคนอื่น ๆ น่าจะยังไม่กลับมาตามที่คาด

หานซั่วตรงไปยังโรงแรมเล็ก ๆ ที่ทุกคนเคยพักก่อนหน้านี้ เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้วยรอยยิ้มและพูดว่า

“ข้าขอห้องพักห้องนึง”

เจ้าของโรงแรมกำลังกินผลไม้ขณะที่ตาใกล้ปิดเต็มที เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าหานซั่วครู่หนึ่ง และพูดอย่างขี้เกียจว่า

“อ้อ เจ้านี่เอง จ่ายมา 10 เหรียญทองแดงสิ โกดังเก็บของนั่นว่างเสมอล่ะ… เข้าไปได้เลย”

ครั้งที่แล้วที่หานซั่วมาพร้อมกับคนอื่น ๆ จีนจัดให้เขาได้นอนในโกดังเก็บของเป็นพิเศษ หานซั่วจึงโดนเจ้าของโรงแรมดูถูกดูแคลน เพราะเมื่อประเมินจากสถานภาพของหานซั่วแล้ว เขาคงมีปัญญาเช่าได้แค่โกดังเก็บของเท่านั้น

แต่ทว่า หานซั่วไม่ได้โกรธ เขาเพียงแต่ยิ้ม และหยิบเหรียญทอง 1 เหรียญออกมาจากกระเป๋าเงินที่เอว และทิ้งลงบนโต๊ะกลมที่ทำด้วยไม้ พลางมองหน้าด้านข้างของเจ้าของโรงแรม

“ข้าไม่อยากพักในโกดังเก็บของน่ะ”

เจ้าของโรงแรมที่กำลังเกียจคร้านจู่ ๆ ก็ผุดลุกนั่งขึ้น และใช้มือตบเหรียญทองที่หล่นลงบนโต๊ะกลมอย่างฉับพลันทันที รอยยิ้มอย่างมืออาชีพปรากฏบนใบหน้าอย่างรวดเร็วพลางพูดด้วยเสียงแหลมสูง

“แน่น๊อนน~ แน่นอน โกดังเก็บของจะไปควรค่าอะไรกับเงินตั้ง 1 เหรียญทอง สหายที่น่ารัก บอกข้าสิ ว่าเจ้าต้องการพักห้องแบบไหน เหรียญทองเหรียญเดียวแค่นี้พอเสียยิ่งกว่าพอซะอีก”

การปรนนิบัติเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ยิ่งกว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทันทีที่มีเหรียญทองวางตรงหน้า หานซั่วยิ้มเจื่อน ๆ และพยักหน้ารับ

“ข้าต้องการห้องเดียวกับที่อาจารย์ผู้หญิงเคยพักเมื่อคราวที่แล้วน่ะ จัดให้ข้าด้วยล่ะ”

“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเลย นี่กุญแจนะ 1 เหรียญทองเพียงพอสำหรับพัก 5 คืน ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกรึเปล่าล่ะ พ่อหนุ่ม?”

เจ้าของโรงแรมถามด้วยท่าทีประจบสอพลอ พลางฉีกยิ้มกว้างจนหน้าบิดเบี้ยวขณะหยิบกุญแจจากลิ้นชักด้านหลังอย่างอารมณ์ดี และยื่นให้หานซั่ว

“ไม่เอาอะไรแล้วล่ะ เชิญทำธุระของท่านต่อเถอะ”

หานซั่วเดินตรงไปยังห้องที่แฟนนี่เคยพักเมื่อคราวก่อนทันทีหลังจากได้รับกุญแจมา พลางคิดว่าเงินช่างมีอำนาจที่น่าพิศวงไม่ว่าจะอยู่ในโลกใดก็ตาม และการจะก้าวเข้าสู่สังคมใด ๆ เงินทองคือสิ่งจำเป็น

หานซั่ววางข้าวของลงเมื่อเข้ามาในห้อง และแช่น้ำร้อนในอ่างอย่างสบายอารมณ์ พลางนึกย้อนถึงความปลื้มปิติที่ได้ดื่มด่ำเมื่อครั้งนั้น ความรู้สึกอันร้อนแรงระเบิดขึ้นในตัว แล้วท่อนล่างของเขาก็ส่งสัญญาณการแข็งตัวอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง

หานซั่วบ่นด้วยเสียงแผ่วเบา ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาลุกยืนขึ้น เขาหยิบผ้าเช็ดตัวจากด้านข้างมาซับตัวให้แห้ง ขณะที่กำลังก้าวออกจากห้องน้ำ จู่ ๆ ก็สังเกตเห็นร่างกายกำยำล่ำสันได้สัดส่วนของตัวเองในกระจกกว้างข้างผนัง

กระจกสะท้อนให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดทั่วร่างกายที่แข็งแรง แสงแดดในช่วงที่ผ่านมาทำให้สีผิวของเขาเข้มขึ้น และเขาก็ดูสุขภาพดีเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความเป็นชาย ต่างจากตัวตนเดิมที่ผอมแห้งยิ่งกว่าสุนัขจรจัดอย่างเห็นได้ชัด

เขาบีบกล้ามเนื้ออกทั้งสองข้างด้วยความพอใจ ซึ่งมันไม่ได้เล็กหรือใหญ่จนเกินไป เขาลองโพสท่าหน้ากระจก พลางชี้นิ้วไปที่เงาสะท้อนด้วยท่าทีหลงตัวเองพร้อมหัวเราะร่า

“สหาย ดูดีใช่เล่นเลยนะเนี่ย!”

หานซั่วออกจากโรงแรมและตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้า  เขาใช้เงิน 1 เหรียญทองซื้อเสื้อและกางเกงในเนื้อนุ่มคุณภาพดีมา 1 ชุด โดยสวมใส่ไว้ภายใต้ชุดเครื่องแบบคนรับใช้ที่วิทยาลัยเคยให้มา

จากนั้นจึงไปยังร้านขายอาวุธ และใช้เงิน 10 เหรียญทองเพื่อซื้อมีดสั้นคุณภาพดี 1 เล่ม… 4 เหรียญทองสำหรับเข็มโลหะคมกริบ 15 เล่มเพื่อซ่อนไว้ในขากางเกง และอีก 6 เหรียญทองสำหรับหน้าไม้ขนาดจิ๋วซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ราวกับติดอาวุธให้ตัวเองทั้งตัว

แล้วหานซั่วก็ไปที่ร้านขายยา เพื่อซื้อน้ำยาและผงยาบางอย่างในราคา 40 เหรียญทอง นอกเหนือจากยาเบื้องต้นต่าง ๆ แล้ว ก็มีทั้งสารระงับประสาท สารหลอนประสาท สารกระตุ้นกำหนัด และยาพิษอีกขวดหนึ่ง

ทว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเมืองซาโจสกี้ แม้หานซั่วจะมีเงิน แต่เขาก็ไม่มีทางหาซื้อของพวกนี้ได้แน่ ๆ ในขณะที่เมืองดรอลเป็นตลาดที่เปิดกว้างเพราะเป็นสิ่งที่เหล่านักผจญภัยต้องการ ดังนั้น เมื่อหานซั่วอุตส่าห์มาถึงที่นี่พร้อมเงินในมือ และเข้าใจดีว่าความแข็งแกร่งสำคัญแค่ไหน เขาจึงซื้อเก็บไว้เผื่อความจำเป็นในภายหลัง

หลังจากซื้อของทั้งหมดเสร็จแล้ว หานซั่วก็ถอนหายใจ พลางคิดว่าการมีเงินใช้นี่ช่างสุขสบายดีเสียเหลือเกิน เขาถึงขั้นรู้สึกว่าเดินยืดอกได้มากกว่าปกติหลังเดินออกจากร้านขายยา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนง่ายขึ้นเมื่อมีเหรียญทองอยู่เต็มกระเป๋า

ระหว่างทางกลับโรงแรม ท้องของหานซั่วก็เริ่มร้อง ขณะเหลือบมองไปยังโรงแรมที่ตกแต่งด้วยไฟหลากสีสัน เขาเดินไปตามที่ใจเรียกร้องและเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่ง

โถงห้องอาหารในโรงแรมเสียงดังจนแก้วหูแทบแตก แสงไฟประดับประดาหลากสีกะพริบวิบวับอยู่บนหลังคา เหล่านักผจญภัยและพ่อค้าต่างแยกกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะภายในห้องโถง พลางพูดคุยถึงการผจญภัยของตัวเองด้วยเสียงอันดัง

ใบหน้าของพวกเขาล้วนแดงก่ำ และถือแก้วไวน์ไว้ในมือ ตะโกนโหวกเหวกอย่างเมามาย และพรั่งพรูคำพูดทุกอย่างออกมาโดยปราศจากการยั้งคิด อาหารน่าอร่อยหลายจานวางเต็มโต๊ะ บริกรชายหญิงคอยเสิร์ฟทั้งไวน์กลิ่นหอมและอาหารมากมายแก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย

หานซั่วพุ่งตรงไปยังโต๊ะเดียวที่ว่างอยู่ตรงมุมห้องโถงและนั่งลง บริกรขี้อายคนหนึ่งรีบเดินมายืนเบื้องหน้าหานซั่วและถามอย่างสุภาพ

“ขอโทษนะ จะรับอะไรดี?”

“ไวน์รสเลิศ กับเนื้ออย่างดี จัดให้ข้าหน่อย ทั้งสองอย่างเลย”

หานซั่วหยิบเงิน 1 เหรียญทองออกมาและใช้นิ้วหัวแม่โป้งวางเหรียญนั้นลงบนถาดของบริกร พร้อมกับสั่งอาหารด้วยเสียงอันดัง

เมื่อบริกรเห็นเงินเหรียญทองวางลงมา ตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที และโค้งคำนับอย่างสุภาพยิ่งกว่าเดิม เขาเก็บเหรียญไปโดยไม่เปลี่ยนท่าที พร้อมกับยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล

“ครับ ท่าน กรุณารอสักครู่นะครับ ข้าจะรีบนำมาบริการเดี๋ยวนี้”

ในเมื่ออยู่ในสถานะอู้ฟู่ ก็ต้องสำราญกับช่วงเวลานั้นให้มากที่สุด หานซั่วเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน พลางกวาดตามองเหล่านักผจญภัยและพ่อค้ามากหน้าหลายตาที่อยู่เต็มห้องโถง บางคนน่าจะเพิ่งกลับออกมาจากป่าทมิฬ หรือไม่ก็กำลังเตรียมตัวจะเข้าไป บ้างก็ดูราวกับเพิ่งรอดพ้นจากอันตราย ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังวางแผนมุ่งหน้าสู่ภยันตรายที่ยังไม่มีใครล่วงรู้ แต่ทุกคนล้วนกำลังปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ สำเริงสำราญไปกับความเสื่อมทรามแห่งเมืองดรอลจนสุดหัวใจ

ไม่นานนัก บริกรขี้อายคนเดิมก็วางขวดไวน์สีม่วงอ่อน 1 ขวด เนื้อจานใหญ่ ๆ 3 จาน และชามผลไม้อีก 2 ชามบนโต๊ะของหานซั่ว

“นี่คือไวน์เพอร์เพิล เลย์แลน ไวน์ที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองดรอล พวกนักผจญภัยชอบดื่มกันมาก หวังว่าท่านเองก็จะพึงพอใจเช่นกันนะครับ”

บริกรชี้ไปที่ขวดไวน์สีม่วงอ่อนและแนะนำมันหลังจากวางอาหารทุกจานบนโต๊ะครบแล้ว จากนั้นจึงโค้งคำนับและก้าวถอยหลังออกไป

หานซั่วไม่รีรอและรีบหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาฉีกกินทันที ถึงแม้มันจะไม่อร่อยเท่าเนื้อที่เขาทำเอง แต่ก็รสชาติไม่เลวนัก เขาหมุนเปิดฝาขวดออก  และยกขวดไวน์เพอร์เพิล เลย์แลนดื่มอึกใหญ่ รสหวานยั่วยวนนั้นมาพร้อมกับความร้อนรุ่มที่แฝงอยู่ภายใน ความฉ่ำยังคงติดปลายลิ้นแม้จะไหลลงท้องไปหมดแล้ว สร้างความสำราญใจในอีกรูปแบบหนึ่งให้หานซั่วได้สัมผัส

เป็นไวน์ที่ดีจริง ๆ หานซั่วชมในใจ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ร่างที่คุ้นตา 2 ร่างก็เดินผ่านประตูเข้ามา — คล็อดและไอรีนนั่นเอง

คล็อดและไอรีนกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่นั่งว่าง แล้วสายตาของทั้งคู่ก็หยุดลงที่หานซั่ว ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยความบังเอิญเกินจะเอ่ย

…………………………………

ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>>

อัพเดท : 30/6/60 บล็อก@ตอนที่ 53 กลุ่มลับ@ตอนที่ 68

(0 votes) 0/10
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments