ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
ในตอนนั้นเอง เดือยกระดูกทั้งเจ็ดชิ้นที่หลังของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็กระพืออย่างรัวเร็วจนเกิดเป็นเสียงกระดูกกระทบกัน ขณะที่หอกยาว ทวน และขวานศึกจำนวนมากกำลังพุ่งถึงตัวเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก เดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นก็ถอนตัวเองออกจากกระดูกสันหลัง พวกมันหมุนคว้างขึ้นไปในอากาศ และมาลอยอยู่รวมกันทั้งตรงหน้าและเหนือหัวของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กพร้อมเสียงหวีดหวิวของวัตถุแทรกผ่านอากาศดังลั่น
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมกริชกระดูกในมือ แต่ทว่าอยู่ดี ๆ ร่างของมันก็กระตุกสั่นอย่างบ้าคลั่งราวกับอาการชักอย่างต่อเนื่องแล้วเดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นก็ลอยโค้งขึ้นไปในอากาศด้วยรูปแบบที่น่าพิศวง ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังชักใยให้พวกมันร่ายรำไปตามความปรารถนาของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก
เกิดเสียงวัตถุแตกหักดังอย่างต่อเนื่องเมื่อหอกยาว ทวน และขวานศึกที่พุ่งลอยมาล้วนถูกพุ่งชนและทำลายโดยเดือยกระดูกที่เคลื่อนที่อย่างพริ้วไหวทั้ง 7 จนไม่มีอาวุธใดแตะต้องร่างของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กได้แม้เพียงสักชิ้นเดียว
หานซั่วหยิกเนื้อที่เอวของตัวเอง และรู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดนี้เป็นเรื่องจริงเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบด้านข้างลำตัว ไม่เพียงแต่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กสามารถสั่งกริชกระดูกให้จัดการศัตรูได้ด้วยตัวของมันเอง แต่มันยังสามารถเปลี่ยนเดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นที่หลังให้กลายเป็นอาวุธที่น่าพรั่นพรึงได้ถึงเพียงนี้ ทำให้หานซั่วทั้งตกตะลึงและทึ่งกับความสามารถนี้ของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กไม่น้อย
“กุฎปลุกอาคม”1 คือหลักในการสั่งให้ “ขุมพลังเวทมนตร์”2โจมตี …ในครั้งที่แล้วที่หานซั่วบังเอิญถ่ายทอดความทรงจำเหล่านั้นไปยังเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก และเห็นมันสั่งกริชกระดูกให้ลอยกวัดแกว่งไปมาราวกับร่ายรำในอากาศมาแล้วครั้งหนึ่งเพียงเท่านั้นก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพอ แต่มาครั้งนี้ เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กยังสั่งการเดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นบนหลังตัวเองได้อีก หานซั่วจึงตกตะลึงเกินบรรยาย
** การกล่าวถึงอยู่ในย่อหน้าท้าย ๆ ของตอนที่ 27
1 Law of Activating Magicเดิมแปลว่า หลักการร่ายเวทย์ เปลี่ยนเป็น กฎปลุกอาคม
2 Magical treasures เดิมแปลว่า ขุมทรัพย์เวทมนตร์ เปลี่ยนเป็น ขุมพลังเวทมนตร์การใช้งาน “กฎปลุกอาคม” นั้น นอกเหนือจากการทำความเข้าใจขุมพลังเวทมนตร์ซึ่งผูกมัดกับชีวิต รวมทั้งใช้จิตร่วมกันกับผู้ใช้เวทย์ จำเป็นต้องทำตามกฎอย่างเลี่ยงไม่ได้ และดูเหมือนว่า ทั้งเดือยกระดูก 7 ชิ้น และ กริชกระดูก จะกลายเป็นขุมพลังเวทมนตร์ของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก จากการหล่อหลอมโดยแก่นมนตราของหานซั่วอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่หานซั่วเองก็ยังไม่มีขุมพลังเวทมนตร์อยู่ในมือ อีกทั้งไม่สามารถใช้ “กฎปลุกอาคม”ได้ ใครจะไปคิดว่าอสูรมิติมืดอย่างเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กที่กำลังเยื้องย่างอยู่เบื้องหน้าหานซั่วนี้ จะเป็นคนแรกที่ทำได้สำเร็จ
“โอ คุณพระช่วย จ…เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กนั่นเป็นอสูรประเภทไหนกัน!”
เฟเบียนส่งเสียงครวญครางอย่างตื่นเต้น พลางอุทานออกมาเบา ๆ ระหว่างที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออกและจ้องมองจนตาแทบถลน
หลังจากที่หอกยาว ทวน และขวานศึกที่พุ่งลอยมาถูกทำลายจนหมด โทรลล์ป่าทุกตนก็อยู่ในภาวะตื่นตระหนกสุดขีด ในตอนนั้นเอง เดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้น ที่กำลังลอยโคจรอยู่รอบ ๆ ร่างของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก ก็พุ่งตัวไปในทิศทางเดียวกัน และเสียบทะลุร่างของโทรลล์ป่า 7 ตัว ที่ยืนมึนงงอยู่ในเวลาเพียงชั่วพริบตา
“ปีศาจ มันคือปีศาจในร่างโครงกระดูก หนีเร็ว!”
เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกและขวัญผวาอย่างที่สุดดังขึ้นจากโทรลล์ป่าตนหนึ่ง ราวกับเป็นสัญญาณสั่งให้ถอยทัพในทันที เพราะโทรลล์ป่าทุกตนต่างแตกกระเจิงหนีเอาชีวิตรอดไปคนละทิศละทาง ราวกับสุนัขที่วิ่งหนีหางจุกตูดเมื่อสู้แพ้ แม้แต่หัวหน้าโทรลล์ป่าก็ไม่มีอะไรให้พูดอีกต่อไป มันวิ่งหนีอย่างรวดเร็วไม่ต่างกัน
แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างเหนือความคาดหมาย เดิมทีหานซั่วเพียงวางแผนว่าจะฝ่าฝูงโทรลล์และหนีออกไปจากที่นี่ แต่ไม่คิดว่าเดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ เมื่อหานซั่วรวบรวมสติได้ พื้นที่รอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยศพของโทรลล์ป่ากว่า 10 ตน และไม่เหลือแม้เพียงสักตนเดียวที่ยังรอดชีวิต
“ฮ่าฮ่าฮ่า เก่งมาก เด็กดี เก่งจริง ๆ!”
หานซั่วรู้สึกภูมิใจเป็นที่สุดจนหยุดหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่ได้
ในตอนนั้นเอง เดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นที่หมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ก็ร่อนลงมาผนึกเข้ากับกระดูกสันหลังของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กตามเดิมอย่างแม่นยำ เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กยืนตรงขึ้นทันทีพร้อมกับกริชกระดูกในมือ มันเริ่มค้นศพของโทรลล์ป่าอย่างชำนิชำนาญ และฉวยเอาของมีค่าทุกอย่างออกไปยกเว้นเสื้อผ้า
“เอ้า จ่ายมาสิ อีก 100 เหรียญทองที่เหลือน่ะ”
หานซั่วยิ้มน้อย ๆ เมื่อเขาปล่อยเฟเบียนลงจากหลัง และร้องขอเงินส่วนที่เหลือจากเฟเบียนซึ่งยังคงตระหนกตกใจไม่หาย
ขณะนั้น ดวงตาของเฟเบียนกำลังกลอกไปมาตามร่างของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กอย่างไม่เชื่อสายตา และรู้สึกตัวทันทีที่ได้ยินเสียงของหานซั่ว ขณะที่กำลังหยิบเหรียญทองออกมานั้นเอง จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง พร้อมกับจ้องหานซั่วตาเขม็ง
“ไม่… เมื่อกี้เจ้ากล้าใช้ข้าเป็นโล่กำบังตอนสู้กับพวกโทรลล์ป่า การกระทำของเจ้าทำให้ผู้ว่าจ้างต้องตกอยู่ในอันตราย ยังจะกล้าดีมาขอเงินอีก 100 เหรียญทองอีกเชียวรึ?”
สีหน้าของหานซั่วพลันเปลี่ยนเป็นความเย็นชาทันที นัยน์ตาแข็งกระด้างจับจ้องไปที่เฟเบียน เขาสุ่มหยิบทวนขึ้นมาจากพื้นเล่มหนึ่ง และพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านเฟเบียน ท่านคิดจะโกงข้าอย่างนั้นรึ?”
ในขณะเดียวกันเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กที่กำลังช่วงชิงของจากสงคราม จู่ ๆ ก็หยุดนิ่ง และหันมาจ้องเฟเบียน้วยดวงตากลวงโบ๋
ทันใดนั้นเอง ความเย็นยะเยือกบางอย่างก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเฟเบียนจนทำให้หัวใจกระตุกสั่นไม่เป็นจังหวะ เขาพยายามเค้นหน้าฝืนยิ้มและก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างขลาดกลัว
“มุกหรอกน่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แหะ ๆ ๆ นี่ เงิน 100 เหรียญทองของเจ้าไม่ขาดไม่เกิน ทำได้ดีมาก”
หานซั่วส่งเสียง หืมมม… เล็กน้อย ก่อนจะเก็บเงินใส่กระเป๋าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ความรู้สึกสนุกอย่างไร้กังวลผุดขึ้นในใจ พลางคิดว่าการใช้อำนาจไม่เคยทำให้ผิดหวัง
“ท่านนักรบ ส่วนของจากพวกโทรลล์ป่านั่น…”
“ของข้าไง ของข้าทั้งหมดเลย”
หานซั่วรีบตัดบทก่อนที่เฟเบียนจะทันพูดจบประโยค พร้อมกับทึกทักเอาเองว่าสิ่งของเก็บตกจากการต่อสู้ทั้งหมดนั่นเป็นของเขา
เฟเบียนพยายามแค่นเสียงหัวเราะอีกครั้ง
“แน่นอน! เป็นของท่านทั้งหมดแน่นอน ข้าแค่จะบอกว่า ข้าสามารถซื้อของที่ท่านหาได้จากตัวพวกโทรลล์ป่าได้น่ะ”
หานซั่วขมวดคิ้วขณะมองเฟเบียนด้วยสีหน้าสงสัย แต่แล้วเขาก็ยิ้ม และโค้งคำนับอย่างสุภาพเลียนแบบท่าทางของคลาร์ก
“ท่านเฟเบียนหมายความว่า ท่านจะซื้อสิ่งของพวกนี้ด้วยเงินเหรียญทองรึครับ?”
สีหน้าเปลี่ยนไวเชียวนะเอ็ง! เฟเบียนแอบก่นด่าเขาในใจ พลางยิ้มและพยักหน้าเชิงตอบรับ
“ถูกต้อง ข้าเป็นพ่อค้าผู้เทียวไปเทียวมาในป่าทมิฬเพื่อรับซื้อสิ่งของที่หาได้ในป่าแห่งนี้ และกลับไปขายทำกำไรที่จักรวรรดิ ในฐานะที่เป็นโจรปล้นสะดมจอมดุร้ายป่าเถื่อนเลื่องชื่อแห่งป่าทมิฬ พวกโทรลล์ป่าน่าจะมีของที่ข้าต้องการอยู่บ้าง ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าจึงคิดว่าจะกว้านซื้อจากท่านทั้งหมดน่ะ”
ตอนนั้นเอง เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเดินเข้ามายืนเคียงข้างหานซั่วอย่างไร้สุ้มเสียง พร้อมด้วยกระเป๋า 8 ใบในมือ ตามคำสั่งของหานซั่วเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กวางกระเป๋าทั้ง 8 ใบลงกับพื้น และใช้กริชกระดูกในมือเปิดกระเป๋าออกทีละใบ หานซั่วเองก็หยิบเอาของมีค่าที่ล่าได้ระหว่างทางวางกองรวมไว้ด้วยเช่นกัน รอให้เฟเบียนประเมินราคา
“ผลึกมนตราจากสัตว์วิเศษระดับ 5 จำนวน 8 ชิ้น… ระดับ 4 จำนวน 6 ชิ้น… และระดับ 3 อีก 1 ชิ้น… หนังสภาพสมบูรณ์จากหมาป่าคมวายุ 3 ผืน… เขี้ยวกิ้งก่าพิษ 3 ซี่… ไข่อสรพิษน้ำลึก 1 ใบ… และหญ้ากลืนจันทรา 5 ใบ… ทั้งหมดนี่ข้าให้… 1,000 เหรียญทอง ท่านคิดว่าไง?”
เฟเบียนประเมินราคาของทั้งหมดเงียบ ๆ และเมื่อคิดคำนวณครบแล้วก็เงยหน้าขึ้น ยิ้มให้หานซั่ว
หานซั่วส่ายหัว และพูดด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ
“ไม่เอาด้วยหรอก อสรพิษน้ำลึกเป็นถึงสัตว์วิเศษระดับ 3 ไข่ของมันควรมีราคามากกว่านี้ ยังไม่รวมผลึกมนตราระดับ 3 ของมันอีก ท่านเสนอราคามาให้ข้าแค่ 1,000 เหรียญทอง… คิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นเลยรึ?”
หานซั่วรู้ว่าราคาสำหรับสัตว์วิเศษระดับ 3 นั้นมีค่าไม่ใช่น้อย แม้จะไม่รู้ราคาที่แน่นอนก็ตาม แต่พ่อค้ามักเสนอมูลค่าที่ต่ำกว่าราคาจริงในตลาดมากอยู่แล้ว หานซั่วจึงไม่ยอมให้เขาโกงเอากำไรไปได้ง่าย ๆ
“อสรพิษน้ำลึกเป็นสัตว์วิเศษระดับ 3ก็จริง แต่โอกาสสำเร็จในการเลี้ยงดูมันตั้งแต่ออกจากไข่มีน้อยมาก เพราะไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะยอมรับใครสักคนเป็นนาย เช่นนั้นแล้ว ราคาจึงสูงมากไม่ได้หรอก งั้น… ถ้าข้าให้ 1,500 เหรียญทองล่ะเป็นไง?”
หานซั่วไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องมองเฟเบียนด้วยรอยยิ้ม
“2,000 เหรียญทองก็ได้! นี่เป็นข้อเสนอสุดท้ายแล้ว ถ้าท่านยังไม่ยอมขายอีกก็ลืมมันไปซะเถอะ ข้าไปล่ะ!”
เฟเบียนกัดฟันกรอด และในที่สุดก็เสนอราคาที่เสียโอกาสทำกำไรไปอีก 500 เหรียญทอง
เมื่อเห็นว่าถึงขีดจำกัดแล้ว หานซั่วก็ยิ้มพร้อมกับพูดอย่างเจื่อน ๆ
“ตกลง 2,000 ก็ได้ แล้วไหนเงินเหรียญทองล่ะ?”
แม้สิ่งของทั้งหมดจะมีค่ามากกว่านี้เมื่อกลับไปขายในจักรวรรดิ แต่เพราะหานซั่วยังอยู่ในป่าทมิฬและไม่มีแหวนบรรจุสรรพสิ่ง หากต้องขนของทั้งหมดนี่ติดตัวไปด้วยย่อมเป็นเรื่องที่ลำบากอีกอย่าง หานซั่วเป็นเพียงทาสรับใช้ในวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังการจะเอาของทั้งหมดไปขายในจักรวรรดิเองก็ยุ่งยากเกินไป จึงเป็นการง่ายและสะดวกสบายมากกว่าถ้าส่งให้เฟเบียนเป็นคนจัดการของทั้งหมดเอง
“นี่คือ ตราสารคริสตัล มูลค่า2,000 เหรียญทอง เจ้าเอาตราสารนี้ไปแลกเป็นเหรียญทองที่สถาบันออมทรัพย์ใดก็ได้ โอ จริงสิ ท่านชื่ออะไรรึ? ข้าจะได้จารึกชื่อของท่านลงในตราสารให้”
เฟเบียนหยิบตราสารแผ่นบางที่ทำจากคริสตัลสีทองอร่ามออกมา และถามชื่อหานซั่ว
“ไบรอัน”
“โอ ตกลง ไบรอันนะ”
เฟเบียนหยิบของบางอย่างอีกชิ้นที่รูปร่างคล้ายเข็มเล่มเล็ก ๆ ออกมา และค่อย ๆ บรรจงเขียนลงไปในช่องว่างขนาดจิ๋วตรงมุมตราสารคริสตัล เกิดเป็นแสงสีทองจาง ๆ วาบขึ้นบนตราสารเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติ
หานซั่วมายังโลกนี้ได้สักพักหนึ่งแล้ว และหลังจากทำความรู้จักจนเริ่มคุ้นชินเรื่องราวกับโลกนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ หานซั่วก็เข้าใจว่าตราสารคริสตัลนี้ทำหน้าที่เหมือนบัตรเอทีเอ็มในโลกเดิมของเขา ตราสารจะเป็นสีทอง สีเงิน และสีทองแดงตามเหรียญที่บรรจุอยู่ภายใน เพราะไม่มีใครสามารถพกเงินเป็นพันเป็นหมื่นเหรียญติดตัวได้ตลอดเวลา บัตรคริสตัลนี้จึงมักมีแต่กลุ่มชนชั้นสูงที่เป็นผู้ครอบครอง และสามารถใช้ได้ที่สถาบันออมทรัพย์ซึ่งตั้งอยู่ทั่วไป เพื่อฝากหรือถอนเงินเหรียญทอง
“เอาล่ะ ไบรอัน ตราสารคริสตัลใบนี้จะเป็นของท่านนับแต่นี้ไป”
เฟเบียนยิ้ม และยื่นตราสารคริสตัลให้หานซั่ว
“ข้าชื่อเฟเบียน เป็นสมาชิกสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ของจักรวรรดิ ถ้าในอนาคต ท่านต้องการขายอะไรล่ะก็ มาหาข้าที่สมาคมนะ นี่ที่อยู่ของข้า เก็บไว้ให้ดีล่ะ”
สมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์เป็นหนึ่งในสมาคมพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ ควบคุมโดยตระกูลบูซท์ แม้แต่หานซั่วซึ่งไม่ค่อยได้สนใจข่าวลืออะไรมากมาย ยังเคยได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับความมหัศจรรย์และน่าพิศวงของวัตถุดิบที่สมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์เป็นผู้ครอบครอง เมื่อได้ยินที่เฟเบียนพูด หานซั่วจึงเก็บตราสารไว้อย่างดีพร้อมกับยิ้ม
“ท่านเฟเบียน ยินดีที่ได้รู้จักครับ วันข้างหน้าข้าอาจมีเรื่องต้องรบกวนท่านจริง ๆ ก็ได้ แต่ตอนนี้พวกโทรลล์ป่าคงไม่กล้ามากวนใจท่านแล้ว และธุรกิจของเราก็จบลงด้วยดี ลาก่อนครับ”
หานซั่วไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขาสั่งเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก และคู่หูมนุษย์กับโครงกระดูกก็วิ่งห่างออกไปจนลับสายตา
“เอาล่ะ ทหารรับจ้างผู้กล้าทั้งหลาย เรามาเจรจาธุรกิจของเรากันต่อดีไหม?”
เฟเบียนร้องเรียกเหล่าทหารรับจ้างที่กำลังทำแผลกันอยู่ และเดินไปหาพวกเขาทันทีที่เห็นหานซั่วจากไป
………………………………………………………………………………..
ของแถม End Credits เผื่อใครอยากทบทวน ทำมากันงงนะคะ มันย้อนไปไกล เผื่อจะลืมกัน อิอิ
และเผื่อใครนึก movement ไม่ออก ก็นึกถึงลูกศรของ ยอนดู จาก การ์เดี้ยน ออฟ เดอะ กาแล็คซี่ นะคะ ?ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันทีที่ >>> เฟสบุ๊ก(0 votes) 0/10