ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
เสียงกรีดร้องแหลมสูงบาดแก้วหูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวาย จากบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายของตรอก ไม่นานนัก บีชเชอร์และนักเรียนคนอื่น ๆ ก็ออกมา พร้อมกับลากคล็อดออกมาด้วย เสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ยและดูเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ใบหน้าของไอรีนเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว เธอจ้องมองคล็อดอย่างน่ากลัว
“คล็อด เจ้าช่างน่ารังเกียจจริง ๆ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีกแล้ว! เคธี่ ไปกันเถอะ”
และเพราะเรื่องวุ่นวายนี้เอง หานซั่วจึงคิดว่าความแค้นของเขาได้รับการชำระเป็นที่เรียบร้อย จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อ เมื่อเขาเห็นไอรีนและเคธี่กำลังเดินมาอย่างรวดเร็วตรงจุดที่เขาหลบอยู่ เขาก็รีบซ่อนตัว ก่อนจะเดินกลับโรงแรมอย่างสบายใจ
เมื่อกลับถึงห้องพัก หานซั่วก็อาบน้ำ และมานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเพื่อฝึกฝนเวทมนตร์ต่อ แก่นมนตราค่อย ๆ ขยายเส้นชีพจรของเขาอย่างช้า ๆ เรื่อยไปทีละนิ้ว ๆ หานซั่วกัดฟันกรอดขณะรู้สึกราวกับหัวใจกำลังถูกบีบรัดอย่างรุนแรง แต่ก็ยังโคจรแก่นมนตราต่อไปตามหลักของ “อาณาจักรพลังเบิกทาง”
ความเจ็บปวดทรมานยากที่จะทานทนนี้ จะเกิดขึ้นระหว่างการฝึกฝนเวทมนตร์เสมอ และด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ยกระดับบุคลิกของหานซั่ว จากที่เคยเป็นเพียงคนที่อยู่อย่างหมดอาลัยตายอยากไปวัน ๆ สู่ตัวตนที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นเพราะความปรารถนาอันแรงกล้าของตัวเขาเอง หรือเพราะความสามารถ ที่ทำให้เขาทนแบกรับความเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้ หานซั่วก็เพิ่มพูนสิ่งเหล่านั้นให้มากขึ้นทั้งคู่
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนเวทมนตร์ ทั้งบุคลิกและลักษณะนิสัยของหานซั่วเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องโดยที่เขาไม่รู้ตัว เมื่อความแข็งแกร่งค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น หานซั่วที่เคยขลาดอายก็เปลี่ยนไป รวมทั้งทัศนคติในการมองสิ่งต่าง ๆ ก็แตกต่างจากความคิดที่เคยมีในตัวตนเดิมอย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นให้ได้ยิน หานซั่วหยุดฝึกฝนเวทมนตร์ทันที พร้อมกับกลั้นหายใจและเพ่งสมาธิ ทุกส่วนในร่างกายล้วนหยุดนิ่งไม่ไหวติงราวกับโดนแช่แข็งอย่างเฉียบพลัน
เสียงฝีเท้านั้นดังมาจากทางแยกที่อยู่ตอนใต้ระหว่างเมืองดรอลและป่าทมิฬ ดูจากความหนักแน่นและจังหวะของการย่ำเท้า หานซั่วสรุปได้ทันทีว่าต้องเป็นเสียงของสัตว์วิเศษบางชนิดที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ต้องเป็นสัตว์วิเศษที่มาขนาดใหญ่มากแน่ ๆ และจำนวนก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย
หานซั่วขมวดคิ้ว พลางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากโรงแรม เขาค่อย ๆ มุ่งหน้าไปยังทิศทางเสียงของกลุ่มสัตว์วิเศษเพื่อดูเชิง
เมื่อหานซั่วเดินออกมาจากโรงแรม และมาถึงยังถนนทางตอนใต้ของเมืองดรอล เงาของร่างสองร่างปรากฏขึ้นขณะกำลังวิ่งมาด้วยความเร่งรีบ เป็นร่างของพ่อมดชราผอมแห้งคนหนึ่ง กับนักธนูเอลฟ์หญิงที่มีปลายหูสีเขียว ทั้งคู่มีท่าทีตกใจเมื่อเห็นหานซั่ว ราวกับไม่คาดคิดว่าจะมีใครอยู่ตรงนั้น
“พ่อหนุ่ม เจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ?”
พ่อมดชราผอมแห้งมองหานซั่วพร้อมกับถามด้วยรอยยิ้ม
จากท่าทีระแวดระวังของพวกเขา หานซั่วก็รู้ทันทีว่าพวกเขาคงรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากทางใต้ได้เช่นกัน เขาจึงเบาใจ และค่อย ๆ โค้งคำนับ
“ท่านพ่อมด ข้าพลัดหลงกับเพื่อน พวกเขาบอกว่าจะกลับมาในอีกไม่กี่วัน ข้าจึงมารอที่นี่น่ะครับ”
พ่อมดพยักหน้าและขมวดคิ้วเชิงพิจารณา ก่อนจะหันไปคุยกับนักธนูเอลฟ์หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“บลันเช่ ไปสำรวจดูซิว่าใช่พวกหน่วยรบหมาป่าของพวกออร์คหรือเปล่า พวกนั้นชอบส่งหน่วยรบหมาป่าออกมาช่วงก่อนถึงฤดูหนาวของทุกปี ทั้งจู่โจมและปล้นสะดมตามหมู่บ้านในพื้นที่รอบนอกของจักรวรรดิ
แต่เมืองดรอลเต็มไปด้วยเหล่านักผจญภัยและทหารรับจ้างจำนวนมาก พวกออร์คไม่เคยส่งหน่วยรบหมาป่าเข้าโจมตีเมืองดรอลมาก่อน ทำไมพวกมันถึงทำตัวแปลก ๆ ในเวลาแบบนี้กันนะ? อีกอย่าง ยังเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าจะถึงฤดูหนาว!”
“ค่ะ ท่านเฟลิกซ์”
ทันทีที่ได้ยินเฟลิกซ์ พ่อมดชราพูด นักธนูเอลฟ์หญิงที่ชื่อ บลันเช่ ก็รีบมุ่งหน้าไปทางใต้ทันที เธอลอยฉิวผ่านหน้าหานซั่วไปราวกระแสลมแรงที่พัดผ่านวูบหนึ่ง
“พ่อหนุ่ม เมืองดรอลไม่ใช่สถานที่ที่สงบนัก นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วเพื่อนของเจ้าจะตามหาเจ้าเองเมื่อพวกเขากลับมา ไม่จำเป็นต้องรออยู่ตรงนี้หรอกนะ”
เฟลิกซ์มองหน้าหานซั่วด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับพยายามโน้มน้าว
“ตกลงครับ งั้นข้ากลับก่อนล่ะ”
หานซั่วตอบอย่างราบเรียบ และเริ่มออกเดินทันทีที่พูดจบ
เมื่อหานซั่วจากไป เฟลิกซ์ก็คิดใคร่ครวญขณะมองร่างของหานซั่วที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าคงคิดมากไปเอง… ไม่มีทางที่เด็กหนุ่มนั่นจะมีประสาทรับรู้ได้ดีกว่าข้า จอมขมังเวทย์แห่งลมผู้นี้หรอก!”
ระหว่างทางกลับโรงแรม หานซั่วสังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากโรงแรมใกล้ ๆ ด้วยท่าทีตระหนกตกใจ และรีบตรงไปยังถนนทางตอนใต้ด้วยความรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาเหล่านั้นก็รับรู้ถึงความผิดปกติได้เช่นกัน
“ไบรอัน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย มาด้วยกันหน่อยสิ”
หานซั่วบังเอิญเจอเข้ากับคล็อดระหว่างทาง สีหน้าเคร่งเครียดของคล็อดดูราวกับว่าเขากำลังอารมณ์เสียถึงขีดสุด
หานซั่วใจหายวูบ รู้สึกเหมือนเรื่องไม่ดีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา เขาสัมผัสได้ถึงรังสีกดดันและความกราดเกรี้ยวที่ถูกข่มเอาไว้แผ่ซ่านออกมาจากร่างของคล็อด แม้ว่าคล็อดจะมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมฟันที่ขบแน่น ก็ยังทำให้หานซั่วรู้สึกถึงอารมณ์อันแรงกล้านั้นได้อยู่ดี
หานซั่วจ้องมองคล็อดด้วยความงุนงง ขณะที่ความคิดโลดแล่นอย่างบ้าคลั่ง ในตอนนั้นเอง หานซั่วก็รู้ว่าสิ่งที่เขาทำในโรงแรมค่อนข้างยากเกินรับไหวเพราะขาดความยั้งคิด เมื่อคล็อดหยุดดื่ม เขาจึงรับรู้สภาพร่างกายตัวเอง และมั่นใจว่าสาเหตุทุกอย่างมาจากไวน์เพอร์เพิล เลย์แลนที่เขาดื่มที่โรงแรม คล็อดไม่ใช่คนโง่ ที่โต๊ะนั้นมีเพียงไอรีนและหานซั่วเท่านั้น และไอรีนก็ไม่มีวันทำอะไรแบบนี้ เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวตอนที่อยู่ดี ๆ บริกรก็ล้มลง ถึงได้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
“ได้ครับ”
หานซั่วคิดอย่างรอบคอบ และเขารู้ดีว่าสถานการณ์กำลังแย่ จึงเตรียมพร้อมรับการเล่นงานอย่างโหดร้ายของคล็อด เขาเดินตามหลังอัศวินไปช้า ๆ จนออกจากเมืองดรอล ก่อนจะมาถึงทางเดินเปลี่ยวแห่งหนึ่งในป่าทางตอนใต้ของเมืองดรอล
แสงจันทร์ส่องแสงสีนวลสะท้อนไปทั่วผืนป่า ในขณะที่เหล่าแมลงนานาชนิดส่งเสียงร้องระงมอยู่เบา ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง หูที่ไวต่อเสียงของหานซั่วได้ยินเสียงหายใจที่อดกลั้นความเกรี้ยวกราดเอาไว้ของคล็อดอย่างชัดเจน
ดูเหมือนจะตั้งใจลากหานซั่วมาอัดให้น่วม หานซั่วคิด แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเท่าใดนัก เพราะที่ผ่านมาก็เคยชินกับการถูกทุบตีมาพอสมควร และรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี การเตะต่อยธรรมดาทำอันตรายเขาไม่ได้ เขาจึงมีท่าทีค่อนข้างสงบ
เพียะ !!!!
ระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเอง เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ก็ดังขึ้น จนหานซั่วเซไปทางซ้ายก่อนจะทันได้ป้องกันตัว โชคดีที่ร่างกายของหานซั่วมีสมรรถภาพล้ำหน้ามนุษย์ธรรมดาไปไกล เขาพยายามทรงตัวให้อยู่ด้วยท่าทีงุนงง พลางนวดหน้าและส่งยิ้มที่บิดเบี้ยวให้คล็อด
“เจ้าทาสชั้นต่ำ คิดว่าตัวเองเป็นใครรึ ถึงได้กล้าคิดร้ายกับข้าแบบนี้!?”
แล้วความกราดเกรี้ยวที่คล็อดพยายามอดกลั้นเอาไว้ก็ระเบิดออกมา ใบหน้าบูดบึ้งอย่างเดือดดาลจ้องมองหานซั่ว ในขณะที่ท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส เป็นสุภาพบุรุษตามปกติที่เคยเป็น หายไปในชั่วพริบตา
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
เสียงกระหน่ำโจมตีถาโถมใส่ร่างของหานซั่วอย่างไม่หยุดยั้ง มือทั้งสองของเขากุมหัวไว้โดยไม่ยกขึ้นมาป้องกันตัวเอง ทำให้รับโทสะของคล็อดไปเต็ม ๆ ในที่สุด เขาก็ขดตัวกลมและร่วงไปกองบนพื้น ราวกับรับการโจมตีต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
“ไงล่ะ เจ็บมากใช่มั้ย? ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายง่ายนักหรอก เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือ คล็อด แอชช์ บุตรแห่ง บ๊อบ แอชช์ ผู้บังคับบัญชากองพันกริฟฟอนแห่งจักรวรรดิ ทาสโสมมอย่างเจ้าบังอาจมาคิดร้ายและทำลายความสัมพันธ์ของข้ากับไอรีน ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแสนสาหัส ก่อนจะปล่อยให้เจ้าค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
คล็อดจ้องมองหานซั่วอย่างอาฆาตมาดร้าย ในขณะที่ชักดาบยาวออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างเย็นชา และค่อย ๆ เดินเข้าไปหาหานซั่ว
ตอนนั้นเอง ที่หานซั่วเข้าใจในที่สุดว่าตนเองมักทำพลาดอย่างใหญ่หลวงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นกรณีของฟิทช์หรือบาค วิธีการของเขามักแฝงไปด้วยความสุ่มเสี่ยงอยู่เสมอ และในสถานะทาสของเขาตอนนี้ ใครก็ตามที่ฆ่าเขาคงไม่รู้สึกผิดมากมายนัก ต่อให้เป็นบาค อย่างมาก วิทยาลัยก็คงทำได้แค่ตักเตือนสองสามคำและเรียกร้องเงินค่าชดเชยอีกไม่กี่เหรียญทอง
หานซั่วเคยคิดว่าสำหรับคล็อดแล้ว อย่างมากก็คงทุบตีหรืออัดจนน่วมข้อหาที่เล่นพิเรนทร์ แต่ผลปรากฏว่าคล็อดต้องการสั่งสอนด้วยวิธีที่สะดวกกว่านั้น นอกจากจะไม่ต้องการให้เขาตายในทันทีแล้ว ยังจะให้เขาได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสก่อนตายอีก ช่างเป็นความเป็นจริงที่โหดร้ายเกินบรรยาย
ในตอนนั้นเอง ในที่สุดหานซั่วก็เข้าใจ ว่าโลกใบนี้เป็นยังไงกันแน่ ทั้งสถานภาพและยศฐาบรรดาศักดิ์ล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิต เมื่อสถานภาพของทั้งคู่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ก็ยิ่งทำให้คล็อดสามารถฆ่าหานซั่วได้ง่าย ๆ โดยแทบไม่ต้องคิด และไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ คล็อดเรียกเขามาในป่าเปลี่ยวแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้สถานภาพอันสูงส่งของตนเองต้องแปดเปื้อน แต่ต่อให้เขาฆ่าหานซั่วเสียกลางเมืองดรอล ก็อาจไม่มีใครเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นมาใส่ใจเลยก็ว่าได้
การเติบโตมีราคาแพงเสมอ หานซั่วนอนขดตัวอยู่บนพื้น พลางครวญครางเสียงดังพร้อมกับร้องขอความเมตตา ทว่าในใจกำลังเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเยือกเย็น
“ข้าจะฟันเจ้าให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ดีไหม? จะได้ปล่อยให้เจ้าร้องครวญครางจมกองเลือดตัวเองไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นแหละ ที่เจ้าจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานอย่างเต็มที่ก่อนตาย ทาสชั้นต่ำสกปรกโสโครกอย่างเจ้าไม่ควรลองดีกับอารมณ์ผู้ที่เหนือกว่าตั้งแต่แรกแล้ว”
คล็อดพูดพลางหัวเราะอย่างชั่วร้ายและเย้ยหยัน พลางยกดาบยาวในมือทิ่มเข้าที่กลางอกของหานซั่วที่ดูเหมือนสูญสิ้นเรี่ยวแรงในการป้องกันตัวเองไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องโหยหวนอย่างต่อเนื่องของหานซั่วก็เงียบลง ร่างกายที่ม้วนงอพลันขยับเขยื้อน และกลิ้งตัวไปที่เท้าของคล็อดด้วยความเร็วสูงจนทำให้คล็อดไม่ทันระวัง
ในขณะที่คล็อดกำลังจะเบี่ยงตัวหลบ เขาก็ร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บปวด เข็มโลหะจำนวนหนึ่งเสียบทะลุเท้าทั้งสองข้าง ตรึงเท้าของเขาไว้แน่นกับพื้น แล้วจู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เสียดแทงไปถึงกระดูกที่ท้องน้อย คล็อดก้มหน้าลงมองก็พบว่ามีมีดสั้นเล่มหนึ่งเสียบทะลุท้องของเขาออกมา หานซั่วยืนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาจากระยะไกล ดวงตาคู่นั้นทำให้คล็อดเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง
“ข้าคือบุตรแห่งผู้บัญชาการกองพันกริฟฟอนเชียวนะ! เจ้าทาสชาติชั่ว กล้าดียังไงมาทำร้ายข้า?”
ร่างของคล็อดสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวด้วยเสียงที่อ่อนแรงเต็มที
“ขอบคุณนะ ที่ทำให้ข้ารู้ว่าความเป็นจริงมันโหดร้ายแค่ไหน ท่าทางอวดเบ่งของเจ้าคงไม่ทำให้ข้าทำร้ายเจ้าอย่างเดียวหรอก แต่ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหานซั่วจากระยะไกล เข็มโลหะอีกหนึ่งเล่มในมือขวาของหานซั่วก็พุ่งเข้าเสียบคอหอยของคล็อดทันที ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญของคล็อดที่ดังลั่นป่า
…………………………………………………………………………………….
ติดตามช่องทางการโดเนทได้ ที่หน้าเพจ นะคะ
อัพเดทกลุ่มลับ 9 ก.ค. 60 จะลงถึงตอนที่ 80 ค่ะ ?
(0 votes) 0/10