ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปGDK ตอนที่ 51 ความสงบหลังฆ่าคน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หานซั่วฆ่าคน แต่เมื่อเทียบกับตอนฆ่าโทรลล์ป่าแล้ว ผลกระทบด้านจิตใจที่หานซั่วได้รับหลังจากสังหารคล็อดแล้วช่างหนักหนากว่ามาก
อย่างไรก็ตาม โทรลล์ป่าก็เป็นคนละเผ่าพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นหัวขโมยจอมป่าเถื่อน การที่หานซั่วฆ่าพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนล่าพวกสัตว์วิเศษ แต่กับคล็อดซึ่งแตกต่างจากพวกนั้นโดยสิ้นเชิง หานซั่วถูกกดดันให้ต้องฆ่าเขา เพราะในใจรู้ดีว่าถ้าคล็อดไม่ตาย หานซั่วก็ต้องเอาความคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้าอย่างสงบสุขโยนทิ้งไปได้เลย
ขณะมองร่างปวกเปียกของคล็อดจมอยู่ในกองเลือด หานซั่วก็รู้สึกชาไประยะหนึ่ง ในหัวใจไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ เขาไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียวตอนที่ลงมือ มีเพียงชั่ววินาทีที่เห็นคล็อดตายไปต่อหน้าต่อตาเท่านั้น ที่ในใจของหานซั่วรู้สึกประหม่าขึ้นมา
คล็อดเป็นถึงบุตรชายคนเล็กของผู้บังคับบัญชากองพันกริฟฟอนแห่งจักรวรรดิผู้ทรงเกียรติ ถ้าข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปล่ะก็ หานซั่วคงต้องตายสถานเดียว
หานซั่วจ้องมองศพของคล็อดและเคว้งไปพักหนึ่ง แล้วความตระหนกตกใจเล็กน้อยในทีแรก ก็เริ่มกลับกลายเป็นความโหดร้ายเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุด หานซั่วก็จัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเองและลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างของคล็อดด้วยสีหน้าสงบ และเริ่มรื้อค้นเสื้อผ้าของเขา หานซั่วเทเหรียญทองจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเงิน ตราสารคริสตัล และยาต่าง ๆ
หลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง หานซั่วก็เก็บไปแต่เหรียญทอง ในขณะที่วางตราสารคริสตัลกับข้าวของอื่น ๆ ของหานซั่วไว้ด้านข้าง
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กพร้อมกริชกระดูกปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหานซั่วทันทีที่เขาร่ายเวทย์เสร็จ หานซั่วค้นหาพื้นที่โล่งเตียนเปล่าเปลี่ยวจนเจอ แล้วมนุษย์กับโครงกระดูกก็ช่วยกันใช้มีดสั้นและกริชกระดูกขุดหลุมลึกโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที หลังจากฝังร่างของคล็อดลงในหลุมเรียบร้อยแล้ว หานซั่วก็ค่อย ๆ ทำความสะอาดคราบเลือดที่คล็อดทิ้งไว้ แม้กระทั่งพยายามกลบร่องรอยตอนที่เขาร่วงลงไปกองกับพื้นและตอนกลิ้งตัวไปมา
หานซั่วเดินวนเวียนไปทั่วป่าอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าไม่หลงเหลือหลักฐานใด ๆ ไว้อีก เขาก็ยังไม่ได้กลับเข้าเมืองดรอลในทันที แต่กลับอ้อมไปยังทางตอนเหนือของเมือง เพื่อขุดหลุมลึกฝังข้าวของของคล็อดไว้อีกแห่งและในที่สุด เขาก็กลับเข้าเมืองดรอลโดยใช้ถนนอีกเส้นหนึ่ง
เขาทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้ใดเลยระหว่างทางที่กำลังเดินเข้าป่าไปพร้อมคล็อดเพราะคล็อดเองก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว
เมื่อหานซั่วฆ่าเขาและฝังร่างของเขาไว้อย่างดี ถ้าว่ากันตามหลักแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครมาพบเข้า หรือต่อให้มีใครบังเอิญพบศพของคล็อดอย่างไม่ตั้งใจหานซั่วก็เอาของมีค่าออกไปจากศพของเขาหมดแล้ว โดยจัดฉากให้ดูเหมือนเป็นการฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ ซึ่งคดีแบบนี้มักเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ในเมืองดรอลที่อาจบดบังสาเหตุการตายที่แท้จริงไปได้บ้าง
และเพื่อป้องกันปมใด ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก หานซั่วก็ปลีกตัวเองให้พ้นจากพื้นที่แวดล้อมของโรงแรมที่ไอรีนและคนอื่น ๆ พักอยู่ไปอีก 2 วัน ทว่ายังคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหล่านักเรียนสาขาเวทมนตร์ธาตุแสงอยู่เงียบ ๆ และพบว่าทั้งไอรีนและบีชเชอร์ ไม่มีใครตามหาคล็อดเลยสักคน ราวกับว่าเพราะคล็อดทำผิดกับพวกเขาก่อน จึงไม่มีใครอยากยุ่งด้วยอีกต่อไป
คล็อดเป็นเพียงผู้เดียวที่เข้าใจร่างกายของตัวเองดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะพยายามอธิบายภายใต้สถานการณ์กระอักกระอ่วนนั่นมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้น้อยคนนักที่จะเชื่อคำพูดของเขา และเมื่อดูจากระยะเวลาที่คล็อดมาตามหาเขาเพราะรู้เรื่องยากระตุ้นกำหนัดแล้วจึงสันนิษฐานว่าคล็อต้องรีบออกมาแก้แค้นทันทีที่ฟื้นตัว โดยไม่มีเวลาอธิบายเหตุผลนั้นกับทั้งไอรีนหรือบีชเชอร์
ภายหลังเฝ้าสังเกตการณ์มาได้ 2 วัน หานซั่วก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายและระวังตัวน้อยลงเมื่อเห็นว่าทั้งไอรีนและบีชเชอร์ไม่สนใจจะตามหาคล็อดจริง ๆ ขณะมัวแต่สนใจจะใช้เงินขณะแวะไปตามร้านขายอาวุธ ร้านขายเครื่องป้องกัน ตลอดจนร้านขายยาต่าง ๆ
เมื่อพลบค่ำ หานซั่วก็ไม่ออกไปจับตามองไอรีนและบีชเชอร์อีก เขาเก็บตัวอยู่ในห้องพักและฝึกฝนเวทมนตร์อยู่เงียบ ๆ เพื่อขยายเส้นชีพจรและเพิ่มความยืดหยุ่นของมัน
หานซั่วนั่งอยู่ปลายเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า เหงื่อจำนวนมากไหลโซมกายตั้งแต่หน้าผากลงมา เส้นเอ็นตามส่วนต่าง ๆ กระตุกเป็นจังหวะราวกับมีหนอนจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนตัวอยู่ใต้ผิวหนัง ดูน่าสยดสยองยิ่งกว่ารอยสักที่ชั่วร้ายที่สุด
ระหว่างกระบวนการนี้เองหัวของหานซั่วก็สั่นเทาอย่างเฉียบพลัน ในขณะที่เขาจมดิ่งสู่ภวังค์ที่ไร้ซึ่งความรู้สึก ชั่วขณะนั้นเองที่เขาหลงลืมทั้งตัวเองและเวลา ราวกับเป็นเพียงรูปปั้นไร้ชีวิต มีเพียงรัศมีสีดำจาง ๆ ที่โคจรวนเวียนอยู่ภายใต้ผิวหนัง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูอย่างบ้าคลั่งก็ดังระรัวขึ้นและปลุกหานซั่วให้ตื่นจากภวังค์ เมื่อรวบรวมสติได้ เขาก็รู้ตัวว่าตัวเองเข้าสู่ห้วงจิตปีศาจโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูรัว ๆ ดังไม่หยุด หานซั่วนึกรำคาญที่การฝึกของเขาถูกขัดจังหวะเขาหยิบเอาผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งขึ้นมาห่อตัวไว้ และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงระอา
“มาแล้ว มาแล้ว!”
เมื่อประตูเปิดออก หานซั่วก็แทบตกตะลึงสุดชีวิต สีหน้ารำคาญเมื่อครู่จางหายไปทันทีแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้าง พร้อมกับพูดอย่างดีอกดีใจ
“เอ๋ พวกท่านน่ะเอง ข้ารอตั้งนานแน่ะ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมา”
เบื้องหน้าประตู แฟนนี่และลิซ่าดูโทรมเล็กน้อยในสภาพที่ผมค่อนข้างยุ่งเหยิง พวกเธอถือของหลายอย่างในมือ และแบกกระเป๋าสัมภาระไว้บนหลัง ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ซึ่งแปลว่าพวกเธอเพิ่งกลับออกมาจากป่าทมิฬ
“ไบรอัน เจ้ากลับมาถึงเมืองดรอลตั้งนานแล้วนี่ พวกเราเป็นห่วงแทบตาย อ้อ แล้วเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะถึงได้มาพักห้องหรูหราได้แบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าของโรงแรมยืนยันเองล่ะก็ ให้ตายข้าก็ไม่เชื่อหรอก ว่าคนที่พักอยู่ห้องนี้คือเจ้า”
แฟนนี่กวาดตามองไปทั่วร่างของหานซั่วพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจิกกัด
“ไบรอัน วันที่เจ้าหายตัวไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ? เจ้าไม่กลับมาเลยหลังจากผ่านไปตั้ง 2 วัน ข้านึกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าซะแล้ว”
ลิซ่าพูด
“ข้าหลงทางน่ะ กว่าข้าจะกลับมาเจอจุดตั้งแคมป์เดิม พวกเจ้าก็ออกไปกันนานแล้ว แล้วข้าก็หาพวกเจ้าไม่พบ ก็เลยตรงกลับมาที่เมืองดรอลเพื่อรอพบพวกท่านนี่แหละ ดีจังที่ทุกคนปลอดภัย วิเศษไปเลย”
หานซั่วยิ้มเล็กน้อยขณะอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
แฟนนี่มองสำรวจทั่วร่างของหานซั่วพลางใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับลิซ่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ลิซ่า รีบไปจัดการเรื่องจองห้องพักกับอาจารย์จีนและเพื่อน ๆ คนอื่นเถอะ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับไบรอันนิดหน่อย”
ลิซ่ามองแฟนนี่ด้วยความสงสัย
“อาจารย์แฟนนี่คะ เรื่องนั้นก็ผ่านไปได้สักพักแล้ว ไบรอันช่วยชีวิตพวกเราไว้ด้วย… ท่านยังแค้นเขาอยู่อีกเหรอคะ?”
หน้าของเธอแดงเรื่อขึ้นทันทีที่ได้ยินลิซ่าพูดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นขึ้นมาอีก พร้อมกับตอบไปอย่างเคือง ๆ
“เปล่า ข้ามีเรื่องอื่นต้องคุยกับเขาต่างหากล่ะ ลงไปเลือกห้องให้ข้าเถอะ ข้าคุยไม่นานหรอก”
ลิซ่าไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินแฟนนี่อธิบาย แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมเสียงบ่นอุบอิบ
ทันทีที่ลิซ่าออกไปแล้ว แฟนนี่ก็จ้องมองหานซั่วอีกครั้ง พร้อมกับจ้องเข้าไปในห้องที่เธอเคยพัก ดูเหมือนจะยังจำได้ดีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนั้นเมื่อแก้มของเธอแดงเรื่อขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพูดด้วยความไม่พอใจ
“ไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปหน่อยรึ?”
“โอ้ อาจารย์แฟนนี่ เชิญเลยครับ”
หานซั่วรีบถอยหลังและหมุนตัวหลบไปยืนด้านข้างทันที เมื่อแฟนนี่ก้าวเข้ามาในห้อง เขายื่นหัวออกไปสำรวจโถงทางเดินอยู่ครู่หนึ่ง และรีบปิดประตูด้วยความเร่งรีบ ราวกับกำลังรู้สึกผิด
“ทำไมต้องทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ขนาดนั้นด้วยล่ะ ถามหน่อยเถอะ เกิดอะไรขึ้นในวันที่เจ้าหายตัวไปกันแน่? แล้วเจ้ามีเงินเหรียญทองมาเช่าห้องพักนี่อยู่ได้ยังไงกัน”
แฟนนี่ยิงคำถามใส่หานซั่วทันทีที่เธอนั่งลงบนเตียง พลางกวาดตามองไปรอบห้อง
หลังจากสังหารคล็อดแล้ว ความรู้สึกของหานซั่วก็ยังเยียวยาได้ไม่เต็มที่ เมื่อได้ยินแฟนนี่ถามจึงประหลาดใจเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบายพร้อมกับหัวเราะเจื่อน ๆ
“วันที่ข้าออกไป ข้าแอบไปฝึกเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายอยู่น่ะครับ แล้วบังเอิญไปเจอเข้ากับหมาป่าคมวายุที่บาดเจ็บมาตัวหนึ่ง ข้าพยายามไล่ตามมันไป จนในที่สุดก็ฆ่ามันได้ตอนที่มันไม่ทันระวังตัว แต่พอกลับมาถึงจุดตั้งแคมป์ที่เดิม ข้าก็รีบมุ่งหน้ากลับมาที่เมืองนี้ทันทีที่เห็นว่าพวกท่านออกเดินทางไปก่อนแล้ว
พอกลับมาถึงเมืองดรอล ข้าก็ขายผลึกมนตรากับหนังของหมาป่าคมวายุตัวนั้นไป ถึงได้เงินเหรียญทองนี่มา และข้าก็คิดว่าพวกท่านน่าจะเลือกพักที่โรงแรมนี้อีกหลังจากกลับมา ข้าก็เลยจองห้องนี้ไว้รอพวกท่านนี่แหละ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ”
แฟนนี่ไม่ได้ตอบทันทีที่หานซั่วพูดจบ ในขณะที่เอาแต่ครุ่นคิดและจับจ้องหานซั่วอย่างไม่วางตา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
“ไบรอัน เจ้าเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ๆ เลยนะเนี่ย!”
เขาสะดุ้งและพยายามเค้นรอยยิ้มที่ดูจริงใจที่สุด พลางเกาหัว
“จริงเหรอครับ? ข้าเปลี่ยนไปตรงไหนเหรอ?”
“เยอะมากเลย ทั้งรูปลักษณ์ของเจ้า ร่างกาย ความสูง หรือแม้แต่บุคลิกและท่าทางการพูดแตกต่างไปจากเจ้าคนเดิมที่ข้าเคยรู้จัก ดูเหมือนเจ้าจะเป็นคนเดียวที่เปลี่ยนไปมากที่สุดหลังเผชิญบททดสอบในป่าทมิฬนะ นักเรียนทุกคนเริ่มเปลี่ยนไปบ้างก็แค่ตอนเจอเข้ากับสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ใครจะไปคิดว่าเจ้ากลับกลายเป็นคนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดแบบนี้ล่ะ? น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
แฟนนี่จ้องมองหานซั่วอย่างงุนงงเกินจะเอ่ย พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หานซั่วรู้ดีว่าช่วงเวลาระหว่างการเดินทางท่องไปในป่าทมิฬ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวของเขาส่งผลต่อทัศนคติที่เขามีต่อสิ่งต่าง ๆ และความเปลี่ยนแปลงนี้เองที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่งและอันตรายต่าง ๆ นานาที่เขาได้ประสบพบเจอ …แม้แต่หลังจากการฆ่าคล็อดด้วยมือตัวเองในวันก่อน ซึ่งภาพนั้นยังคงสะท้อนตามหลอกหลอนอยู่ในหัว หานซั่วก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายของโลกใบนี้ และเพราะสาเหตุนั้นเอง ที่ทำให้เขาทั้งเย็นชาและโหดร้ายมากขึ้น
“อาจารย์แฟนนี่ ท่านทิ้งโน้ตไว้ให้ข้า บอกว่าเจอเข้ากับอสูรกินคน 2 ตนนั่น สุดท้ายแล้วท่านได้จัดการพวกมันรึเปล่าครับ?”
หานซั่วหัวเราะเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ และเริ่มถามแฟนนี่กลับถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาหลังจากนั้น
“แน่ล่ะ เจ้าอสูรกินคนสองตนนั้นไล่ตามเราไม่เลิก พวกมันถึงขั้นสมรู้ร่วมคิดกับพวกโทรลล์ป่าเพื่อโจมตีพวกเราด้วยนะ ซึ่งในที่สุดก็หนีพวกมันพ้นอยู่หรอก แต่ก็ต้องเบี่ยงจากเส้นทางเดิมไปมากพอดูเพื่อเลี่ยงอสูรกินคนกับโทรลล์ป่าพวกนั้น เพราะแบบนี้แหละ พวกเราถึงกลับมาถึงเมืองดรอลช้าขนาดนี้”
แฟนนี่ตอบ
หานซั่วพยักหน้าและกำลังจะอ้าปากพูด แต่อยู่ ๆ เขาก็นิ่วหน้าทันทีและผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว พลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ดูเหมือนพวกเราจะมีปัญหาแล้วล่ะ”
“ทุกคน ฟังให้ดี! มีหน่วยรบหมาป่าของพวกออร์คโผล่มาที่ทางใต้ของเมืองดรอล และกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมรบ!”
เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นทันทีจากถนนข้างโรงแรม เพื่อเตรียมรับมือกับการรุกรานอย่างเฉียบพลันของหน่วยรบหมาป่าของพวกออร์ค
……………………………………………………………………………….
(0 votes) 0/10