ตอนที่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นพลังของดาทาร่าที่ซ่อนเร้นอยู่ในเนตรปีศาจสีม่วง และผ้าคาดตาก็น่าจะมีความสามารถในการผนึกพลังบางอย่างเอาไว้ หานซั่วรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก พลางพยายามเพ่งมองพินิจพิจารณาผ้าคาดตาตลก ๆ บนหัวของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก หวังว่าจะพบเบาะแสอะไรสักอย่างแต่อย่างไรก็ตาม หานซั่วก็พบว่าความพยายามของเขานั้นสูญเปล่า เพราะเขาไม่สามารถพบสิ่งผิดปกติใด ๆ ของเนตรปีศาจสีม่วงนั้นได้อีกเลยเมื่อมันถูกผ้าคาดตาคาดทับไว้ นอกเหนือจากอัญมณีต่าง ๆ และหยกเม็ดงามที่ส่องแสงวาวระยับไปทั่วทั้งเคหาสน์ ก็ไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูดใจพอให้พิจารณาอีก เมื่อหานซั่วไม่รู้สึกถึงอันตรายใด ๆ แล้ว เขาก็ลุกขึ้นไปตามโทรลล์นักบวชชราให้เข้ามาเมื่อโทรลล์นักบวชชราเข้ามาแล้ว
สายตาของมันก็จับจ้องไปยังรูปสลักหินของดาทาร่าทันที และเมื่อเห็นว่าเนตรปีศาจสีม่วงหายไป มันก็ตกใจและรีบถามออกไปด้วยความตื่นตระหนก“อะไรกัน… เกิดอะไรขึ้นนี่? ทำไมเนตรปีศาจสีม่วงที่ท่านเทพดาทาร่าทิ้งไว้ให้ถึงได้หายไปล่ะ?”หานซั่วใช้มือชี้ไปยังเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก ก่อนจะยิ้มเจื่อน ๆ พลางอธิบาย“เนตรปีศาจนั่นถูกเทพดาทาร่าของโลกนี้ยึดไปเรียบร้อยแล้วล่ะ เห็นผ้าคาดตาบนตาซ้ายนั่นมั้ย?”โทรลล์นักบวชชราสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินที่หานซั่วพูด แล้วมันก็หันมามองเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กอย่างตกตะลึง“ช่างน่ายินดี น่ายินดีจริง ๆ ท่านเทพดาทาร่า ! เผ่าของข้าปกปักษ์รักษาเนตรปีศาจสีม่วงตามความปรารถนาสุดท้ายของท่านมาอย่างยาวนาน บัดนี้เนตรปีศาจสีม่วงได้หวนคืนสู่ท่านแล้ว เผ่าของข้าบรรลุภารกิจที่ท่านมอบหมายให้เป็นอันสำเร็จแล้ว”“นอกเหนือจากเนตรปีศาจสีม่วงนี่แล้ว
พวกเจ้ายังมีของสิ่งอื่นที่จะนำมาบรรณาการเทพดาทาร่าอีกรึเปล่า?”หานซั่วคิด ก่อนจะจ้องมองโทรลล์นักบวชชราพร้อมกับถามคำถามโทรลล์นักบวชชรานิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดไปครู่หนึ่งพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น แล้วมันก็ส่ายศีรษะ“พวกเราเพียงแต่เฝ้ารักษาเนตรปีศาจสีม่วงตามความปรารถนาของท่านเทพ แต่นอกจากนี้แล้ว สมบัติต่าง
ๆ เหล่านี้ก็มอบให้ท่านทั้งหมดเช่นกัน”“ดีมาก ดีจริง ๆ” หานซั่วพยักหน้าเชิงตอบรับ“พวกเจ้าออกไปกันก่อน แค่ครู่เดียว แล้วท่านเทพดาทาร่าจะออกไปปรากฏตัวเพื่อชี้นำพวกเจ้า”แล้วโทรลล์นักบวชชราก็ถอยหลังออกไปจากเคหาสน์อย่างนอบน้อม ในขณะที่หานซั่วเริ่มรูดเอาทรัพย์ทุกอย่างที่อยู่ภายในเคหาสน์หลังนั้น แล้วทองคำ
อัญมณี รวมทั้งหยกต่าง ๆ ที่วางกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นก็ค่อย ๆ หายเข้าไปในแหวนมิติของหานซั่วทีละชิ้น ๆ เขาลองประเมินค่าคร่าว ๆ ของสิ่งต่าง ๆ ที่เก็บลงไป ซึ่งคาดว่าน่าจะมีราคาหลายหมื่นเหรียญทองเลยทีเดียว ทั้งหมดเป็นของที่เหล่าโทรลล์ป่านำมาเซ่นบรรณาการต่อเทพปีศาจดาทาร่าหลังจากที่ขโมยจากผู้อื่นมาอีกต่อหนึ่ง
หานซั่วปล่อยวางสิ่งของหนัก ๆ ไว้ก่อนชั่วคราว และยังไม่งัดอัญมณีที่ฝั่งไว้ในกำแพงไม้ออกมา เพียงแต่เน้นเก็บเครื่องประดับเพชรพลอย ทองคำ และหยกที่อยู่บนพื้นมาเป็นของตัวเองก่อน จนในที่สุดก็เริ่มรู้สึกว่าควรหยุด และพอเพียงเท่านั้นก่อนนอกเหนือจากของประดับโบราณชิ้นใหญ่และอัญมณีที่ฝังอยู่ในกำแพงแล้ว เพชรพลอยมีค่ามากมายหลายชิ้นก็ถูกเก็บไปไว้ในแหวนมิติของหานซั่วเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างไรก็ตาม ความสามารถในการจุสิ่งของของแหวนมิติก็มีจำกัด อีกทั้งยังมีของอย่างอื่นที่ถูกเก็บไว้ในนั้นอยู่ก่อนแล้วด้วยจำนวนหนึ่ง ทำให้หานซั่วเพียงกอบโกยเอาของมีค่าในเคหาสน์หลังนั้นได้เพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ราวกับว่าเหล่าโทรลล์ป่าจะมีผลพลอยได้จากการปล้นชิงทรัพย์ที่สั่งสมความมั่งคั่งมาอย่างยาวนานหลายต่อหลายปีและในเมื่อเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กกลายเป็นเทพปีศาจดาทาร่าของเหล่าโทรลล์ป่า หานซั่วก็เริ่มครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง เพราะเขาจะสามารถควบคุมสั่งการเหล่าโทรลล์ป่าให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการโดยอาศัยประโยชน์จากฐานะตัวตนของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้กังวลว่าสิ่งของในเคหาสน์หลังนั้นจะอยู่ดี ๆ ก็หายไป เพราะที่นั่นค่อนข้างปลอดภัยทีเดียว และไม่ว่ายังไง หานซั่วก็ต้องกลับมายังสถานที่แห่งนั้นอีกครั้งเพื่อสร้าง ผีดิบธาตุไม้ชั้นยอด อยู่แล้ว
เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรเดิมที โทรลล์ป่าเป็นเผ่าพันธุ์ในป่าทมิฬที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ไปทั่วทุกหนแห่ง และด้วยตัวตนของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กในตอนนี้ หานซั่วก็สามารถเดินกร่างภายใต้ร่มเงาอิทธิพลของมันและสั่งการเหล่าโทรลล์ป่าได้ตามต้องการ แต่สิ่งเดียวที่เขายังลังเลอยู่คือ… จะสั่งให้พวกโทรลล์ทำอะไรได้บ้าง?หานซั่วคิดไปคิดมาจนเริ่มปวดหัว
โทรลล์ป่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ละโมบโลภมากและชื่นชอบที่จะลักขโมยและปล้นทรัพย์โดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หานซั่วไม่รู้ว่าจะควบคุมพวกมันได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกมันเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กคือเทพปีศาจดาทาร่าที่พวกมันเคารพบูชา หานซั่วก็คงจะไม่สนใจ และฆ่าพวกมันทิ้ง เพื่อชิงเอาทรัพย์สินทุกอย่างที่พวกมันมีทั้งหมดไปเลยก็ยังได้ัอย่างไรก็ตาม ในเมื่อสถานะของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเป็นเช่นนี้ หานซั่วก็ใช้ประโยชน์จากมันได้ โดยไม่ต้องเสียแรงเสียเลือดเนื้อกันสักเท่าไรนัก หานซั่วครุ่นคิดจนหัวแทบระเบิด แต่ในเมื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยขอบลักขโมยไม่ได้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ก็เหลืออยู่เพียงอย่างเดียว คือผู้ที่พวกมันปล้น หากพวกมันเปลี่ยนเป้าหมายไปยังเผ่าพันธุ์ที่เท่าเทียมกันอย่างพวกก็อบลิน อสูรกินคน
หรือแม้แต่กองทัพของอริราชศัตรูแห่งจักรวรรดิ เรื่องร้ายอาจจะกลายเป็นดี ก็เป็นได้เมื่อหานซั่วลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
เขาก็ออกไปจากเคหาสน์หลังนั้นพร้อมกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก หานซั่วใช้พลังจากปีศาจปฐมภูมิทั้ง 3 ตนเพื่อตรวจตราดูบริเวณรอบ ๆ โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีโทรลล์ป่านักรบยืนยามอยู่ตามจุดต่าง ๆ เมื่อลงมาแล้ว หานซั่วก็เริ่มเอ่ยปากออกคำสั่ง“เทพดาทาร่าผู้ยิ่งใหญ่เพิ่งเดินทางมายังโลกใบนี้ และยังไม่คุ้นเคยกับสภาพการณ์ความเป็นไปในปัจจุบันของโลก เทพดาทาร่าจึงต้องการสร้างความคุ้นเคยกับป่าทมิฬแห่งนี้ ก่อนที่จะมาทำนายชี้แนะอนาคตของพวกเจ้าต่อไป ระหว่างนี้
ก็ห้ามปล้นสะดมพวกคนแคระอีก ท่านเทพดาทาร่าต้องการให้พวกนั้นรอดชีวิตและอยู่อย่างปกติสุขแม้จะมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของโทรลล์นักบวชชรา แต่มันไม่กล้าที่จะส่งสัยและเอ่ยถามหานซั่ว มันจึงทำได้เพียงก้มหน้าถามบางอย่างออกมาด้วยความนอบน้อม“ท่านเทพฯ ต้องการให้ข้าส่งนับรบออกไปช่วยท่านสำรวจพื้นที่โดยรอบหรือไม่?“ไม่จำเป็น เทพดาทาร่าและข้าจะอาศัยอยู่ในเผ่าของเจ้าต่อไปอีกสัก 2-3 วัน ส่วนพวกเจ้าก็ใช้ชีวิตกันตามปกติและเฝ้ารอไปก่อนก็แล้วกัน”หานซั่วไม่ได้เดินทางโดยใช้แพไม้ของพวกโทรลล์อีก แต่กลับเดินทางออกไปพร้อมกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเพียงลำพังโดยที่ไม่มีพวกโทรลล์คอยติดตามหลังจากออกมาจากอาณาเขตของสถานที่แห่งนั้น หานซั่วก็ไม่ได้กลับไปยังสุสานแห่งความตายทันที แต่กลับพาเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กสำรวจพื้นที่โดยรอบตั้งแต่ที่หานซั่วต้องการสร้างผีดิบชั้นยอดแห่งธาตุทั้ง 5 เขาก็ไม่คิดที่จะทิ้งสถานที่อันเป็นแหล่งก่อกำเนิดของแดนป่าสัมบูรณ์นี้ไปง่าย ๆ ซึ่งเมื่อสำรวจแล้ว นอกจากกลุ่มโทรลล์ป่าที่ยืนยามอยู่หน้าเคหาสน์ไม้หลังนั้น และต้นไม้ใบหญ้าที่เจริญงอกงามอย่างหนาแน่นจนน่าอัศจรรย์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอื่นอยู่อีกหลังจากปลดปล่อยปีศาจปฐมภูมิออกไปลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบ ในที่สุดหานซั่วก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่จะคิดหาทางกลับไปยังสุสานแห่งความตายหานซั่วเฝ้ามองสิ่งต่าง ๆ รอบข้างอย่างใกล้ชิดไปตลอดทางโดยอาศัยพลังจากปีศาจปฐมภูมิ ซึ่งหานซั่วจดจำเส้นทางได้ขึ้นใจแล้ว จึงทำให้เขาไม่ได้ข้ามแม่น้ำกลับไปตามทางเดิมโดยทันที แต่เขากลับเดินไปตามน้ำอย่างเอื่อยเฉื่อย และเมื่อผ่านไปได้ครึ่งทางก็เริ่มรู้สึกหิว พลางมองไปยังปลาแปลก ๆ ที่แหวกว่ายไปมาอย่างร่าเริงในน้ำใสสะอาดแห่งนั้น ทันใดนั้นเอง
ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา แล้วคมมีดพิชิตมารก็พุ่งลอยตัวออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะจมลงไปในน้ำตามคำสั่งของหานซั่ว และลอยกลับมายังมือของเขาพร้อมด้วยปลาตัวใหญ่อีก 2 ตัวในขณะที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเองก็หายเข้าป่าไปพร้อมกับกริชกระดูกในมือของมันตามคำสั่งของหานซั่ว และกลับมาพร้อมไม่สำหรับก่อฟืนกองหนึ่ง หานซั่วรีบก่อไฟและสร้างเตาย่างชั่วคราวขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว เมื่อหานซั่วจุดไฟเรียบร้อย เขาก็วางปลาทั้ง 2 ตัวไว้บนโครงไม้ที่สร้างขึ้นสำหรับย่าง เขาหยิบเอาผงเครื่องเทศออกมาจากแหวนมิติ และเริ่มโรยลงบนปลา ก่อนที่กลิ่นหอมน่าเย้ายวนใจตลบอบอวลไปทั่วทันใดนั้นเอง เงาดำเงาหนึ่งก็พุ่งลงมาจากฟ้า พร้อมด้วยกระแสลมแรงที่พัดเสื้อผ้าของหานซั่วจนปลิว ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นแสบจมูก จนแม้แต่หานซั่วเองก็รู้สึกขยะแขยง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างโกรธเกรี้ยว อยู่ดี
ๆ เงาดำนั้นก็พุ่งตัวจากเบื้องล่างกลับขึ้นไปยังบนฟ้าอีกครั้ง“เจ้านกอุบาทว์เอ๊ย น่าขยะแขยงชะมัด ! ”หานซั่วก่นด่าเสียงดัง ก่อนจะพลิกด้านของปลาที่ใกล้จะสุกดีแล้วให้กลับเป็นอีกด้านหนึ่งตอนนั้นเอง เงาดำนั้นก็พุ่งตัวกลับลงมาอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงแทรกตัวผ่านอากาศดังลั่น จนมาอยู่เหนือศีรษะของหานซั่วอย่างไม่ไกลนัก และหานซั่วที่เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ได้เห็นเงาดำนั้นได้อย่างชัดเจนเต็มสองตา มันคือฮาร์พี
สัตว์วิเศษที่มีร่างเป็นนกอินทรีย์
และมีใบหน้าของผู้หญิงที่หน้าตาอับลักษณ์อย่างยิ่ง
ทั้งฮาร์พีและอสรพิษน้ำลึกต่างเป็นสัตว์วิเศษระดับ 3 แม้มันจะมีใบหน้าของมนุษย์ แต่มันก็ไม่สามารถออกเสียงของมนุษย์ได้ ส่วนกลิ่นเหม็นน่าขยะแขยงที่โชยออกมาจากร่างกายของมันก็มาจากการที่มันชอบไปคุ้ยเขี่ยคลุกคลีกับศพมนุษย์ ใครก็ตามที่เผลอมองเห็นมันเข้า มันจะไล่ล่าเหยื่อตนนั้นของมันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสบโอกาสเหมาะ และใช้กลิ่นเหม็นของร่างกายทำให้ผู้นั้นเสียสมาธิ ก่อนจะใช้กรงเล็บคนกริบของมันฉีกกระชากศีรษะให้ขาดหลุดออกจากร่าง และค่อย
ๆ กินในป่าทมิฬแห่งนี้ ถือเป็นเรื่องยากมากทีเดียวที่จะหลบหนีจากสายตาของฮาร์พีไปได้ เพราะความเร็วและร่างกายที่คล่องแคล่วว่องไวของมัน หานซั่วมองไปยังฮาร์พีตนนั้นด้วยสายตาเยือกเย็นและบาดลึกถึงกระดูก ก่อนจะพ่นลมและพูดอย่างดูถูก“หึ… อยากตายนักใช่มั้ย?”หานซั่วยังคงยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ทำการย่างปลาเมื่อครู่ และเพิกเฉยต่อการโจมตีแบบลวง ๆ ของฮาร์พีที่กำลังบินวนไปวนมาอยู่เหนือหัวของเขาอย่างสิ้นเชิง แม้แต่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็ยืนถือกริชกระดูกในมืออย่างกระวนกระวายใจ รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออยากรีบจัดการเจ้าฮาร์พีน่ารำคาญตนนั้นให้ร่วงเสียเหลือเกิน แต่แล้วมันก็ล้มเลิกความคิดทันทีที่หานซั่วพยายามปลอบให้มันสงบตอนนั้นเอง ก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากระยะไกล ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มนักผจญภัย เพราะพวกเขามีทั้งนักเวทย์ นักธนู
และนักรบ รวมกันประมาณ 6 คน ซึ่งกำลังก่นด่าสาปแช่งขณะเฝ้ามองฮาร์พีที่บินฉวัดเฉวียนเล่นไปมาอยู่เหนือหัวด้วยเสียงแผ่วเบาหานซั่วจับจ้องไปยังฮาร์พีตนนั้นและวางแผนจะจัดการกับมัน เขารู้ทันทีว่ากลุ่มเหยื่อเป้าหมายเดิมของฮาร์พีต้องเป็นกลุ่มคนเบื้องล่าง ตัดสินจากเสียงก่นด่าของพวกนั้น แต่ฮาร์พีกลับเปลี่ยนเป้าหมายเพราะเห็นหานซั่วยืนอยู่คนเดียว จึงคิดจะฆ่าเขาก่อนนักดาบคนหนึ่งรับรู้ถึงตัวตนของหานซั่วผ่านกลิ่นหอมน่าอร่อยของปลาที่กำลังย่างจนสุก เขาใช้มือชี้ไปทางหานซั่ว เพื่อบอกให้เหล่าสหายร่วมทางทั้ง 6 คนที่มีทั้งหญิงและชายจ้องมองไปยังทิศทางนั้นทันที
…………………………………..ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>>(0 votes) 0/10