ตอนต่อไป
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1 หัวใจปีศาจไม่เคยเกรงกลัวต่อความตาย
Cr. Coffee Prince
“ฟางหยวน ส่งวิญญาณกาลเวลามา แล้วข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างรวดเร็ว!”
“ปีศาจเฒ่าฟาง หยุดดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ได้แล้ว วันนี้กองกำลังผู้พิทักษ์ความยุติธรรมทั้งหมดจะร่วมกันกำจัดมารร้ายเช่นเจ้า ที่นี่ถูกวางค่ายกลเอาไว้หมดแล้ว เวลานี้เจ้าไม่สามารถหลบหนีไปที่ใดได้อีก!”
“ฟางหยวน เจ้าปีศาจชั่ว เจ้าสังหารมนุษย์นับสิบล้านคนเพื่อบ่มเพาะวิญญาณกาลเวลา เจ้าช่างเป็นภัยพิบัติของมวลมนุษย์อย่างแท้จริง เจ้าคนบาป!”
“เจ้าปีศาจร้าย สามร้อยปีมาแล้วที่เจ้าสร้างความอัปยศให้แก่ข้า เจ้าชิงกายเนื้อของข้าไป สังหารครอบครัวของข้าถึงเก้ารุ่น จนถึงบัดนี้แม้ว่าข้าจะสามารถกัดเนื้อดื่มเลือดของเจ้าได้ มันก็ยังมิเพียงพอต่อความคับแค้นที่อยู่ในอกของข้า แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”
ฟางหยวนสวมชุดคลุมสีเขียวเข้มที่ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมทั้งเส้นผมที่ยุ่งเหยิงกับเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนร่างกาย ในขณะนี้เขากำลังจ้องมองไปรอบๆ
ชุดคลุมสีเขียวที่เปื้อนเลือดพลิ้วไหวไปตามแรงลมราวกับธงแห่งสงครามที่โบกสะบัดพัดพลิ้วอยู่ท่ามกลางกองซากศพ
เลือดสดๆหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นเพียงชั่วครู่ แต่พื้นดินใต้เท้าของเขากลับถูกอาบย้อมไปด้วยของเหลวสีแดงชาดอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ศัตรูล้อมกรอบเขาเอาไว้ในทุกด้าน
มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะต้องตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
ฟางหยวนเข้าใจสถานการณ์ของเขาเป็นอย่างดี แต่แม้กระนั้นการแสดงออกบนใบหน้าของเขาก็ยังคงสงบและเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง
สายตาของเขานิ่งและลึกลับราวกับบ่อน้ำลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด
ด้านกองกำลังผู้พิพากษาที่ล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ในเวลานี้ มิใช่เพียงจิ้งจอกเฒ่ามากเล่ห์กลแต่ยังรวมไปถึงวีรบุรุษหนุ่มสาวที่พรั่งพร้อมไปด้วยพรสวรรค์ บางคนกำลังคำราม บางคนกำลังเย้ยหยัน และบางคนก็กำลังก่นด่าสาปแช่ง
แต่อย่างไรก็ตามพวกเขากลับมิได้เคลื่อนไหว และเพียงจ้องมองฟางหยวนอยู่อย่างระแวดระวังตัวเท่านั้น
หกชั่วโมงผ่านไปกับช่วงเวลาตึงเครียดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ท้องฟ้ายังคงมืดมิดกระทั่งแสงแรกแห่งรุ่งอรุณได้กลับมาเยือนอีกครั้ง มันจึงช่วยไม่ได้ที่สถานที่แห่งนี้จะลุกเป็นไฟราวกับอยู่ในขุมนรกอเวจี
อย่างไรก็ตามฟางหยวนที่สงบนิ่งราวกับเป็นประติมากรรมหินมาตลอด ขณะนี้กลับเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
เมื่อกลุ่มนักรบแห่งความยุติธรรมตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆนี้ ช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะก้าวถอยหลังกลับไปด้วยความหวาดกลัว
ด้วยการเสียเลือดจำนวนมาก ใบหน้าของฟางหยวนจึงกลายเป็นซีดขาว มีเพียงช่วงเวลาที่แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาเท่านั้นที่ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง
ฟางหยวนจ้องมองขึ้นไปยังดวงอาทิตย์พร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา “ดวงอาทิตย์เผยตัวขึ้นเหนือยอดเขาสีน้ำเงิน ดวงจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ รุ่งเช้าอันมืดมนและราตรีกาลที่สว่างไสว มิว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เมื่อมองย้อนกลับไปทุกสิ่งล้วนไร้ความหมาย”
ในขณะที่เขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ภาพความทรงจำจากชีวิตก่อนหน้าได้ปรากฏขึ้นมาในห้วงสำนึกของเขาอีกครั้ง
เขาเป็นนักศึกษาชาวจีนคนแรกหรืออาจจะคนเดียวจากโลกมนุษย์ยุค 4G ที่ข้ามมายังโลกวิญญาณใบนี้ เขาอดทนกับชีวิตที่ยากลำบากมาถึงสามร้อยปีก่อนจะกลายเป็นตำนานของโลกหล้ามาอีกสองร้อยปี สุดท้ายชีวิตห้าร้อยปีของเขาก็ผ่านเลยไปในพริบตา
ความทรงจำมากมายที่ฝังตัวลึกอยู่ภายในหัวใจของเขาเริ่มฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าล้มเหลวในที่สุด” ฟางหยวนถอนหายใจ แต่ไม่มีความเสียใจอยู่ภายในนั้น
ผลลัพธ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่เขาตัดสินใจเริ่มต้น เขาก็เตรียมรับมือกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
การเป็นปีศาจจะต้องไร้เมตตาและโหดเหี้ยม เป็นฆาตกรผู้ทำลายล้าง ด้วยอาชญากรรมทั้งหมด ไม่มีเทพองค์ใด ไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะยอมปล่อยเขา แต่แม้จะกลายเป็นศัตรูต่อสวรรค์พิภพทั้งหมด เขาก็พร้อมที่จะเผชิญผลลัพธ์ที่ตามมา
“หากวิญญาณกาลเวลาใช้ได้ผล ในชีวิตหน้าของข้า ข้าก็ยังจะเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายเช่นเดิม” เมื่อคิดได้เช่นนี้ ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะหัวเราะเสียงดังออกมา
“ปีศาจเฒ่า เจ้าหัวเราะกระไร?”
“ทุกคนระวังให้ดี จอมปีศาจกำลังจะโจมตีเป็นครั้งสุดท้าย”
“ยอมจำนนแล้วส่งวิญญาณกาลเวลามาเดี๋ยวนี้!”
กลุ่มนักรบทะยานร่างไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ด้วยเสียง “ตูม” ร่างกายของฟางหยวนถูกพลังงานอันลึกลับบางอย่างกลืนกินเข้าไปในทันที
พิรุณในฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายลงมาอย่างเงียบงันบนภูเขาชิงเหมา สายลมพลิ้วไหวผ่านสายน้ำที่ร่วงหล่นลงมาจากผืนนภาราตรีกาลอย่างแผ่วเบา
แต่ภูเขาชิงเหมาก็มิได้ถูกปกคลุมด้วยม่านรัตติกาลอันมืดมัว ตลอดแนวเส้นทางบนภูเขาปรากฏแสงไฟสว่างไสวอยู่มากมาย
มันเป็นโคมไฟที่มาจากเคหสถานของผู้คน แม้ไม่สามารถนับได้ถึงหมื่น แต่มันยังคงมีนับพัน
นี่เป็นหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลแห่งภูเขาชิงเหมาที่อุดมไปด้วยอารยธรรมของมนุษย์
ใจกลางของหมู่บ้านตั้งไว้ด้วยคฤหาสน์ที่งดงามหลังหนึ่งและในขณะนี้พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์บางอย่างก็กำลังถูกจัดขึ้น ณ ห้องโถงบรรพชนภายในคฤหาสน์หลังงาม ดังนั้นแสงไฟจึงเรืองรองส่องสว่างกว่าค่ำคืนปกติ
“บรรพชน โปรดมอบพรอันประเสริฐแก่พวกเรา เราขอวิงวอนต่อท่าน โปรดเมตตามอบทายาทรุ่นใหม่ผู้มีพรสวรรค์และสติปัญญาอันยอดเยี่ยมมาสู่ครอบครัวของพวกเราด้วย” หัวหน้าตระกูลแสงจันทร์เป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีขาวคุกเข่าอยู่บนพื้นสีเหลือง ร่างกายของเขาตั้งตรงในขณะที่ประสานมือและปิดเปลือกตาอธิษฐานอย่างจริงใจ
เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับแท่นวางป้ายวิญญาณของบรรพชนที่มีอยู่สามชั้นพร้อมทั้งกระถางธูปที่ควันไฟกำลังคละคลุ้งขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง
เบื้องหลังเขามีผู้คนจำนวนมากคุกเข่าอยู่อย่างเป็นระเบียบ พวกเขาสวมใส่ชุดสีขาวเช่นเดียวกัน พวกเขาทุกคนต่างเป็นผู้อาวุโส หรือบุคคลสำคัญของตระกูลด้วยกันทั้งสิ้น
พวกเขาสวดมนต์ขอพรจากบรรพชนอยู่อย่างเงียบๆก่อนจะโขกศีรษะลงกับพื้นและจบสิ้นพิธีกรรมในที่สุด
จากนั้นเสียงของการสนทนาจึงเริ่มดังขึ้น
“เวลาโบยบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ปีหนึ่งแล้ว”
“พิธีกรรมคราวก่อนราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ข้ายังสามารถจดจำมันได้เป็นอย่างดี”
“พรุ่งนี้จะเป็นพิธีเผยลิขิตสวรรค์ประจำปีของพวกเรา ข้าหวังว่าความหวังใหม่ของตระกูลจะเกิดขึ้นในปีนี้”
“อา…ข้าก็หวังให้อัจฉริยะเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ตระกูลแสงจันทร์ของพวกเราไม่ปรากฏอัจฉริยะมาสามปีแล้ว”
“ถูกต้อง ตระกูลไป่ และตระกูลเซียง ต่างมีอัจฉริยะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีมานี้ โดยเฉพาะ ไป่หนิงปิง จากตระกูลไป่ ความสามารถโดยธรรมชาติของเขายอดเยี่ยมยิ่งนัก”
ไม่แน่ชัดว่าผู้ใดเริ่มกล่าวถึงชื่อไป่หนิงปิงขึ้นมา แต่เมื่อทุกคนได้ยินชื่อนี้ ใบหน้าของพวกเขาต่างกลับกลายเป็นวิตกกังวล
ด้วยคุณสมบัติของไป่หนิงปิง เพียงการฝึกฝนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เขากลับสามารถกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามไปเรียบร้อยแล้ว ในหมู่ชนรุ่นเยาว์เขาถือว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นมากที่สุด แม้แต่คนรุ่นก่อนหน้ายังถูกกดดันด้วยการคงอยู่ของเขา
ในอนาคตเขาย่อมต้องกลายเป็นเสาหลักของตระกูล หรืออย่างน้อยเขาก็จะกลายเป็นนักรบอิสระที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
“แต่ผู้เยาว์ที่จะเข้าร่วมพิธีกรรมในปีนี้ของเราก็มิได้ไร้ความหวังไปเสียทั้งหมด”
“ถูกต้อง เด็กผู้นั้นมีความฉลาดเฉลียวเป็นอย่างมาก เขาพูดได้ตั้งแต่สามเดือนและสามารถเดินได้ในเดือนที่สี่ เมื่อเขาอายุได้ห้าขวบ เขากระทั่งสามารถร่ายบทกวีราวกับอัจฉริยะล้ำยุคที่ปราดเปรื่อง แต่น่าเสียดายที่พ่อแม่ของเขาตกตายเร็วเกินไปและทิ้งเขาให้อยู่ในการดูแลของลุงกับป้า”
“ใช่ เขาเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาตั้งแต่แรกกำเนิด ข้าก็ได้ยินมาเช่นเดียวกัน”
หัวหน้าตระกูลเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาจากห้องโถงบรรพชน เขาได้ยินสิ่งที่อาวุโสหลายคนพูดคุยกันและเขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขากำลังคุยกันถึง ฟางหยวน
แน่นอนว่าในฐานะหัวหน้าตระกูล เขาต้องรู้จักเยาวชนผู้โดดเด่นที่สุดในรุ่นปัจจุบันนี้
ด้วยสติปัญญาของฟางหยวน มันจึงทำให้ทุกคนคาดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมาก
“หากพวกเราดูแลเขาอย่างดี ด้วยความสามารถโดยธรรมชาติของเขา บางทีเขาอาจแข่งขันกับไป่หนิงปิงได้ แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะอยู่ในนภาที่สอง เขาก็ยังสามารถกลายเป็นเสาหลักให้แก่ตระกูลแสงจันทร์ของพวกเราได้ แต่ข้าคิดว่าพรสวรรค์ของเขาควรจะอยู่ในนภาที่หนึ่ง” เมื่อคิดได้เช่นนี้ ช่วยไม่ได้ที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา
หลังจากกระแอมไอออกมาหนึ่งครั้งหัวหน้าตระกูลจึงได้กล่าวกับผู้อาวุโสทั้งหมดในบริเวณนั้นว่า “ทุกคน นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าควรจะกลับไปพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเก็บแรงเอาไว้สำหรับพิธีเผยลิขิตสวรรค์ในวันพรุ่งนี้”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนสะดุ้งตกใจและหันไปมองหน้ากันและกันอย่างมีความนัยแอบแฝง
แม้ว่าถ้อยคำของหัวหน้าตระกูลจะดูธรรมดา แต่ทุกคนก็รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการถ่ายทอดสิ่งใด
ทุกปีหลังจากตรวจสอบความสามารถของผู้เยาว์แล้ว เหล่าผู้อาวุโสจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงตัวผู้เยาว์ที่โดดเด่นให้เข้ามาเป็นฝ่ายเดียวกันกับพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงควรที่จะพักผ่อนเก็บพลังเอาไว้ให้ได้มากที่สุดในขณะนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฟางหยวนที่ทุกคนคาดหวังว่าเขาสมควรมีพรสวรรค์อยู่ในนภาที่หนึ่ง และด้วยความจริงที่ว่าบิดามารดาของเขาเสียชีวิตไปแล้ว หากตระกูลใดสามารถนำเขาเข้าไปร่วมวงศ์ตระกูลได้สำเร็จและบ่มเพาะเขาอย่างดี เป็นไปได้สูงมากที่ตระกูลนั้นจะสามารถสร้างความมั่งคั่งไปได้อีกนับร้อยปี
“อย่างไรก็ตามข้าต้องกล่าวบางคำเสียก่อน พวกเจ้าต้องต่อสู้อย่างยุติธรรมโดยปราศจากกลอุบาย เพื่อมิให้เกิดความแตกแยกภายในตระกูล จงจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี” หัวหน้าตระกูลกล่าว
“พวกเรามิกล้า”
“พวกเราจะจดจำไว้อย่างดี”
“เช่นนั้นพวกเราคงต้องขอตัวลาก่อน ท่านหัวหน้าตระกูล”
เหล่าผู้อาวุโสค่อยๆสลายตัวจากไปพร้อมกับความคิดของแต่ละคน
ไม่นานหลังจากนั้นบนทางเดินที่เงียบสงัด สายลมอันแผ่วเบาได้พัดพาเอาละอองฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิเล็ดลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ในขณะที่หัวหน้าตระกูลเดินผ่าน
ทันทีที่เขาสูดเอาอากาศที่ชุ่มชื้นเข้าไป มันก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
บนชั้นสามของคฤหาสน์ หัวหน้าตระกูลจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างและพบกับพื้นที่ครึ่งหนึ่งของหมู่บ้าน
แม้มันจะดึกมากแล้ว แต่บ้านหลายหลังยังคงมีแสงไฟเล็ดลอดออกมา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติเพราะพิธีเผยลิขิตสวรรค์กำลังจะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้นั่นเอง แน่นอนว่าทุกคนต่างตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะถึงนี้ และมันก็ทำให้หัวใจของพวกเขากระปรี้กระเปร่าจนไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
“พวกเขาคือความหวังของตระกูล” ด้วยแสงไฟที่เต้นรำอยู่ภายในดวงตา หัวหน้าตระกูลถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาที่สงบนิ่งและลึกลับคู่หนึ่งก็ได้จับจ้องไปยังแสงไฟเหล่านั้นเช่นเดียวกันด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ
“หมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลเมื่อห้าร้อยปีก่อน? ดูเหมือนว่าวิญญาณกาลเวลาจะได้ผลจริงๆ…” ฟางหยวนยืนอยู่ริมหน้าต่างอย่างเงียบๆและอนุญาตให้ละอองฝนประพรมลงบนร่างกายของเขา
พลังของวิญญาณกาลเวลาก็คือการย้อนเวลา ในการจัดอันดับวิญญาณที่ลึกลับทั้งสิบ มันถูกพิจารณาให้อยู่ในอันดับที่เจ็ด เพราะแท้จริงแล้วไม่เคยมีผู้ใดใช้งานมันมาก่อน
เนื่องจากความสามารถของมันคือ การเกิดใหม่!
“ด้วยพลังของวิญญาณกาลเวลา ข้าสามารถเกิดใหม่อีกครั้งโดยการย้อนกลับมาในช่วงเวลาห้าร้อยปีก่อนหน้า” ฟางหยวนยกมือขึ้นมาพลิกดูก่อนจะกำหมัดอย่างแน่นหนาเพื่อรับรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
เสียงของสายพิรุณที่สาดเทดังเข้ามาในหูของเขาขณะที่เขาหลับตาลงก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน “ประสบการณ์ห้าร้อยปีเหมือนดั่งเพียงฝันไป”
แต่เขาก็รู้ตัวเป็นอย่างดีว่า นี่มิใช่ความฝัน…..
ติดตามความเคลื่อนไหวที่เร็วกว่าได้ที่เฟสบุ๊ค นิยายฆ่าเวลา >>
(0 votes) 0/5